งานคอมมิคคอนเมื่อกลางปีที่แล้ว ตอนที่วอร์เนอร์ บราเธอร์สประกาศสร้างภาคต่อ Man of Steel ว่าเรื่องราวจะเป็นการปะทะกันของแบทแมนและซูเปอร์แมน ก่อนที่แซ็ค สไนเดอร์จะขึ้นเวที ก็มีการอ่านคำพูดสำคัญที่ตัดมาจากนิยายภาพชุด The Dark Knight Returns ซึ่งต่อมาสไนเดอร์ก็ขยายความว่าหนังภาคต่อเรื่องนี้ของเขาจะใช้แรงบันดาลใจจากนิยายภาพเรื่องนี้ของแฟรงก์ มิลเลอร์ ครับ

แต่นิยายภาพจะมีอิทธิพลแค่ไหนต่อหนัง สไนเดอร์ได้ให้ข้อมูลอีกเล็กน้อยในการให้สัมภาษณ์นิตยสารของฝรั่งเศสชื่อ Popcorn ซึ่งเว็บไซต์ Comic Book ได้เอามาลง และสไนเดอร์บอกว่า “หนังสือคอมมิคเล่มนั้นจะมีอิทธิพลต่อประวัติความเป็นมาของ Batman vs Superman ที่ผู้เขียนบท เดวิด เอส. โกเยอร์ และผม จะใช้ทำงาน”

ข้อมูลจากวิกิบอกว่า ประวัติเรื่องราวของ Batman vs Superman ในนิยายภาพดังกล่าวมีฉากเป็นโลกอนาคตที่บิดเบี้ยว ประชาชนถูกรัฐบาลพยายามชักจุงให้มองโลกในแง่ดี ซูเปอร์แมนถูกรัฐบังคับให้เลิกออกมาปราบอธรรม หรือไม่งั้นเขาก็ไม่เป็นที่เชื่อใจของประชาชนอยู่แล้ว ส่วนมนุษย์ค้างคาวก็หายไปจากเมืองนานมาก หลังจากบรูซ เวย์น เลิกเป็นมนุษย์ค้างคาวหลังจากการตายของโรบินคนที่สอง ทำให้อาชญากรฮึกเหิม และก็มีตัวร้ายเข้ามาคุกคาม จนในที่สุดอัศวินราตรีก็ต้องกลับมา นี่อาจเป็นที่มาคร่าวๆ ที่หนังจะเอามาใช้ครับ การที่ซูเปอร์แมนถูกบังคับให้เลิกมาปราบผู้ร้ายและการที่ผู้คนก็ไม่เชื่อใจเขาก็มีความเป็นไปได้สูงในแง่เนื้อเรื่อง ถ้าดูจากช่วงตอนจบของ Man of Steel ผมว่าฐานของเรื่องน่าจะมาจากตรงนี้ และน่าจะรวมถึงความสัมพันธ์ของสองตัวเอกด้วย แต่ตัวละครอื่นๆ จะเข้ามาอยู่ในเนื้อเรื่องได้ยังไง ก็คงมีการเขียนเพิ่มเติมเข้าไปครับ

สไนเดอร์ยังให้ความเห็นต่อการที่เบน แอฟเฟล็ค จะมารับบทเป็นบรูซ เวย์นและแบทแมน ในวัยกลางคนด้วยว่า “เบนมาถ่วงดุลการแสดงของเฮนรี่ คาวิลล์ ในบทซูเปอร์แมน ได้อย่างน่าสนใจ เขามีประสบการณ์ที่จำเป็นของผู้ชายที่แก่กว่า และรอบคอบกว่าคลาร์ก เคนท์ และยังมีบาดแผลของผู้ที่ผ่านสมรภูมิมาอย่างช่ำชอง ขณะเดียวกันก็ยังคงเสน่ห์ของบรูซ เวย์น เมื่อต้องนำเสนอมันต่อโลก”

หนังจะเปิดกล้องเร็วๆ นี้ เพื่อออกฉายกลางปี 2016 ครับ