JEDIYUTH’s Review: Cowboys & Aliens

Cowboys & Aliens ดัดแปลงจากนิยายภาพของสก็อต มิเชล โรเซนเบิร์ก ที่เป็นการผสมผสานของเรื่องราวแนวคาวบอยกับนิยายวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน และหนังเองก็ดูจะผสมสูตรของหนังทั้งสองแนวได้ค่อนข้างลงตัวด้วยครับ โดยให้คาวบอยเป็นส่วนผสมหลัก และให้ไซไฟเป็นส่วนผสมรอง ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เสียทีเดียวเพราะในปี 1969 ก็มีหนังอย่าง The Valley of Gwangi ที่เป็นการผสมหนังคาวบอยเข้ากับไซไฟมาก่อน (จะต่างกันที่เรื่องหนึ่งเป็นไดโนเสาร์ อีกเรื่องเป็นมนุษย์ต่างดาว) แต่ก็เป็นส่วนผสมที่นานๆ เราจะได้เห็นสักครั้ง

และเมื่อวัดจากหน้าหนังแล้ว Cowboys & Aliens ก็น่าจะเป็นหนังที่สร้างความพึงพอใจได้ไม่ยาก เพราะมีส่วนผสมที่สนุกของหนังทั้งสองแนวมาอยู่ร่วมกัน มีวัตถุดิบชั้นดีที่เป็นนักแสดงเก่งๆ อย่างแดเนียล เครก, แฮริสัน ฟอร์ด, โอลิเวีย ไวลด์, แซม ร็อคเวลล์ และพอล ดาโน มีผู้กำกับที่เก่งคนหนึ่งอย่างจอน เฟฟโร มาเป็นผู้ปรุง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมากลับค่อนข้างจืดชืด และทำได้ไม่ถึงศักยภาพที่ควรจะเป็น เหตุผลหลักมากจากบทหนังที่ซ้ำซาก เดาง่าย และหาทางออกให้แก่หนังง่ายเกินไป

โดยรวมแล้วหนังไม่ถึงกับแย่ครับ เพราะยังมีช่วงเวลาดีๆ อยู่ในนั้นหลายตอน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือฉากเปิดเรื่องที่คล้ายหนังลึกลับ หนังเปิดเรื่องที่เจค โลนเนอร์แกน (เครก) สิงห์ปืนไวแห่งตะวันตกแดนเถื่อนในนิวเม็กซิโก ปี 1875 ที่ตื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ปูมอดีตของตัวเอง จำไม่ได้แม้แต่ชื่อ รู้แต่ว่าตัวเองมีบาดแผลคล้ายถูกยิง มีภาพถ่ายของหญิงงามคนหนึ่งติดตัว และข้อมือมีอุปกรณ์คล้ายกำไลเหล็กรัดอยู่ ซึ่งช่วงเปิดเรื่องนี้ดูน่าติดตามดี ต้องยกความดีให้ความสามารถทางการแสดงของเครกที่ถ่ายทอดตัวละครนี้ออกมาได้ดูน่าสนใจ ด้วยบุคลิกคล้ายตัวละครของคลินท์ อีสต์วู้ด ในหนังคาวบอยประเภทที่มักพูดน้อยต่อยหนัก ใช้ความนิ่งสงบความเคลื่อนไหว แต่แสดงออกอย่างมีเสน่ห์แบบสตีฟ แม็คควีน

ช่วงต่อมาเป็นช่วงเวลาที่แนะนำให้เรารู้จักตัวละครอื่นๆ และความสัมพันธ์ของพวกเขาเหล่านั้น หนังดูจะมีการจัดการค่อนข้างดีในช่วงนี้เช่นกันครับ แม้ว่าตัวละครจะเป็นสูตรสำเร็จของหนังคาวบอยไปนิด แต่ด้วยความที่ฮอลลีวู้ดไม่ค่อยมีหนังคาวบอยออกมาในระยะหลังนี้ ทำให้ฉากเหล่านี้ดูน่าสนใจในแง่การหวนระลึกถึงหนังคาวบอยยุคเก่าที่พระเอกเป็นคนแปลกหน้า มีภูมิหลังดำมืด เข้าไปยังเมืองที่อาจไม่ต้อนรับเขา และคนในเมืองก็อยู่อย่างยำเกรงในอิทธิพลเหนือกฎหมายของเจ้าพ่อ

ตัวละครเจ้าพ่อในที่นี้คือพันโทดอลาร์ไฮด์ที่รับบทโดยแฮริสัน ฟอร์ด ซึ่งฟอร์ดเล่นออกมาได้ดูมีบารมี และน่าเกรงขาม จนอดทำให้นึกถึงตัวละครคาวบอยของจอห์น เวย์น ไม่ได้ ตัวละครอื่นๆ ก็เป็นตัวละครที่มีอยู่ทั่วไปในหนังคาวบอยครับ แต่ได้นักแสดงที่มีฝีมือมาเล่น จึงทำให้ดูมีสีสันมาก เช่นลูกชายที่ไม่เอาไหนของเจ้าพ่อ (พอล ดาโน) ผู้ชอบเบ่งอำนาจและกดขี่ชาวบ้านไปวันๆ เจ้าของร้านเหล้า(แซม ร็อคเวลล์) ที่ไม่ชอบใช้กำลังและเก็บกดจากการถูกกดขี่ นักเทศน์(แคลนซี บราวน์)ที่เลื่อมใสในพระเจ้าและเป็นผู้ชี้ทางเดินที่ถูกต้องให้พระเอก เด็กชายไร้เดียงสา(โนอาห์ ริงเกอร์) ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่จากการผจญภัย และที่โดดเด่นที่สุดคือเอลล่า (โอลิเวีย ไวลด์) หญิงสาวลึกลับที่ดูจะเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดดีที่สุด และพยายามคอยช่วยเหลือพระเอก

หนังปูความขัดแย้งระหว่างเจคและดอลาร์ไฮด์ได้ค่อนข้างดี เป็นศัตรูที่จะฆ่าแกงกันได้ แต่เพราะการรุกรานของมนุษย์ต่างดาวอย่างเต็มตัวและมาลักพาคนในเมืองไป ตัวละครเหล่านี้จึงต้องหันหน้าเข้าหากันเพื่อไปช่วยคนอันเป็นที่รักของพวกเขา ดอลาร์ไฮด์จำเป็นต้องพึ่งเจคเพราะมีอาวุธไฮเทคที่จะสู้กับผู้บุกรุกที่บินได้เหล่านี้ ขณะที่เจคก็มีอีกเหตุผลในการออกเดินทางครั้งนี้ นั่นก็คือความจริงเกี่ยวกับอดีตของตัวเขา

ครึ่งหลังของหนังคล้าย The Searchers หนังปี 1956 ของจอห์น ฟอร์ด หรือ The Missing หนังปี 2003 ของรอน เฮาเวิร์ด ที่เหล่าตัวเองต้องแกะรอยและบุกถิ่นเสือแดนสิงห์เพื่อช่วยผู้คนออกมา ซึ่งเปลี่ยนจากอินเดียนแดงเผ่าอาปาเช่อันน่ากลัวเป็นเอเลี่ยนแทน แล้วระหว่างเดินทางก็ได้พบตัวละครที่มาช่วยไขปริศนาอดีตของเจค และเฉลยความลึกลับของเอลล่าที่มีส่วนสำคัญในการต่อสู้กับเอเลี่ยน

ครึ่งหลังของหนังนี่แหละที่น่าจะเป็นปัญหาส่วนใหญ่ของหนังครับ อย่างแรกก็คือการเน้นไปที่เรื่องราวสืบหาอดีตของเจคมากเกินไป ทำให้เรื่องราวที่แทนที่จะเดินไปข้างหน้ากลับหนืดลงในบางขณะ ทั้งที่น่าจะแบ่งพื้นที่เพื่อคลี่คลายปมขัดแย้งของตัวละครให้มากกว่านี้ ความเข้มข้นของหนังจึงถูกลดทอนลงไป

เจคกับพันโทดอลาร์ไฮด์ก็ดูจะญาติดีกันเร็วมาก ทั้งที่ควรจะสร้างเรื่องราวให้ค่อยเป็นค่อยไป ดอลาร์ไฮด์ที่ดูน่ายำเกรงในตอนแรกก็ดูเหมือนคนละคนในครึ่งหลัง และหลายครั้งกลายเป็นตัวฮาแทน ทำให้อารมณ์ไปได้ไม่สุดเมื่อตอนหลังจะต้องสวมบทเหี้ยมเพื่อลุยกับเอเลี่ยน ตัวละครสมทบอื่นๆ ที่น่าจะได้เป็นสีสันในครึ่งหลังก็ดูจะถูกลืมหายไปด้วยครับ เช่นตัวละครของร็อคเวลล์ที่ในตัวอย่างหนังเหมือนจะมีบทบาทมากกว่านี้ก็ดูจะถูกตัดหายออกไป

เอเลี่ยนก็เป็นปัญหาใหญ่สำคัญในหนังเรื่องนี้เช่นกัน งานออกแบบอสุรกายไม่เพียงดูเชยเมื่อเทียบกับหนังแนวนี้ในรอบหลายปี แต่ยังดูตลกด้วย เหมือนหลุดมาจากหนัง Men in Black และทำให้รู้สึกหมือนพวกมันมาอยู่ผิดเรื่องเมื่อจะสวมบทน่ากลัวแบบ Alien ของริดลี่ย์ สก็อต

ฉากปะทะกันในตอนท้ายของหนังก็ทำออกมาได้ราบเรียบ เดาง่าย และไร้อารมณ์ร่วมอย่างมาก เพราะหนังใช้สูตรสำเร็จของหนังไซไฟเอเลี่ยนบุกโลกที่เห็นกันจนเกร่อในยุคหลังจนคนดูจับทางได้ไม่ยากว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ ฉากภาวะคับขันบางฉากก็เล่นบ่อยเกินไป เช่นที่ตัวละครหนึ่งจนมุมและจะไม่รอดแล้วจู่ๆ ก็มีอีกตัวละครโดดมาช่วยจากไหนก็ไม่รู้ หนังเรื่องนี้ดูจะใช้มุขนี้บ่อยจนเฝือ

การออกแบบฉากบู้ที่ช่วยสร้างความมันส์ให้แก่หนังก็ทำได้ไม่ดี เพราะออกแบบได้ธรรมดา และสะเปะสะปะในบางครั้ง คงจะดีกว่านี้หากหนังยืมแนวทางของฉากบู้จากหนังหนังคาวบอยในตำนานที่ไม่ได้เห็นนานแล้วมาใช้

Cowboys and Aliens นับว่าเป็นอีกตัวอย่างอันคลาสสิคของฮอลลีวู้ดที่มีของดีอยู่ในมือ แต่บริหารจัดการผิดพลาด ทำให้หนังที่มีศักยภาพที่จะเป็นหนังที่ดีมากเรื่องหนึ่ง ไปได้ไม่สุดทางของมัน

คะแนน 7/10

เจไดยุทธ

ข้อมูลหนัง Cowboys and Aliens
ชื่อไทย สงครามพันธุ์เดือด คาวบอยปะทะเอเลี่ยน
วันฉายในไทย 25 สิงหาคม 2554
แนวหนัง แอ็คชั่น,ไซไฟ,แฟนตาซี
ผู้กำกับ จอน แฟฟโร
นักแสดง เดเนี่ยล เครก, แฮริสัน ฟอร์ด, โอลิเวีย ไวลด์, แซม ร็อคเวลล์ และ พอล ดาโน
เว็บไซต์ทางการ http://www.cowboysandaliensmovie.com

8 comments

  1. เพิ่งดูจากแผ่น เป็นหนังที่ราบเรียบมาก ไม่มีช่วงไหนที่พีคเลย ปีนี้เฮียเครกทำแฮททริค สตูดิโอเห็นรายได้หนังเฮียเครกปีนี้แล้ว คงไม่กล้าจ้างไปสักระยะ รอดูผลของ Skyfall ก่อนค่อยคุยกัน

  2. หวังไว้เยอะ แต่ก็ผิดหวังเยอะเหมือนกัน เนื้อหาที่เล่นล่อหลอกคนดูด้วยการสลับปูมหลังของพระเอกไปมา ทำให้กลายเป็นความยืดเย้อน่าเบื่อเป็นอย่างมาก หนังไม่ได้มาพร้อมกับความมันส์ด้วยฉากแอ็คชั่นอย่างที่หลายคนคิด นี่ล่ะครับที่ทำให้หนัง”แป่ก” !

  3. เรื่องนี้ผมไม่ได้หวังอะไรมากครับ ส่วนตัวรู้สึกว่าหนังเล่าเรื่องราวตัวละครได้ดีครับ

    แต่โดยภาพรวมเมื่อดูจบแล้วกลับไม่ค่อยติดใจซักเท่าไร เหตุผลก็อาจเป็นไปตามที่คุณเจไดยุทธได้กล่าวไว้แล้วละมั้งครับ ที่ฉากหลังมันสะเปะสะปะมากเกินไป – -“

Leave a Reply to ThaijorCancel reply