“Red Life” – ความเห็นจากนักดูหนังและนักวิจารณ์

image via BrandThink Cinema

แม้ว่าจะได้โรงและรอบน้อยกว่า “สัปเหร่อ”, “ธี่หยด” และ “The Marvels” แต่รายได้เฉลี่ยต่อรอบของ “RedLife” หนังชีวิตเข้มข้นผสมเรื่องราวความรักว่าด้วยคนชายขอบในย่านวงเวียน 22 0kdผู้กำกับ เอกลักญ กรรณศรณ์ ก็ยังยืนหยัดโดดเด่นด้วยจำนวนผู้ชมต่อรอบที่แน่นตลอดสองสัปดาห์ครับ ทำเงินไปแล้วกว่า 4 ล้านบาทในตอนนี้ ถ้าได้รอบฉายเยอะกว่านี้ รายได้ก็อาจมากขึ้นไปอีกก็ได้ ถือว่าได้รับการตอบรับที่ใช้ได้สำหรับผลงานเรื่องแรกจากค่ายน้องใหม่ BrandThink Cinema ครับ

ความเห็นโดยรวมจากผู้ที่ชมแล้ว ทั้งคนดัง นักดูหนัง และนักวิจารณ์ ชื่นชมเนื้อหาหนังที่กล้าฉีกแนวจากตลาดหนังไทยโดยทั่วไปครับ เราไม่ได้เห็นหนังที่เอาเนื้อหาสะท้อนสังคมแบบนี้มานำเสนอนานมาก ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายคนเชียร์ให้ผู้คนได้ไปชมหนังเพื่อเราจะได้มีหนังแหวกตลาดแบบนี้ออกมาอีก ความชื่นชมต่อหนังยังรวมไปถึงทีมนักแสดงที่โดดเด่น มีนักแสดงที่โดนใจผู้ชมหลากหลายแตกต่างกันไปเพราะดูเหมือนว่านักแสดงทุกคนได้มีโอกาสปล่อยของกันหมด คำชมยังรวมไปถึงงานสร้างและงานภาพที่ถ่ายทอดชีวิตผู้คนได้ดูสมจริงด้วย ขณะที่ความเห็นเชิงลบมักอยู่ที่หนังยังขาดอารมณ์ หรือยังสร้างอารมณ์ร่วมได้ไม่ดีพอครับ

ตัวอย่างของความเห็นก็เช่น ผู้กำกับคงเดช จาตุรันต์รัศมี ที่ได้ชมงานถ่ายภาพของก๊อย บุณยนุช ไกรทอง เป็นพิเศษ ตามที่เขียนไว้บนเฟซบุกว่านักแสดงดีกันหมดทุกคน ที่น่าชื่นชมมากๆคืองานภาพของก๊อยยยย เพราะย่านนั้นแทบจะเป็นตัวะครหลักยิ่งกว่ามนุษย์ เราผ่านบ่อยและคุ้นเคยดี ไปสเกาท์อยู่เรื่อย ไปถ่ายมาก็หลายหน แต่ก๊อยสามารถจับบรรยากาศ texture ออกมาได้อย่างได้กลิ่นระดับขมคอ น่ายินดีที่เรามีสตูดิโอใหม่ที่ทำหนังอย่างตั้งใจขนาดนี้ อยากให้ไปลองชมกันเยอะๆ ใครบอกว่าหนังไทยมีอยู่ไม่กี่แนว ไม่หลากหลาย จะตบปาก

คุณชายอดัม เฉลิมชาตรี ยุคล ดูเหมือนถูกใจทีมนักแสดงเป็นพิเศษครับ ตามที่เขียนข้อความส่วนหนึ่งไว้บนเฟซบุกว่า “นักแสดงและทีมงานของเรื่องนี้ควรจะภูมิใจครับว่าได้มีส่วนที่ทำให้หนังเรื่องนี้มีพลังในทุกๆองค์ประกอบ จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งก็คงไม่ได้เลย ….ดังนั้นทุกคนยอดเยี่ยมมากๆเลยครับ” และยังชมการเล่าเรื่องของหนังว่า “หนังเล่าเรื่องอย่างดุดัน ค่อยๆบี้และขยี้เราไปจนจุดที่ท้ายที่สุดมันทำให้เราค้นพบว่าโลกไม่เคยใจดีกับคนจำนวนมากเลย

ขณะที่อ.ประวิทย์ แต่งอักษร ก็ได้ยกย่องเนื้อหาของหนังครับว่า “ในแง่หนึ่ง redlife เป็นหนังที่น่าชื่นชมในแง่ที่มันฉีกตัวเองจากกรอบเนื้อหาที่คุ้นเคย หรืออีกนัยหนึ่ง เรื่องของคนชายขอบเมืองกรุงเป็นหัวข้อที่ไม่ค่อยมีใครนำมาสร้างเป็นหนังเท่าไหร่นัก และก็ต้องปรบมือให้กับความไม่ประนีประนอม โดยเฉพาะการพาคนดูไปสัมผัสชีวิตที่กักขฬะและหยาบกร้าน และตัวละครแต่ละคนก็อาจเปรียบได้กับระเบิดเวลาที่พร้อมจะถูกจุดชนวน” แต่ก็มีข้อติติงในแง่การเล่าเรื่อง “ส่วนตัวรู้สึกว่าดรามาติกของหนังทำงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าที่ควร อันเป็นผลพวงจากสไตล์การนำเสนอที่หลายครั้ง มันสร้างระยะห่างระหว่างคนดูกับตัวละคร ทั้งงานกำกับภาพและงานออกแบบงานสร้างที่ดูประณีตพิถีพิถัน ทว่าจนแล้วจนรอด ความงามของมันกลับบดบังหรือแม้กระทั่งลบเลือนด้านที่ขรุขระของความเป็นจริง

วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา ก็ดูเหมือนมีข้อติงคล้ายกันครับว่า “…เราเฝ้ามองพวกเขาเหมือนเฝ้ามองตัวละคร ไม่ได้ยืนอยู่ข้างพวกเขาในฐานะเพื่อน เราตัดสินได้ทันทีว่าสิ่งที่พวกเขาจะทำให้พวกเขาซวย แต่เราไม่รู้สึก กูเข้าใจว่าทำไมมึงถึงทำ นั่นอาจจะเป็นจุดที่ทำให้หนัง สัมผัสกับเราในฐานะเรืองเล่าที่ปราณีต แต่ไม่ใช่เรื่องเล่าที่สะเทือนใจ เพราะเหตุการณ์สะเทือนน้อยกว่าภาพของผู้คน…

หนังเล่าเรื่องราวความรักของกลุ่มวัยรุ่นที่หลายคนไม่เคยมองเห็น บนเส้นทางชีวิตที่พวกเขาต้องดิ้นรนเอาตัวรอดพอๆ กับที่ต้องไขว่คว้าหาความรัก โดยจะพาผู้ชมออกเดินทางไปสัมผัสชีวิตของตัวละครหลักอย่าง ‘เต๋อ’ (แบงค์-ธิติ มหาโยธารักษ์) โจรกระจอกที่หาเงินด้วยการปล้นเพื่อสร้างชีวิตใหม่กับ ‘มายด์’ (จ๋อมแจ๋ม-กานต์พิชชา พงษ์พานิชย์) สาวขายบริการที่เขาทุ่มเทความรักให้ แต่ยิ่งเต๋อพยายามเพื่อรักมากเท่าไรก็ยิ่งพบว่าตัวเองกำลังพาชีวิตของเขาและมายด์ยิ่งสั่นคลอนมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่ ‘ส้ม’ (ซิดนีย์-สุพิชชา สังขจินดา) ลูกสาวคนเดียวของ ‘อ้อย’ (กรองทอง รัชตะวรรณ) โสเภณีข้างถนนที่ชีวิตต้องเปลี่ยนไปหลังตกหลุมรัก ‘พีช’ (ฝ้าย-สุมิตตา ดวงแก้ว) รุ่นพี่ไอดอลสาวผู้ทิ้งเรื่องราวปริศนาไว้ และทำให้ส้มได้รู้จักกับความรักที่ต้องแลกมาด้วยสิ่งที่ไม่คาดคิด

อ่านความเห็นเพิ่มเติมได้ที่ด้านล่างนี้ครับ

ชอบท่าทีที่หนังใช้เล่ามาก กำลังพอดีเลย เหมือนกำลังส่องดูชีวิตคนกลุ่มนี้อยู่จริงๆ” – ออม | A-tis T. Asanachinda

บทบาทและเนื้อเรื่องของ #RedLife ที่มืดมนผ่านชีวิตที่ต้องถีบหัวคนอื่นเพื่อเอาตัวรอดในย่านวงเวียน 22 อย่างเข้มข้น การแสดงที่รีดความรู้สึกออกมาจนกระแทกใจแทบทุกฉาก ที่ยิ่งกว่าเพลงช่องว่างในหัวใจ
หากรอคอยหนังไทยเนื้อเรื่องดาร์ก และกล้าเล่นด้านมืดที่ซุกซ่อนมานาน #เรดไลฟ์ คือคำตอบ
” – Kittipat Boyd

ในวันที่หนังไทยฉายแสงในใจคนดู หนังเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งหนังคุณภาพแห่งปี หนังเลือกเล่าแบบ Slice of Life แห่งชีวิตเซ็งเคร็งของคนจนที่มันไร้ความสวยงาม ไม่มีความฮีลใจ มีแต่ความจริงแสนเศร้า การแสดงดีมาก กำกับภาพเลิศเลอ แต่ถึงหนังจะหนักแต่การปล่อยให้ผู้ชมตามดูเอาเอง…” – ผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้

ไม่ได้เห็นภาพแบบนี้ในหนังไทยนานมาก หนังพูดถึงชะตากรรมของวัยรุ่นในย่านวงเวียน 22 กรกฎา การไขว่คว้าหาเงิน ความรักและตัวตน เนื้อหาออกมาจริงจังและโลกไม่สวย ในขณะที่งานสร้างดีงามพิถีพิถัน และนักแสดงก็เล่นกันแบบถวายชีวิต #เชียร์มาก” – HOUSE SAMYAN

อยากบอกว่าเป็น In the Mood For Love ในโลกของคนเทา ๆ ใต้บริบทชนชั้นล่างของสังคมกทม. หนังถ่ายภาพสวยแบบไม่หลบความจริง สะท้อนชีวิตวัยรุ่นในสถานะภาพติดลบอย่างหลากหลาย งานบทมีทั้งตรงไปตรงมา และเชิงซ้อน เล่าเรื่องเข้าสู่บทสรุปได้น่าติดตาม หนังดีเลยแหละ” – NerddoTwit

หนังดึงเราเข้าสู่มุมมืดของกทม.ในแบบที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยครั้งในหนังไทย และตรึงเราไว้กับชีวิตของหลากหลายตัวละครได้ดีมากเลย หลายซีนคือดิ่งสุด ขยี้หัวใจคนดูสุด ชอบวิธีการเล่า การเชื่อมโยงตัวละคร และชอบการแสดงของพี่ปู กรองทอง มาก ต้นปีหน้าต้องชิงรางวัลแน่ๆ” – 𝐆𝐎𝐒𝐒𝐈𝐏𝐆𝐔𝐍

เป็นหนังไทยอีกรสชาติที่ไม่ค่อยให้เห็นได้บ่อยนักในหนังไทย และทำออกมาถึง หนังขับความฟอนเฟะของกรุงเทพมหานครให้เราเห็นและเชื่อได้อย่างสนิทใจ…” – จับผิดหนัง

หนังชีวิตรสขมปี๋ของเหล่าผู้ไม่มีทางเลือกมากนัก ดูแล้วให้รสคล้ายหนังอเมริกันอินดี้ชีวิตบัดซบหลายๆ เรื่องที่เคยดู ส่วนตัวชอบ casting ทั้งเรื่องมากๆ เรียลสุดๆ ชอบเป็นพิเศษคือกรองทอง รัชตะวรรณ และพูดในฐานะแฟนคลับคนหนึ่งว่าดีใจกับน้องแบงค์ ธิติที่ได้เล่นบทที่ท้าทายขึ้นอีกในเรื่องนี้” – Ken

สะท้อนสังคมคนชายขอบในเมืองหลวง หนังเต็มไปด้วยการกระทำสิ้นคิดในหลายระดับ แต่แทนที่จะรู้สึกสงสัย กลับชวนให้เราสิ้นหวังและรับรู้ความแร้นแค้นตกต่ำที่ไม่สามารถถูกกู้ดึงจากใครได้สักคนไปพร้อมกัน เป็นหนังไทยน้ำดีที่บอกเล่าเรื่องราวซึ่งไม่ได้ถูกถ่ายทอดในกระแสหลักบ่อยนัก ให้ 8/10” – Nangdee.com

ฟีลหนังเทศกาลเลยไม่รู้สึกใหม่ขนาดนั้น เนื้อหาหนัก มีอะไรเล่าเยอะแต่เหมือนเวลาหนังไม่พอจึงยังรู้สึกขาดบางอย่าง เป็นการขุดไปถึงความจริงที่สังคมไม่เหลียวแล จุดต่ำสุดของคนที่กระเสือกกระสนจะหลุดพ้นจากชีวิตบัดซบ แต่ความเหลื่อมล้ำไม่เอื้อให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตนอกจากอยู่รอดไปวัน ๆ” – 🖤𝕍𝕚𝕠𝕝𝕖𝕥𝕥𝕒 ℕ.𝔹𝕖𝕝💜

อีกหนึ่งเรื่องที่เล่าถึงคนชายขอบในเมืองกรุง ที่บางคนมองไม่เห็นหรือทำเป็นมองไม่เห็น หากมองในภาพกว้างตัวหนังไม่ได้แปลกใหม่อะไรในการนำเสนอ และดูมีเรื่องอยากเล่าเยอะจนไม่ได้เจาะบางจุดไปอย่างน่าเสียดาย แต่มองอีกมุมก็เพิ่มความหลากหลายของหนังไทยและสารได้ส่งถึงคนในวงกว้างมากขึ้น” – Closing Credits

นำเสนอโลกอันหดหู่ของคนระดับล่าง ที่อยู่ท่ามกลางวังวนและวงเวียน พวกเขาจะหนีรอดไปไหนได้บ้าง ทุกตัวเล่นดี บทพูดก็ดี โปรดักชั่น/ดนตรีประกอบเจ๋งหมด แม้จะมีบางช่วงที่หนังเดินช้า กับบางตัวละครก็ยังไม่เคลียร์” – PatSonic.Com

รสชาติขมขื่นของชีวิตชายขอบ ถ่ายทอดอีกซอกมุมของ ‘คนกรุงเทพ’ ที่ไม่ศิวิไลซ์ โสมมปนเวทนา แม้จะขับเคลื่อนด้วย ‘ความรัก’ ที่มีหลายแบบ แต่ทุกคนล้วนวนอยู่ในวงจรของความบัดซบ นักแสดงรุ่นเล็กใหญ่เล่นดีจนต้องชม เป็นมู้ดของหนังไทยที่อยากเห็น ขาดเกินไม่สมบูรณ์ก็จริง แต่ชอบนะ” – I-TIM • lll

เป็นหนังที่คงทำงานได้ดีกว่าหากถูกเล่าในรูปแบบซีรี่ส์ เนื่องด้วยเส้นเรื่องตลค.ที่ค่อนข้างเยอะและต้องพึ่งพาการซึบซับอารมณ์อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้จุดพลิกผันออกมาแห้งและเบาหวิวเกินกว่าที่ควรเป็นแม้โปรดักชั่น การแสดงและบรรยากาศจะมาถูกทางมากๆแล้วก็ตาม” – Younglawliche

RedLife โดยองค์รวมอยู่ในขั้นน่าพอใจ และอยากให้กำลังใจผู้สร้างหนังกลุ่มใหม่ที่พยายามหาแนวทางใหม่ๆ หยิบประเด็นใหม่ๆ ที่หายไปจากโรงนับตั้งแต่ “เสียดาย” ของท่านมุ้ย (เท่าที่นึกออกนะครับ อาจมีหนังแบบนี้หลังจากนั้น แต่นึกไม่ออก) แต่หนังยังไม่ถึงขั้นน่าประทับใจนัก ส่วนที่เด่นสุดของหนังคือทีมนักแสดง และที่เด่นเหนือเด่นไปอีกคือการแสดงของกรองทอง รัชตะวรรณ ในบทแม่อ้อย…” – JEDIYUTH

Leave a Reply