บทสัมภาษณ์ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ พูดถึงห้าปี, แมนดาริน, เพพเพอร์, แฮปปี้, เชน แบล็ค ใน Iron Man 3

iron man 3 decโรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ กลับมาสวมบทโทนี่ สตาร์ก อีกครั้งเป็นครั้งที่ 5 (ถ้าคุณนับ The Incredible Hulk ด้วย) และตัวละครของเขากับความสัมพันธ์กับตัวละครอื่นมีพัฒนาการขึ้นยังไง บทสัมภาษณ์ที่วอลท์ ดิสนี่ย์ พิคเจอร์ส ประเทศไทยส่งมาให้เรา จะช่วยให้คุณได้รับทราบจากมุมมองของดาวนี่ย์ จูเนียร์ครับ นอกจากนี้ เขายังพูดถึงเชน แบล็ค ผู้กำกับที่มารับหน้าที่ใน Iron Man 3 หลังจากจอน เฟฟโร กำกับมาสองภาค และรวมถึงการสวมบทแมนดารินของเบน คิงสลี่ย์ ด้วย อาจช่วยให้แง่มุมที่น่าสนใจของตัวละครครับ

โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ ถือเป็นนักแสดงคุณภาพคนหนึ่งของฮอลลีวู้ด โด่งดังจาก Chaplin ที่ทำให้เขาได้เข้าชิงออสการ์ เขาเคยหายไปพักใหญ่เพราะปัญหาส่วนตัวก่อนที่จะกลับมาเกิดอีกด้วยผลงานทางทีวีจาก Ally McBeal และการได้เล่น Kiss Kiss Bang Bang ในปี 2005 ก็ทำให้เขากลายเป็นที่สนใจอีกครั้งหนึ่งในวงการภาพยนตร์ เขาไม่ใช่ตัวเลือกแรกที่มาร์เวลอยากให้รับบทโทนี่ สตาร์ก ใน Iron Man ปี 2008 และจอน เฟฟโร ต้องต่อสู้อยู่นานเพื่อให้เขาได้สวมบทนี้ และกลายเป็นบทบาทที่ทำให้เขาเป็นที่จดจำมากที่สุดของยุคนี้ก็เป็นได้ครับ

นอกจากหนังชุดนี้แล้ว ดาวนี่ย์ จูเนียร์ ยังมีหนังชุด Sherlock Holmes ที่เป็นที่รู้จักในหมู่นักดูหนังของบ้านเราด้วย และกำลังจะมีหังเขย่าขวัญสืบสวนเรื่อง The Judge ออกฉายปีหน้าครับ

คลิกอ่านบทสัมภาษณ์ได้ที่ด้านใน


Q: ตอนที่คุณเซ็นสัญญาเล่นแฟรนไชส์นี้ คุณรู้รึเปล่าว่าคนดูจะรู้สึกเข้าถึงตัวละครตัวนี้และมันจะเป็นอะไรที่พิเศษได้ถึงขนาดนี้รึเปล่า?

A: ถึงตอนนี้ ด้วยความที่มี “Iron Man” ออกมาแล้วสองภาคแล้วก็มี “The Avengers” แถมตอนนี้ ผมก็กำลังถ่ายทำ “Iron Man 3” อีก เห็นได้ชัดว่ามันมีความรู้สึกของความต่อเนื่องอยู่ครับ

ผมคิดว่าส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทำให้มันได้ผลจริงๆคือ มันจับต้องได้ และสำหรับ เลกาซี กลุ่มคนที่พัฒนาเทคโนโลยีทั้งหมดในหนังขึ้นมา มันเหมือนกับว่าคุณสามารถเอื้อมมือออกไปขณะที่เราเคลื่อนตัวผ่านหนังเรื่องหนึ่งไปยังหนังอีกเรื่องหนึ่งได้ และคุณก็จะรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่าคุณกำลังมองเห็นบางสิ่งที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตใต้สำนึกที่เก้บรวบรวมไว้น่ะครับ ในระดับหนึ่ง ของพวกนี้เป็นของจริงและมันก็เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ได้จริง ผมก็เลยคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้แฟรนไชส์นี้ประสบความสำเร็จ เรามีทีมงานมากพรสวรรค์และเราก็ทำในสิ่งที่เป็นเหมือนตัวกลางระหว่างความไกลเกินเอื้อมของหนังแนวซูเปอร์ฮีโรส่วนใหญ่และหนังอย่าง “James Bond” หรือ “Mission Impossible” ที่มีพื้นฐานอยู่บนสิ่งที่เราคิดว่าสามารถเกิดขึ้นได้น่ะครับ

Q: “Iron Man 3” ของมาร์เวลเกิดขึ้นห้าปีหลังจาก “Iron Man” ภาคแรก คุณได้เปลี่ยนแปลงวิธีการแสดงบทนี้ไปบ้างรึเปล่า

A: ผมแก่ขึ้นห้าปี ดังนั้น สมัยก่อน สิ่งที่ผมแคร์ก็คือผมกินครีเอตินพอรึเปล่า แขนผมดูใหญ่มั้ย แสงเป็นยังไงบ้าง แล้วผมมีเสน่ห์และตลกแล้วรึยัง แต่ในครั้งนี้ ความสัมพันธ์กับเป็ปเปอร์เป็นเหมือนศูนย์กลางของหนังเรื่องนี้ ครั้งนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนตรงที่ผมนึกถึงเรื่องที่ว่าตัวเองดูเป็นยังไงน้อยลง ผมไปนึกถึงตัวละครตัวอื่นแทนครับ ผมนึกถึงเช็คลิสต์สำหรับสิ่งที่เราคิดเสมอว่าเราน่าจะทำ หนึ่งในนั้นคือเรารู้สึกเสมอว่าโทนีกับโรดี้น่าจะอยู่กันที่ เนปจูนส์ เน็ท เพราะมันอยู่เลยออกไปจากที่ที่โทนีอยู่ไม่เท่าไหร่ และมันก็เป็นบาร์สิงห์มอเตอร์ไซค์ด้วย จอน [แฟฟโร] กับผม แล้วก็เชน [แบล็ค] กับผม หรือแม้แต่จอส [วีดอน] ต่างก็มีส่วนร่วมกับลิสต์แบบนี้ที่เราไม่เคยมีโอกาสได้ทำไม่ว่าจะเป็นเพราะเรื่องของเรื่องราว เวลา เงิน หรืออะไรก็ตามที่เข้ามาเป็นอุปสรรค และดูเหมือนว่า ความปรารถนาหลายๆ อย่างพวกนั้นกำลังกลายเป็นจริงใน “Iron Man 3” โดยไม่ต้องขมวดสิ่งเหล่านั้นเข้าด้วยกันครับ

Q: ในฐานะนักแสดง มันเป็นเหมือนฝันที่เป็นจริงรึเปล่า ที่คุณพลาดบางช่วงเวลาไปและได้กลับมาหามันอีกครั้งในแฟรนไชส์ โดยไม่ต้องแสดงหนังเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก

A: ครับ ผมรู้สึกถึงการไหลผ่านของเวลาด้วย มันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่ได้อยู่กับคนกลุ่มนี้ ผมก็เลยไม่ได้รู้สึกเศร้าที่เวลาจะหมดลง แต่รู้อะไรมั้ยครับ มันมีการสิ้นสุดของช่วงเวลาหนึ่งในอาชีพการงาน หรือช่วงเวลาของแฟรนไชส์หรืออะไรก็ตาม ผมก็เลยคิดว่าในครั้งนี้ มันมีความรู้สึกดีมากๆ เพราะเราต่างก็รู้สึกเหมือนว่ามันเป็นการทำงานที่ดีจริงๆ แล้วผู้ชมก็มีส่วนกับความสำเร็จครั้งนี้ด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องเจ๋งจริงๆ ครับ

Q: ทำไมเชน แบล็คถึงเหมาะที่จะกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เขามีมุมมองอะไรที่ต่างออกไปบ้าง

A: ผมกับจอนเคยโทรหาเชน [แบล็ค] เพื่อขอคำแนะนำของเขาเกี่ยวกับฉากต่างๆ และเขาก็จะให้คำอุปมาอุปมัยกับเรา หรือบางครั้งก็ความเห็นตรงๆ แต่มันก็เป็นคำแนะนำเยี่ยมๆเสมอ และเขาก็ไม่เคยเก็บเงินเราเลย มีครั้งหนึ่ง เขาขอแค่แซลมอนชิ้นงามกับบลูเบอรี่เป็นค่าตอบแทน เราก็เลยเป็นกลุ่มคน “พิลึก” แต่เราทุกคนก็มีความกระตือรือร้นสำหรับหนังแนวนี้เหมือนๆ กัน

เชนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างแนวแอ็กชันและนำตัวละครเข้าสู่การถ่ายทำประเภทนี้จนผมทั้งแปลกใจ ดีใจและเห็นด้วยมากๆ กับการที่เขามากำกับหนังเรื่องนี้ ด้วยความที่จอน [แฟฟโร] ได้ขยับไปสู่งานอย่างอื่น ที่ประสบความสำเร็จและประสบการณ์อย่างอื่นอีก มันน่าสนใจที่จะได้เห็นว่าตอนนี้เป็นผมกับเชนที่ติดต่อไปหาจอนเพื่อเตือนให้เรารำลึกว่าในตอนเริ่มต้น เขาต้องการจะให้เรือลำนี้หันหน้าไปทางทิศทางไหน แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับเรื่องราวนี้ก็คือมันมีความเป็นดรามา ค่อนข้างลึกซึ้ง และบางครั้งก็มืดหม่น แต่มันก็ยังมีความเป็นเชน แบล็คอย่างมากอีกด้วย ผมชอบหนังที่มีหลายอย่างที่คุณลืมเลือนไปแล้วและทำให้มันบังเกิดผลขึ้นมาอีก ย้อนกลับไปเรื่องจอน นั่นคือสิ่งที่ผมกับจอนพยายามทำมาเสมอ เราทำมันในแบบที่เป็นรูปแบบน้อยกว่าและเราก็โชคดีกว่านักเขียนหรือผู้กำกับที่เน้นการวางแผนมากกว่าอีกนะครับ

Q: เชน แบล็คเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะเขาสามารถรับมือกับบทที่อัดแน่นไปด้วยตัวละครได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยiron man 3 downey jr

A: ครับ มันไม่ง่ายเลย อย่างแรกคือเรามักคิดเสมอว่าเราจะให้โทนีไปเจอกับเด็กที่ฉลาด, มีฝีมือ, และมีความเข้าใจเทคโนโลยีได้ยังไง เราเลยคิดว่า ดีเลย บางทีอาจมีเด็กบ้าเทคโนโลยีจากโรงเรียนที่ฉลาดสุดๆก็ได้ แต่คุณจะรู้สึกเชื่อมโยงกับเรื่องนั้นได้ยังไง? หรือบางทีแค่ให้เด็กคนนี้มาจากชนบทของเทนเนสซีเท่านั้นพอ

เราอยากให้โรดี้มีบทบาทหลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม, มีบทบู๊มากขึ้น, มีความกล้าหาญและไหวพริบเทียบเท่ากับโทนีได้และเราก็ทำแบบนั้นจริงๆ สำหรับเนื้อเรื่องในส่วนของของโทนีกับเป็ปเปอร์ เราอยากแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในหนังสี่เรื่องก่อนหน้า เพราะเควิน ฟีจ [ผู้อำนวยการสร้าง] ได้ย้ำกับผมว่า โทนี สตาร์คเป็นซูเปอร์ฮีโรคนเดียวที่ได้บ่มเพาะและรักษาความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนเดียว โดยที่ความสัมพันธ์นั้นไม่ดิ่งลงเหวน่ะครับ

Q: คุณรักษาปฏิกิริยาเคมีระหว่างโทนีและเป็ปเปอร์ให้สดใหม่อยู่ได้อย่างไร

A: ผมเริ่มนึกในแง่ที่ว่าเพื่อนร่วมแสดงของผมจะเจออะไร และอะไรที่ทำให้เรื่องนี้น่าสนใจสำหรับกวินเนธ เราต่างก็พูดถึงตรงนั้นเพราะเธอมีแง่มุมอันน่าทึ่งทีเดียวในฐานะนางเอกและผู้เป็นหญิงอันเป็นที่รักในหนังเรื่องนี้ ดังนั้น มันอาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมตื่นเต้นที่สุด ผมไม่ขอพูดอะไรมากไปกว่า เธอมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างน่าเหลือเชื่อในครั้งนี้ครับ

Q: ช่วยพูดถึงตัวละครหญิงตัวอื่นๆ ใน “Iron Man 3” ของมาร์เวลหน่อยสิ

A: รีเบ็กก้า ฮอล ผู้รับบทดร.มายา ฮันเซน เพิ่งจะกลายเป็นหนึ่งในคนโปรดของผมในโลกใบนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างโทนีกับหญิงสาวในอดีตที่เขามีความสัมพันธ์ข้ามคืนด้วย เป็นอะไรที่เจ๋งมากๆที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและเรื่องดรามาสำหรับเขาและเป็ปเปอร์ แต่มันก็เป็นเรื่องดีด้วยเพราะเรามักจะได้เห็นเขาในฐานะเพลย์บอยแต่เราไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนที่เขาใช้เวลาด้วยมากกว่านั้นได้ มันน่าสนใจที่ทั้งคู่มีความหลังกัน และมันก็มีบทบาทในเรื่องราวและธีมเรื่องด้วย รีเบ็กก้าทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมเลยครับ

Q: วิธีการที่เบน คิงส์ลีย์ตีความสิ่งต่างๆได้ส่งแรงบันดาลใจให้กับคุณบ้างรึเปล่า แม้ว่าคุณจะเป็นเพื่อนร่วมแสดงของเขา

A: ผมคิดว่าสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจได้คือตอนที่คุณกระตุ้นและผลักดันกันและกันเพื่อบอกว่า “นี่ รู้อะไรมั้ย เราสามารถเล่นกับอะไรตรงนี้ได้ เราไม่จำเป็นต้องยึดบทซักหน่อย” ถ้าคุณมีสัญชาตญาณดี นั่นจะเป็นสิ่งที่คุณรู้สึกว่าน่าจะจะเล่นมันในตอนที่หนังถ่ายทำเสร็จไปแล้วอยู่เสมอน่ะครับ จะว่าไป กาย เพียร์ซ ที่รับบทคิลเลียน ได้แสดงผลงานอย่างยอดเยี่ยมจริงๆ และผมก็คิดว่าเขาจะทำให้คนระลึกได้ว่าทำไมเขาถึงเป็นหนึ่งในสมบัติแห่งชาติที่ล้ำค่าของเรา ซึ่งแน่นอนว่าเรายืมมาจากออสเตรเลียน่ะครับ

Q: ทุกคนดูเหมือนจะสนุกกันมากและคอยช่วยผลักดันกันและกันตลอด

A: เกิดอะไรขึ้นกับความสนุก? นั่นเป็นสิ่งแรกที่ผมคิดและผมก็ต้องเตือนตัวเองเสมอว่าผมยืนกรานว่าเราต้องสนุกกัน ทำไมผมถึงลืมได้ล่ะ? ทำไมผมถึงกลายเป็นคนที่แค่นั่งหดหู่กับแรงกดดันของตารางการทำงานล่ะ? บทโทนี สตาร์คเป็นบทที่สนุกมากและความรู้สึกดีๆ ก็เริ่มต้นขึ้นที่บ้านครับ

Q: เนื้อเรื่องของ Extremis นำอะไรมาสู่ “Iron Man 3” ของมาร์เวลบ้าง

A: ผมจำได้ว่าตอนที่ผมอ่านการ์ตูน Iron Man ช่วงหลังๆ มันมีตอนหนึ่งที่มีชื่อว่า Extremis และผมก็นำมันมาด้วยตอนปี 2007 ที่เราถ่ายทำ “Iron Man” ภาคแรก ผมบอกว่า “มันเจ๋งดีนะ” ทุกคนก็แบบ “ก็ใช่นะ” แล้วใน “Iron Man 2” ผมก็พูดอีกครั้งว่า “Extremis นี่เจ๋งดีนะ” “ก็ใช่นะ” แต่เชน [แบล็ค] ชื่นชอบไอเดียของพวก Extremis จริงๆ และคิดว่าเราจะนำมันมาเกี่ยวข้องด้วยได้ยังไง ดังนั้น ใน “Iron Man 3” Extremis คือสิ่งที่นำมายาเข้ามา มันเป็นสิ่งที่นำคิลเลียนเข้ามาด้วย แล้วมันก็เกี่ยวกับแก่นเรื่องที่ว่า เอาล่ะ เราไม่อยากให้มีชุดที่ทับซ้อนกัน แล้วอะไรคือทางเลือกอื่นล่ะ? Extremis เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ในแง่อื่นๆนอกเหนือจากเรื่องทางทหารเหมือนกัน จริงๆแล้ว สิ่งที่มายาพยายามจะทำกับการค้นคว้าของเธอ ตามความคิดของเธอแล้ว คือเรื่องทำนองที่จะทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบล แต่ในโลกของเรา มันคือสิ่งประดิษฐ์ระดับรางวัลโนบลที่เกิดผิดพลาดไปน่ะครับ

Q: ทำไมการนำแฮปปี้กลับมาถึงเป็นสิ่งสำคัญ?

A: จอน แฟฟโร อย่างที่เราจดจำเขาได้ เป็นหนึ่งในนักแสดงที่วิเศษสุดและน่าดูที่สุดในบรรดานักแสดงรุ่นราวเดียวกับเขา และผมก็คิดว่ามันไม่ค่อยจะถูกนำเสนอออกมาเท่าไหร่ ผมรู้สึกว่าไอเดียสำคัญอู่ที่ตรงนี้ คือแฮปปี้เป็นตัวละครสำคัญของเรื่อง นอกเหนือจากโรดี้แล้ว เขาก็เป็นคนที่ใกล้ชิดกับโทนีมากที่สุด เขาเป็นศูรย์กลางของเรื่อง และเมื่อเขาเข้ามา เขาก็แค่เหมือนพาทุกคนไปโรงเรียน เพราะเขามีอิสระของการไม่ต้องกังวลว่าอะไรจะอยู่ในแผ่นงานบ้าง เขาเป็นแค่คนที่เข้ามาแสดงและสนุกกับมันเพียงเท่านั้น ผมก็เลยคิดว่า ก. สำหรับแฟนๆ ข. สำหรับเราทุกคนที่รักเขามากเหลือเกิน ค. สำหรับเชน ง. สำหรับทีมนักแสดงที่เหลือทั้งที่มีประสบการณ์โดยตรงกับเขา หรือคนที่เข้าใจว่าเขาเป็นเหมือนสาเหตุหลักที่ทำให้เราทุกคนมายืนอยู่จุดนี้ มันเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดครับ ผมคิดว่าเขาอาจจะลงเอยด้วยการมีช่วงเวลาที่น่าประทับใจและเพลิดเพลินที่สุดในเรื่องก็เป็นได้

Q: ในภาคนี้ เรื่องราวดำเนินไปอย่างสะเทือนอารมณ์มากๆ ใช่มั้ย

A: ครับ เช่นเดียวกับอย่างอื่น มันมีคำถามเกิดขึ้นเสมอว่า “เอาล่ะ มันเริ่มต้นที่ตรงไหน โอเค เขามีสะเก็ดระเบิดในหัวใจเขา แล้วเขาแก้ปัญหายังไง อ๋อ ใช่ ยินเซนได้ใส่แม่เหล็กไฟฟ้าเข้าไปในตัวเขา แล้วเขาทำยังไงต่อ ใช่ เขาก็เอาตัวปฏิกรณ์อาร์คใส่เข้าไปในตัวเอง แล้วมันส่งผลยังไง มันก็เป็นตัวส่งพลังให้กับทุกอย่างนับตั้งแต่นั้นมา แล้วเกิดอะไรขึ้นอีก มันก็เริ่มปล่อยพิษทำร้ายเขา แล้วเกิดอะไรต่อ พ่อของเขาได้ทิ้งข้อความหลังความตายฝากถึงเขาเพื่อแนะนำวิธีลึกลับในการปกป้องหัวใจตัวเองกับเขาน่ะสิ”

แต่พอเราเริ่มทำงานใน “Iron Man 3” เขาก็ทำหัวใจให้สมบูรณ์โดยไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับแผลตั้งแต่ต้น ดังนั้น พอคุณมีองค์ประกอบทั้งหมดนี้ในเรื่องเรียบร้อยแล้ว คุณก็จะคิดว่า “เอาล่ะ เมื่อเรื่องทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นพร้อมกัน เขาจะทำอะไรล่ะ” ผมคิดว่ามันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำได้ และเราก็ลองพยายามอย่างอื่น เขียนอย่างอื่น และคุยถึงอย่างอื่น และผมก็คิดว่า สิ่งที่เราเลือกมันเป็นอะไรที่ใช่สุดๆ

Q: เมื่อเปรียบเทียบกับการใส่ชุดเกราะในภาคแรก กับการใส่ชุดเกราะในตอนนี้ มันมีอะไรพัฒนาขึ้นบ้าง

A: สิ่งที่ตลกก็คือ มาร์ค 1 ค่อนข้างจะเทอะทะ แต่มันก็สวย และถ้าคุณถามบางคน พวกเขาก็ชอบชุดนี้ก่อนที่มันจะเป็นชุดที่ใครๆ รู้จักจากการ์ตูนหรือแฟรนไชส์เสียอีก แล้วมันก็เป็นแค่เรื่องของกลุ่มคนที่คิดหาคำตอบว่าจะทำยังไงให้มันอยู่รอดและจะใช้ทรัพยากรจากแผนกอื่นๆ ยังไง ดังนั้น สำหรับผมแล้ว มันก็ง่ายขึ้นๆ เรื่อยๆ มันมาถึงจุดที่ว่าผมสามารถสวมชุดเกราะที่มีอุปกรณ์มากมายได้โดยไม่รู้สึกอึดอัดได้เป็นระยะเวลานานๆ ผมมีเรื่องให้บ่นน้อยลง ซึ่งก็ทำให้ผมสับสนนิดๆ แต่มันก็ช่วยให้ผมทุ่มสมาธิสู่เรื่องราวและเพื่อนร่วมแสดงของผมได้ใหม่ครับ

Q: การถ่ายทำครั้งนี้แตกต่างจากใน “Iron Man” สองภาคแรกยังไง

A: ในหนังเรื่องนี้ เรามีออกกองตอนกลางคืนหลายครั้ง และมีบางครั้งในการถ่ายทำตอนกลางคืน ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน และมันก็เป็นตอนตีสี่ ซึ่งมีประเด็นเกี่ยวกับพล็อต 25 ประเด็น พร้อมด้วยตัวละคร 6 ตัว ซึ่งคุณก็จะคิดว่า “ว้าว” และสิ่งที่แก้ปัญหาเรื่องความซับซ้อนได้ดีที่สุดคือช่วงเวลาดีๆ ครับ ดังนั้นผมก็คิดว่านับตั้งแต่ “Iron Man” ภาคแรก มันก็ทั้งเครียด และมีทั้งความหวังและความน่าตื่นเต้นพอๆ กับที่เรามีในตอนที่หนังเรื่องนี้ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ความสำเร็จ มันเป็นการกลับมาอีกครั้งของความสนุกและความรู้สึกดีๆ ครับ ผมคิดว่าตอนนี้ ทุกคนต่างก็เชื่อใจตัวเองเหมือนกัน มันเหมือนกับว่าเราทำแบบนี้มานานพอที่จะไม่ลังเลอีกแล้ว แต่เราจะวิจารณ์กันและกันเพราะเราเคยชินกับมันและมันก็ช่วยผลักดันทุกอย่างให้ก้าวไปใกล้ขอบไปอีก แต่ครั้งนี้ เหมือนว่าเราเริ่มต้นตรงขอบแล้ว และเราก็ร่วงลงสู่หุบเหวด้วยกันครับ

"Q: ทำไมพวกคุณถึงตัดสินใจเลือก แมนดาริน แล้วทำไมถึงเลือกเซอร์เบน คิงส์ลีย์ล่ะ

A: นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่มาร์เวลทำได้ดีที่สุด คือมาร์เวลคัดเลือกนักแสดงอย่างรอบคอบและใช้ความคิดมากๆ และพวกเขาก็กล้าตัดสินใจด้วย

เซอร์เบนเป็นส่วนผสมผสานระหว่างศิลปินที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ผู้มาพร้อมกับไอเดียหลายอย่างที่ชัดเจน ที่เป็นสิ่งจำเป็นและจำเป็นจะต้องถูกนำมาใช้ แล้วเขาก็เป็นคนตัดสินใจที่จะปลดปล่อยตัวเองและเล่นบทบาทสมมติในพื้นที่นี้ เหมือนกับเด็กห้าขวบที่เล่นสมมติในสนามทรายครับ ผมคิดว่าสิ่งที่สนุกที่สุดสำหรับผมในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้คือการมองสิ่งที่เขาทำ ซึ่งคุณไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่ามันจะอยู่ในบท ก่อนหน้าที่พวกเขาจะพูดว่า “เริ่มได้” ผมว่าคำพูดนี้ที่มาจากตัวผมเองที่ภาคภูมิใจในการแสดงอิมโพรไวส์ก็บ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง ดังนั้น ในแง่หนึ่ง หนังเรื่องนี้ไม่ว่าจะเวิร์คเลยหรือไม่น่าจะเป็นหนังอย่างที่มันเป็นถ้าเซอร์เบนไม่ทำในสิ่งที่เขาทำน่ะครับ

Q: ผู้ชมจะคาดหวังอะไรได้บ้าง

A: ผมบอกได้ตามตรงเลยว่าพวกเขาควรจะคาดหวังว่าจะเจอกับเรื่องเซอร์ไพรส์ตลอด นี่เป็นสิ่งที่เราจงใจทำให้เขาเข้าใจผิดเพื่อให้พวกเขาคิดในอีกทางหนึ่ง เป็นเหมือนการล่อเหยื่อน่ะครับ แต่ผมคิดว่าในหลายแง่มุม นี่เป็นหนังที่ให้ความพึงพอใจด้านอารมณ์มากที่สุดและมีความเพลิดเพลินในด้านเทคนิค ด้านแอ็กชันและด้านซูเปอร์ฮีโรมากที่สุดในบรรดาทั้งสามภาค มันสนุกมากครับ