ผู้กำกับผดุง สมาจาร จาก “กาลครั้งหนึ่ง…จนวันนี้” บอกเล่าที่มา แรงบันดาลใจ และเบื้องหลังหนัง

until now director interviewกาลครั้งหนึ่ง…จนวันนี้” หนังไทยเรื่องที่ 4 ของปี 2557 และน่าจะเป็นหนังรักเรื่องแรกของปีนี้ จะเข้าฉายในบ้านเราสุดสัปดาห์นี้ครับ และเราก็ได้อีเมลสัมภาษณ์ผู้กำกับผดุง สมาจาร อีกหนึ่งผู้กำกับหน้าใหม่ที่มารับหน้าที่กำกับหนังเรื่องนี้เป็นผลงานภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกของเขา

ในหนังเรื่องนี้ อารักษ์ อามรศุภสิริ รับบทเป็นชายหนุ่มชื่อต้น ที่กำลังจะแต่งงานกับหญิงสาวชื่อตาล (อาภา ภาวิไล) แต่เขาก็ยังไม่อาจลืมสัญญาที่ให้ไว้กับรักแรกของเขา นั่นก็คือเด็กสาวชื่อแก้ว (อธิศาพัฒน์ วงศ์เงินยวง) ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ ในช่วงที่ต้นกับแก้วอยู่ในวัยมัธยม และต้นก็ต้องการความกระจ่างก่อนที่จะเริ่มต้นรักครั้งใหม่ได้ หนังยังมีพาวิช ทรัพย์รุ่งโรจน์ รับบทเป็นต้นในวัยรุ่นด้วยครับ

คำถามที่เราสัมภาษณ์ก็คล้ายกับที่สัมภาษณ์ผู้กำกับท่านอื่นมาแล้วครับ ให้เล่าถึงที่มาของโครงการหนัง แรงบันดาลใจในการสร้างหนังเรื่องนี้ หรือแนวคิดในการสร้างฉากบางฉากของหนัง ซึ่งน่าจะเป็นหนังเกร็ดของภาพยนตร์สำหรับผู้ที่ชมมาแล้ว และเป็นข้อมูลเตรียมพร้อมผู้ที่จะไปชมครับ

สำหรับประวัติพอสังเขปของผู้กำกับผดุง สมาจาร หรือ”ลิท” ก็คือเรียนจบนิเทศศิลป์จากพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง และก่อนที่จะมากำกับหนังยาวเรื่องแรก็เคยมีผลงานหนังสั้นมาก่อนก็คือ My Happy Death Body ได้รางวัลชมเชย งาน Young Thai Artist Award และ My Grandma น้ำทะเลที่เซาะทราย ได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ของเทศกาลหนังอัลไซเมอร์ ในปี 2549

ช่วงเรียนปริญญาโทที่สหรัฐ ก็ยังมีผลงานหนังสั้นอีก 2 เรื่อง ก็คือ Emotion ได้ติด 1 ใน 10 ร่วมฉาย ในงาน Monterey Park Film Festival 2010 และ The Student ได้ร่วมฉายในงานฉายหนังประจำปีของ New York Film Academy

ผู้กำกับลิทยังเคยกำกับละครการกุศลเรื่อง “กาลครั้งหนึ่ง… ลืมไปแล้ว” ปัจจุบันเป็นโปรดิวเซอร์รายการ Up To You คู่ซ่า ทางช่อง 7 และ กำกับฯ งานโฆษณาและ Viral Video ต่างๆ ซึ่งชมคลิปรวมผลงานได้ที่ www.ProductionSoul.com ครับ

คลิกอ่านสัมภาษณ์ได้ที่ด้านใน

อยากให้เล่าที่มาของโครงการหนัง “กาลครั้งหนึ่ง…จนวันนี้” ครับ ว่าเริ่มต้นได้อย่างไร ผมอ่านเจอว่าจากเรื่องของคุณรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ซึ่งรับหน้าที่อำนวยการสร้างด้วย จึงสันนิษฐานว่าโครงการน่าจะเริ่มมาจากคุณรัตน์ และมาทาบทามคุณผดุงในการพัฒนาโครงการหนังเรื่องนี้ด้วยกัน ผมเข้าใจถูกไหมครับ แล้วพัฒนาบทและโครงการหนังเรื่องนี้มานานไหมครับuntil now director

เข้าใจถูกแล้วครับ จุดเริ่มต้นคือ คุณรัตน์ มีไอเดียที่อยากจะทำเป็นหนัง แล้วนำเรื่องนี้เข้าไปคุยกับค่ายหนังต่างๆ แต่ไม่ได้รับการตอบรับ จนเวลาผ่านไปเกือบปี คุณรัตน์ ได้คุยกับเพื่อน และเพื่อนคนนี้ได้รู้จักกับผม จึงดึงผมเข้าไปคุยในฐานะของคนเขียนบทก่อน คุณรัตน์เล่าเรื่องให้ฟัง แล้วผมก็นำเรื่องมาพัฒนาเป็นโครงเรื่อง เป็น Screenplay ตามลำดับ

ผมเริ่มคุยกับคุณรัตน์กันประมาณเดือนกุมภาพันธ์ปี 56 เริ่มถ่ายประมาณ มิถุนายน ใช้เวลาถ่ายประมาณ 4 เดือน (27 คิวถ่าย)

ชื่อเรื่องของหนัง “กาลครั้งหนึ่ง…จนวันนี้” มีที่มายังไงครับ ใครคิดชื่อนี้ และทำไมตัดสินใจใช้ชื่อนี้ครับ

เมื่อผมเริ่มเขียน Screenplay ก็ต้องคิดชื่อเรื่องไปด้วย ส่วนหนึ่ง โครงเรื่องมีความคล้ายคลึงกับละครเวทีที่ผมเคยทำ ที่เป็นเรื่องราวของความรัก ที่เกิดขึ้นไปแล้ว ซึ่งเป็นอดีต จึงใช้คำว่า “กาลครั้งหนึ่ง” (แล้วบวกกับในเรื่องมีความเป็น Magic เวทมนต์อยู่ด้วย คำว่า กาลครั้งหนึ่ง ที่ใช้ในการเล่านิทานจึงเป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยๆ) แล้วในเรื่องความรักนั้น ยังส่งผลกระทบจนถึงปัจจุบัน เพราะตัวเอก ยังคงไม่ลืมรักครั้งนั้น จึงเป็นที่มาของคำว่า “จนวันนี้”

ในตอนแรกผมตั้งใจใช้ชื่อ “กาลครั้งหนึ่ง… จนวันนี้” เป็น Working Title ไปก่อน เพื่อใช้ในการเรียกโปรเจคนี้ และคิดว่าคงจะเปลี่ยนเมื่อภาพหนังมันชัดเจนขึ้น ให้เหมาะกับการตลาด และการขายหนัง

แต่แล้วชื่อนี้ก็ยังคงเป็นที่ถูกใจของหลายๆคน จึงใช้ชื่อนี้ตั้งแต่เริ่มเขียนบท จนกลายเป็นหนังฉายในโรงเลยครับ

จากตัวอย่างหนัง ตัวละครเอกคือต้น ซึ่งรับบทโดยคุณเป้ อารักษ์ อมรศุภสิริ กำลังจะแต่งงาน แล้วเขายังไม่ลืมรักแรกในวัยมัธยม เกี่ยวกับเด็กสาวชื่อแก้วที่จู่ๆ ก็หายตัวไป แต่ประเด็นของหนังรักเรื่องนี้พูดถึงอะไรครับ ใช่พูดถึงว่าเราจะมีรักใหม่ได้ก็ต้องตัดใจจากรักแรกให้ได้อะไรทำนองนั้นหรือเปล่าครับ

“บางคนตามหารักแท้ แต่บางคนกลับตามหารักแรก” ประเด็นของหนังกำลังจะให้คนดูคิดว่า ถ้า “คุณต้องต้องเลือกระหว่างรักแรกที่ฝังใจมานานแสนนาน กับรักแท้ในปัจจุบันที่ดีแสนดี” คุณจะเลือกรักครั้งไหนเป็นรักครั้งสุดท้าย

แม้แต่ตัวคุณรัตน์และผมก็เลือกไม่เหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ ตอนคุยบทกันเรื่องครึ่งหลังจะมีปัญหามาก เพราะการเลือกที่ไม่เหมือนกัน ทำให้วิธีการเล่าเรื่องต่างกันไป แต่สุดท้าย เราก็มีทางออกด้วยกันจนได้ จนออกมาเป็นหนังเรื่องนี้แหละครับ

หนังไม่ได้ตัดสินให้คนดูต้องเลือกตาม แต่หนังกำลังเปิดประเด็นให้คนดูได้คิดว่าถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกทางไหน

โทนของหนังเหมือนจะเป็นหนังรักซึ้งๆ อบอุ่น และแซมด้วยบทตลก ทำให้นึกถึงหนังสั้น “น้ำทะเลที่เซาะทราย” ที่คุณผดุงเคยกำกับเมื่อปี 49 คิดว่าโทนหนังในลักษณะนี้เป็นแนวที่ชอบไหมครับ

ผมชอบหนังที่อบอุ่นครับ หนังที่ดูแล้วให้ความรู้สึกที่อิ่ม (เหมือนอย่างหนัง GTH แหละครับ อาจจะเรียกว่าหนังฟีลกู้ดก็ได้) พอผมชอบหนังแนวนี้ เวลากำกับมันเลยซึมลงอยู่ในงาน โดยที่ไม่รู้ตัวเหมือนกัน

นอกจากหนังแนวอบอุ่นแล้ว หนังที่ผมชอบมากๆและอยากจะทำมากๆก็คือจะเป็นหนังแนว Inspiration หรือหนังที่สร้างแรงบันดาลใจครับ อย่างญี่ปุ่นหรืออเมริกาจะมีหนังแนวนี้เยอะ แล้วมันทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก อย่างการวิ่งตามความฝัน หรือการพยายามเพื่อสิ่งที่ตัวเองรัก อะไรแนวๆนี้อ่ะครับ

ชื่อหนังมีคำว่า “กาลครั้งหนึ่ง” และในตัวอย่างหนังยังเหมือนพูดถึงเวทมนตร์ด้วย เรื่องราวได้แรงบันดาลใจจากเทพนิยายอะไรรึเปล่าครับ แล้วมีเรื่องราวไหน หรือหนังเรื่องไหนที่เป็นแรงบันดาลใจในการใช้กำกับหนังเรื่องนี้ไหมครับ

โครงเรื่องที่เกี่ยวกับเวทมนต์นั้น คุณรัตน์ใช้จินตนาการคิดขึ้นมาเลยครับ ไม่ได้มีอ้างอิงมาจากเรื่องไหน แต่หลังจากที่ได้คุยโครงเรื่องกันแล้ว จึงมีการหา Reference ต่างๆมาดูกัน แรงบันดาลใจที่ได้ก็มาจากหนังเกาหลีหลายเรื่องเลยครับ เช่น The Classic, My Sassy Girl, Wanee & Junah, Architecture 101 ส่วนหนังฝรั่งก็จะเป็น เรื่อง Malena, Doctor Zhivago, Letter to Juliet ส่วนหนังไทยก็จะเป็น สิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก กับ แฟนฉัน ครับ

ซึ่งหนังเหล่านี้เป็นหนังที่ผมเองก็นำมาศึกษาเพื่อดูโครงเรื่อง การถ่ายทำ และทิศทางการกำกับครับ

ในตัวอย่างหนัง และใบปิด ดูเหมือนว่าต้นไม้ใหญ่ที่มีชิงช้า น่าจะเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเรื่องราวความรักในหนังเรื่องนี้ ทำไมถึงเลือกเป็นต้นไม้ครับ และหาต้นไม้ที่จะใช้ถ่ายทำนี้อยากไหมครับ

ตอนเขียนบท เราต้องหาสัญลักษณ์อะไรสักอย่างใส่เข้าไปในเรื่อง ที่เป็นสถานที่ในการสร้างความจดจำให้แก่ตัวละคร ด้วยตัวเรื่องที่เป็นต่างจังหวัด และเป็นเรื่องราวที่ย้อนไปในอดีต ต้นไม้ชิงช้าจึงเป็นภาพโรแมนติกที่ผมนึกขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ โดยส่วนตัวผมเองก็ชอบต้นไม้และธรรมชาติจึงเอาความชอบส่วนตัวนี้ดัดแปลงมาเป็นบท ส่วนวิวต้นไม้ในเรื่องนั้นหายากมาก หากันอยู่หลายวัน ออกไป Scout Location เฉพาะต้นไม้อย่างเดียวนี่ประมาณ 4-5 ครั้ง บางครั้งต้นไม้สวย แต่ Background ไม่สวย หรือบางที Background สวยแต่ต้นไม้ไม่สวย จนสุดท้าย เราก็ได้วิวอย่างที่เห็นในเรื่องนี่แหละครับ (ตรงนี้ผมยังไม่อยากให้ออกสื่อนะครับ ความลับของมันคือ ต้นไม้ต้นนั้นเป็นต้นไม้ที่ถูกสร้างขึ้นมาครับ วิวตรงนั้นจริงๆ ไม่มีต้นไม้)

ต้นซึ่งเป็นตัวเอกในหนัง มีทั้งวัยมัธยมและวันหนุ่ม ใช้นักแสดงคนละคนเล่น คือคุณเป้ อารักษ์ กับคุณพาวิช ทรัพย์รุ่งโรจน์ ทำให้การกำกับการแสดงยุ่งยากยังไงไหมครับ แล้วในขั้นตอนคัดเลือกนักแสดง ได้ใครมาเล่นก่อนกันครับ แล้วมีการแบ่งเรื่องราวระหว่างวัยมัธยมกับวัยหนุ่มอย่างละกี่เปอร์เซ็นต์ครับ

การแสดงที่ยุ่งยากก็คือเรื่องความต่อเนื่องของเรื่องราวและ Character ครับ ที่ต้องจับนักแสดงทั้งสองคนมา Workshop การแสดงกันก่อนหลายครั้ง ให้มีมุมมองที่คล้ายกัน ให้เห็นตัวละครแบบเดียวกัน เข้าใจเหมือนๆกันว่า “ต้น” เป็นคนยังไง

ตอนขัดเลือกนักแสดง เรามี ต้นตอนวัยรุ่นเตรียมไว้ประมาณ 3 คน และมีดาราที่ติดต่อไปแล้วประมาณ 3-4 คน เหมือนกัน คือ ทางทีมงานคุยกันแล้วว่า จะให้ดาราเป็นตัวหลัก ถ้าดาราคนไหนตอบตกลงที่จะเล่น เราก็จะเอานักแสดงวัยรุ่นที่มีอยู่แล้วมาคัดเลือกหน้าตาให้ใกล้เคียงกับดาราให้มากที่สุด ซึ่งพอเป้ตอบตกลงมา ก็นำดาราวัยรุ่นที่มี มาคัดเลือกรอบสุดท้ายอีกครั้ง แล้วได้น้องนิก พาวิช ในที่สุด

เรื่องราวจะเป็นช่วงวัยรุ่นเยอะหน่อยครับประมาณ 60% แล้วของเป้ 40%

until now director 2อยากให้พูดถึงนักแสดงนำทั้งคุณเป้, คุณพาวิช คุณอาภา ภาวิไล และคุณอธิศาพัฒน์ วงศ์เงินยวง หรืออาจนักแสดงท่านอื่นด้วยก็ได้ ว่าประทับใจในการร่วมงานกับพวกเขายังไงบ้าง

สำหรับผู้กำกับหน้าใหม่อย่างผม การได้ร่วมงานกับนักแสดงที่มีความสามารถทั้งหลาย จึงทำให้ผมได้ประสบการณ์เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ความประทับใจจึงเกิดขึ้นในเรื่องของ การเคารพบทบาทและหน้าที่ครับ นักแสดงหลายคนผ่านงานมาเยอะกว่าผมมาก แต่พวกเขาเคารพการตัดสินใจของผู้กำกับมาก และมีหลายต่อหลายครั้งที่ผมเองก็ถามถึงความคิดเห็นในการแสดง ก็ได้คำแนะนำและเคล็บลับอะไรหลายอย่าง

ในกอง ผมจะยุ่งอยู่หน้า Set และหน้า Monitor จะไม่ค่อยได้คุยเล่นกับดาราสักเท่าไร เพราะเค้าจะนั่งอยู่ในห้องแต่งหน้า หรือไปพักผ่อนในที่ที่จัดเตรียมเอาไว้ แต่ทุกครั้งที่นักแสดงมายืนหน้ากล้อง พวกเขาก็พร้อมที่จะทำตามคำสั่งของผู้กำกับ

มีครั้งหนึ่งขณะที่กำลังถ่ายทำกันอยู่ นักแสดงจะติดไมค์ไวเลส ซึ่งจะมีเพียงผู้กำกับและคนบันทึกเสียงเท่านั้นที่ได้ยิน และหลายครั้งในช่วงที่กำลังวางเฟรมเตรียมถ่าย ผมก็ไม่ได้ใส่หูฟังเอาไว้ แต่ครั้งนั้น ผมใส่หูฟังไว้ตลอดแล้วลืมถอด เป้ ได้นั่งคุยกับแสดงคนหนึ่ง ถึงเรื่องหนังว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร คิดว่ามันจะออกมาดีมั้ย แล้วเป้ก็พูดขึ้นมาว่า “ไว้ใจพี่ลิทได้เลย อะไรที่ไม่ดี พี่ลิทเค้าไม่ปล่อยออกไปหรอก” ผมรู้สึกประทับใจกับประโยคนี้มาก แล้วรู้สึกว่า เป้ เป็นนักแสดงที่มี Spirit มากๆ แม้ผมจะเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ แต่เป้ก็ให้ความเชื่อใจกับผมอย่างเต็มที่

คิดว่า “กาลครั้งหนึ่ง…จนวันนี้” แตกต่างจากหนังไทยที่เป็นหนังรักในตลาดตอนนี้ยังไงบ้างครับ และคิดว่าจุดเด่นของหนังเรื่องนี้อยู่ที่อะไรครับ

ความแตกต่างอันดับแรกและถือว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของหนังด้วยก็ คือ “ประเด็นของเรื่อง” ที่นำเสอนเป็น 2 part แบ่งกันอย่างชัดเจน แล้วเอามาเปรียบเทียบให้คนดูได้คิดระหว่าง “รักแรก (ที่เป็นช่วงวัยรุ่น) กับ รักแท้ (ที่เป็นส่วนของเป้)”

อันดับสอง เป็นหนังรักที่มีการผสมเรื่องราวหลายๆแบบเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีทั้งรัก ทั้งตลก ทั้งดราม่า และยังมีความเป็น Magic อยู่ในเรื่องอีกด้วย ซึ่งอาจจะเรียกว่ามีกลิ่งของ Fantasy อยู่นิดๆก็ได้

One comment

Leave a Reply