หรือว่า The Mummy ไม่เปรี้ยง เพราะทอม ครูส เข้ามาบงการโครงการหนังมากเกินไป

การที่หนัง The Mummy ไม่ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ หลายคนพุ่งเป้าไปที่อเล็กซ์ เคิร์ต์ซ์แมน ผู้กำกับของหนังเรื่องนี้เป็นคนแรกในแง่สาเหตุ เพราะความที่ยังขาดประสบการณ์ในการกำกับหนังฟอร์มใหญ่ แม้จะเคยทำหน้าที่อำนวยการสร้างกับเขียนบทมาก่อนก็ตามมา เคิร์ตซ์แมนอาจเป็นสาเหตุหนึ่งจริงๆ แต่ในรายงานของวาไรตี้บอกครับว่า อีกสาเหตุอาจเป็นการเข้าควบคุมโครงการหนังของทอม ครูส ด้วยก็ได้

ในรายงานเกี่ยวกับเบื้องลึกหลังฉากของงานสร้าง The Mummy ที่ได้ข้อมูลมาจากหลายแหล่งข่าวบอกว่า ทอม ครูส ผู้ที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นผู้นิยมความสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างต้องเป๊ะดั่งใจ “มีอำนาจควบคุมโครงการหนังเรื่องนี้มากเกินไป” และ “ครูสใช้อำนาจในการควบคุมดูแลงานสร้างสรรค์ต่างๆ ของ The Mummy ในแทบทุกภาคส่วน เขาทำหน้าที่ในทุกอย่าง และสั่งการแม้แต่การตัดสินใจในเรื่องที่เล็กที่สุดของกองถ่าย

แหล่งข่าวบอกอีกว่า ยูนิเวอร์แซลตกลงในสัญญาให้ครูสมีอำนาจเข้าควบคุมในทุกองค์ประกอบของโครงการหนัง ตั้งแต่อนุมัติเรื่องบทจนไปถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับขั้นตอนหลังการถ่ายทำ เขายังเข้าไปออกความเห็นอย่างมากในด้านการตลาดและกลยุทธเกี่ยวกับวันฉายของหนัง ต่อสู้ให้หนังได้ออกฉายในเดือนมิถุนายนที่เป็นช่วงสำคัญของการฉายหนังซัมเมอร์

นอกจากนี้ ความที่เคิร์ตซ์แมนยังไม่ชินกับงานสร้างขนาดใหญ่ระดับนี้ ก็ทำให้ครูสกลายเป็นผู้กำกับตัวจริงอยู่หลังฉาก ทำหน้าที่แทนในหลายๆ การตัดสินใจ ตั้งแต่การสั่งการเรื่องฉากแอ็คชั่นใหญ่ๆ เข้าจัดการเรื่องเล็กเรื่องน้อยในงานสร้าง

ครูสได้สั่งการให้ผู้เขียนบทหนัง ซึ่งมีคริสโตเฟอร์ แม็คควอรี ที่ร่วมงานกับครูสใน Mission: Impossible สองภาคล่าสุด รวมอยู่ด้วย เขียนบทขึ้นมาใหม่จากเดิมที่เป็นหนังสยองขวัญน่ากลัวสำหรับฉายซัมเมอร์ให้เป็นหนังแบบทอม ครูส ทั่วๆ ไป มีการให้เขียนบทนิค มอร์ตัน ให้มีความเป็นทอม ครูส ในแบบที่ทอม ครูส เป็น

การแก้บทยังรวมถึงการให้เพิ่มบทของเขาให้มากขึ้นจากเดิมที่มอร์ตันกับนางมัมมี่ (รับบทโดยโซเฟีย โบเทลลา) ได้ออกจอเกือบจะนานพอๆ กัน ทำให้มัมมี่มีบทน้อยกว่าเขาลงไป ทั้งยังให้ใส่ฉากถูกเข้าสิงลงไปเพื่อให้เขาได้เล่นฉากดราม่ามากขึ้น แม้ว่าผู้บริหารไม่ตื่นเต้นกับเนื้อเรื่องของหนังนัก แต่ก็เออออตามวิสัยทัศน์ของทอม ครูส

เมื่อหนังถ่ายทำเสร็จแล้ว ครูสได้พาแอนดรูว์ มอนด์ไชน์ มือตัดต่อที่ร่วมงานกับเขามายาวนานมาช่วยตัดต่อหนังฉบับสุดท้ายก่อนออกฉาย ครูสใช้เวลาควบคุมงานอยู่ในห้องตัดต่อซึ่งพอเสร็จแล้ว ทุกคนเห็นพ้องกันว่าไม่เวิร์ค

อย่างไรก็ดี ก็มีการถกเถียงกันในเบื้องหลังกองถ่ายครับว่า ที่จริงแล้วทิศทางที่ครูสใช้ในการทำหนังเรื่องนี้อาจช่วยพัฒนาโครงการหนังที่แต่เดิมมีปัญหาอยู่แล้วให้ดีขึ้นก็ได้ บางส่วนเชื่อว่าครูสไม่มีทางเลือก เขาจำเป็นต้องเข้ามาจัดแจงเองเพราะการขาดประสบการณ์ของเคิร์ตซ์แมนในการกำกับงานใหญ่ ครูสมีประสบการณ์ในการถ่ายทำหนังแอ็คชั่นฉากใหญ่ๆ มาทั้งชีวิต จำเป็นต้องเข้ามาเป็นแม่ทัพเอง ดีกว่าเสี่ยงให้การถ่ายทำหนังต้องล่าช้าไปกว่ากำหนด

ยูนิเวอร์แซลรู้ว่าถ้าจะให้ The Mummy แข่งกับหนังใหญ่อย่าง Wonder Woman กับ Guardians of the Galaxy Vol. 2 ที่ฉายในเวลาไล่เลี่ยกันได้ ต้องใช้พลังดาราของครูสอย่างทุกกระบิ แต่เมื่อกระแสของหนังต่ำกว่าที่คาดไว้ จึงได้ปล่อยภาพของครูสร่วมกับนักแสดงคนอื่นใน Dark Universe ออกมาในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งทั้งหมดไม่ได้มาถ่ายพร้อมหน้ากันจริงๆ แต่ใช้การโฟโต้ชอปให้มารวมอยู่ด้วยกัน แต่กระแสบนอินเตอร์เน็ตตอบรับออกมาก็แค่ปานกลาง ดาราชื่อดังที่เคยครองฮอลลีวู้ดไม่ได้ช่วยสร้างความฮือฮาได้แบบเดิมแล้ว

แม้เบื้องหลังจะดูเหมือนครูสเป็นหัวเรือหลัก แต่เขาก็ชื่นชมทุกคนในรอบปฐมทัศน์หนัง ให้เห็นว่าหนังสำเร็จได้เพราะการทำงานร่วมกันเป็นทีม “เจค! เจค!” เขาตระโกนใส่เจค จอห์นสัน นักแสดงร่วมของเขา “มันยอดเยี่ยมมากที่ได้ร่วมงานกับคุณ เจค

 

ที่มา: Variety

8 comments

  1. พอหนังไม่เปรี้ยงก็โบ้ยกันไปครับ ถ้าผมเป็นผู้บริหารก็เชื่อ ทอม ครูซ ครับ เพราะเขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมาก เครดิตดี ประสบการณ์สูง ทีมงานชั้นเยี่ยม เพียงแต่รอบนี้สูตรเดิมๆมันอาจใช่ไม่ได้ ใครจะรู้ …

  2. สมัยนี้มีคนกลุ่มที่ดูหนังแบบไม่ได้เน้นเอามันส์อย่างเดียว แต่สนใจที่เนื้อเรื่องเยอะครับ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น บางคนอาจสงสัยว่า แค่ดูหนังทำไมต้องไปซีเรียสเนื้อเรื่อง ดูเอามันส์ก็พอ คือในมุมมองของผม คิดว่ามันก็เหมือนอ่านนิยายน่ะครับ ถ้ามันไม่สนุกก็ขายต่อไม่ได้ ถ้าสนุกออกมากี่เล่มก็ไม่เบื่อเลย
    พอหนังมัมมี่ภาคนี้ไม่ได้เน้นเรื่องที่เกี่ยวกับอียิปต์หรือตัวมัมมี่อย่างภาคแรก มันก็ขาดเอกลักษณ์ของหนังไป ส่วนครูสผิดมั้ย อาจมีส่วน แต่ผมว่ามันผิดที่universal เลือกผกก.มาแต่แรกแล้วล่ะครับ ถ้าเลือกคนที่เก่งที่ดี ก็คงไม่เกิดปัญหา ส่วนที่ว่านักแสดง”ชื่อดังที่เคยครองฮอลลีวู้ด”ไม่ได้ทำให้กระแสดังตาม คงเป็นเพราะคนยังไม่เห็นแนวทางที่น่าสนใจนัก ต่างจากหนังค่ายมาร์เวล หลังจาก ไอรอนแมน1 เรื่องอื่นๆก็เป็นที่จับตามองทั้งนั้น

  3. การจะเลือกเชื่อนักแสดงที่มากประสบการ์ณอย่างครูซก็ไม่ผิดนัก เพราะเป็นหนังเปิดจักรวาลใหม่ ต้องการให้มันชัวร์100%ว่ามันจะไม่ล้มเหลว การเชื่อคนที่มีประสบการ์ณกว่าก็ไม่ผิดนัก แต่การจะโทษว่าเพราะว่าเลือกผกก.มาไม่ดีก็ไม่ถูกเช่นกัน ยกตัวอย่างที่กาเร็ธ เอ็ดเวิร์ดทำ Godzilla จนเกิด Monsterverse หรือ เจมส์ กันกำกับ Guardian of the galaxy จนมาร์เวลแทบจะใช้สูตรเดียวกันกับทุกเรื่องในเครือต่อมา ผกก.แต่ละคนก็มีมุมมอง วิสัยทัศน์ต่อหนังหรือจักรวาลที่ตัวเองดูแลอยู่แล้วว่าต้องการให้มันเป็นยังไง แต่พอตอนทำกลายว่าเริ่มไม่เชื่อและหันไปรับฟังคนอื่นมากกว่าจนเปลี่ยนทิศทางของหนังไปจนหมด ถ้าทำตามที่ผกก.ตั้งใจแต่แรกหนังก็อาจจะไม่แป้กขนาดนี้ก็ได้ใครจะรู้(แต่ส่วนตัวผมเชื่ออย่างงั้น เพราะตอนที่หนังเป็นโทนสยองนั้นน่าสนใจกว่าฉากบู้กับฉากดราม่าที่ทำให้หนังลึกลับกลายเป็นหนังบู้ดาดๆไปทันที คหสต.นะครับ)

  4. ที่บอกว่าดาราไม่ได้สร้างชื่อเหมือนเมื่อก่อนนั้นก็ไม่จริงเสมอไปถ้าสร้างออกมาดีบทแข็งแรงพอ

  5. ถ้าโลกนี้ต้องดูแต่หุ่นยนต์ซุปเปอร์ฮีโร่ไดโนเสาร์สัตว์ประหลาดมันจะไม่น่าเบื่อไปหรอดารานี่แหละคือสิ่งที่ยังคงมีอยู่ตลอดไปไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม

  6. ตอนนี้ก็กำไรแล้วนะ ผมว่าน่าจะไม่เจ็บตัว mummy มันเป็นอะไรที่ รีเมคมาเยอะแล้ว คนเริ่มเฉยๆ
    ยังไงหนัง ส่วนใหญ่ที่ทำเงินเป้นพวกซุปเปอรฮีโร่อยู่แล้ว

  7. ยังไม่ถึงสวรรค์ก็เสร็จซะแล้วอะไรประมาณนั้น ถ้าถามว่าฉากแอคชั่นโฉ่งฉ่างที่ใส่มา มันสุดมั้ยก็ไม่สุด ฉากดราม่าที่ต้องเสียสละเพื่อมวลมนุษย์ชาติก็ไม่ให้อารมณ์นั้นเลย คนในโรงได้แต่งงกับฉากนั้นกับฉากตัวร้ายที่ไม่น่าเป็นตัวร้ายเล้ยยย

Leave a Reply