อาโป ณัฐวิญญ์ กับบท “เขม” นายรำผู้อ่อนต่อโลกและฝันอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ใน “แมนสรวง”

ครั้งแรกที่ อาโป ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ ร่วมงานกับบีออนคลาวด์คือในซีรี่ส์วายแนวมาเฟียเนื้อหาเข้มข้นชุด “KinnPorsche: The Series” นั้น เขารับบทเป็นพอร์ช พี่ชายที่กร้านโลกที่ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์เพื่อดูแลน้องชาย แต่จับพลัดจับผลูเข้าสู่โลกของมาเฟียที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม การหักหลัง การฆาตกรรม และการเอาตัวรอด มันเหมือนตัวละครต้องก้าวออกจากโลกสีเทาๆ แล้วเข้าสู่โลกที่ดำสนิท แต่ใน “แมนสรวง” ผลงานเรื่องที่สองที่ร่วมกัน ทั้งตัวละครและโลกของตัวละครแล้วมีความแตกต่างจากกันอย่างเหมือนคนละโลกเลยครับ ตามที่อาโปเล่าในโปรดักชั่นโน้ตหรือบันทึกเกี่ยวกับงานสร้างของหนังที่บีออนคลาวด์ส่งมาให้เป็นข้อมูล
ใน “แมนสรวง” นั้น อาโปต้องรับบทเป็นเขม อาศัยอยู่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หรือให้ชัดเลยก็คือในปลายสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งเขมนั้นอาจจะปากกัดเท้าถีบเหมือนพอร์ชและอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่เขมก็เป็นตัวละครที่ค่อนข้างมาจากโลกที่มีสีขาวกว่า มีความไร้เดียงสา มองทุกอย่างในแง่ดี และขณะที่พอร์ชต้องจำใจไปเป็นบอดี้การ์ดให้มาเฟียเพื่อเลื่อนฐานะของตน เขมเข้าไปเป็นนายรำในสถานเริงรมย์ที่มีชื่อเดียวกับชื่อหนังครับ
“เขมเป็นคนที่อ่อนต่อโลกมากๆ และเขาเป็นคนมองทุกคนในแง่บวกตลอดเวลา ซึ่งเขมเนี่ยอยู่ในยุคของปลายรัชกาลที่ 3 และช่วงนี้มันก็มีแค่ไม่กี่อย่างที่ทำให้เลื่อนชั้นทางสังคมได้ ด้วยความทะเยอทะยานและรักในการรำ เขมจึงเลือกการรำเพื่อเลื่อนชนชั้นในสังคมจนได้จับพลัดจับผลูเข้าไปในแมนสรวง เขาจึงได้พบอีกโลกหนึ่งที่ว่าอะเมซิ่งมาก มันเป็นที่ที่ใครอยากจะเป็นอะไรก็ได้ อยากทำอะไรก็ได้ เขมเลยรู้สึกตื่นเต้นกับโลกใบนี้อย่างมาก แต่ที่แห่งนี้ก็เปลี่ยนชีวิตเขมไปอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน” อาโปเล่าถึงตัวละครของเขมในโปรดักชั่นโน้ตของหนัง “แมนสรวง” ครับ
แต่ความยากอย่างหนึ่งของการรับบทเป็นเขมนั้นก็คือต้องรับบทเป็นตัวละครในอีกยุคสมัยที่มุมมองและความคิดแตกต่างจากคนในอีกสองร้อยกว่าปีให้หลังแน่ๆ นั่นคือการบ้านอย่างหนักของอาโปที่ต้องพยายามทำความเข้าใจกับตัวละครเพื่อให้สวมบทบาทนี้ให้ดูน่าเชื่อครับ
“ผมก็ตีความก่อนว่าตัวละครอายุเท่าไหร่ เป็นคนยังไง โตมาแบบไหน สภาพแวดล้อมเป็นยังไง แล้วก็ย้อนกลับไปว่าเขาอยู่ในยุคไหน พ.ศ.อะไร แล้วในยุคนั้นมุมมองของคนและสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร จากนั้นก็ค่อยๆ ปั้นตัวละครนี้ขึ้นมา ถ้าสมมติว่าเป็นคนที่อายุประมาณนี้ อายุประมาณ 20 กว่าๆ ได้ไปอยู่ในสังคมของเมื่อ 200 กว่าปีก่อน เขาจะเป็นตัวของตัวเองมันยากมาก แถมเป็นไพร่ด้วย ฉะนั้น การที่ได้เป็นตัวของตัวเองและเลื่อนชนชั้นทางสังคม โอกาสมันมีแค่ 0.01% เขมเลยเลือกสิ่งที่เขารัก นั่นคือการรำ”
แต่ความท้าทายต่อบทเขมไม่ได้อยู่แค่การรับบทเป็นตัวละครย้อนยุคเท่านั้น การที่ตัวละครมีความกลมและมีมิติอย่างที่ไม่เคยเล่นมาก่อนก็เป็นอีกความท้าทายสำคัญครับ
“ตอนอ่านบทหนังแมนสรวงครั้งแรก ยอมรับเลยว่าตื่นเต้นและงง เพราะว่าก่อนหน้านี้ ผมเล่นแต่เมโลดราม่า ซึ่งเมโลดราม่าเป็นแบบพระเอกดีเหลือเกิน ตัวร้ายชั่วแบบหาที่ติไม่ได้ ไม่มีมิติความซับซ้อนของตัวละครมากนัก แต่พอได้อ่านบทเรื่องนี้ครั้งแรก รู้สึกว่าทุกตัวละครมันคล้ายชีวิตของเราเลย ทุกตัวละครเขามีความต้องการเป็นของตัวเอง แม้ว่าเขากำลังทำสิ่งที่ผิดอยู่ แต่มันก็มีอีกมิติที่ว่าเขาแค่อยากทำให้โลกมันดีขึ้น แล้วทุกตัวละครมันยังอยากทำให้โลกดีขึ้นหมดเลยในมุมมองของตัวเอง ซึ่งตอนที่อ่านบทครั้งแรกเลยรู้สึกว้าวมาก แถมได้มาอยู่ในโปรดักชั่นแบบนี้ก็ดีใจ ก็ตื่นเต้น”
อาโปยังเล่าถึงการเตรียมตัวและทำการบ้านเพื่อรับบทที่ท้าทายอย่างที่สุดเรื่องนี้ด้วยว่า “ข้อแรกคือฝึกรำ ข้อสองคือลดน้ำหนัก ข้อสามคือพยายามอ่านเกี่ยวกับปลายรัชกาลที่ 3 ให้มากที่สุด ศึกษาว่ายุคนั้นสภาพแวดล้อมของสังคมเป็นยังไง ในแต่ละวันเขาใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง แล้วเราก็ลองจินตนาการต่อไปว่าถ้าเกิดมีชีวิตแบบนี้ จะใช้ชีวิตแบบไหน ก็นี่คือสิ่งที่ต้องเตรียมตัว นอกนั้นก็คือเตรียมสภาพจิตใจให้พร้อม ฝึกสมาธิ ซึ่งเรื่องที่ยากที่สุด ก็จะเป็นในแง่ของบท เพราะว่าการถ่ายทำ คือเราต้องเล่นให้เหมือนกับที่เขาเขียนมาในบท บทเขียนมายังไงเราต้องทำแบบนั้นให้ได้ แล้วเราก็หาความต้องการของตัวละคร ว่าต้องไปถึงตามที่บทต้องการยังไงบ้าง อันนี้คือความยาก แล้วบวกกับภาษาที่พูดมันก็ยาก คือมันอิมโพรไวท์ได้ยากมาก แล้วเราไม่คล่องกับภาษาด้วยมันเลยแบบต้องจำบทให้แม่นมากๆ มันเหมือนทุกฝ่ายต้องทำการบ้านของตัวเองมาให้พร้อม คือแคร์ตัวเองหนักมาก ยาก ยาก”
อาโปยังเล่าถึงความประทับใจที่ได้ร่วมงานกับหนังที่มีงานสร้างใหญ่โตเรื่องนี้ด้วยว่า “ทีมงานเลือกคนที่เป็นนักแสดงจริงๆ แล้วเหมาะกับบทจริงๆ มันเลยทำให้เล่าความเป็นตัวละครออกมาได้อย่างกลมกล่อม แล้วพอเอามารวมกัน ทั้งเนื้อเรื่องที่ดูน่าสนใจ ทั้งคาแรคเตอร์ที่แตกต่าง แต่มีความเป็นมนุษย์อยู่สูง ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจยิ่งขึ้น
มากไปกว่านั้น คือความสวยงามของโปรดักชั่นที่ทีมงานรีเสิร์ชข้อมูลมา มันเหนือกว่าจินตนาการที่เราคิดไว้จริงๆ ส่วนความคาดหวัง ผมหวังว่าหนังเรื่องนี้จะไปในเทศกาลภาพยนตร์ทั่วโลก อยากให้ไปในทุกที่ที่ไปได้ ผมอยากให้คนทั้งโลกได้มาชมหนังเรื่องนี้ด้วยกันครับ”
“แมนสรวง” เล่าเรื่องราวของสถานที่ในจินตนาการแห่งหนึ่งในช่วงสมัยรัชกาลที่ 3 ปี พ.ศ.2393 อันเป็นสถานบันเทิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้น โดยมีตัวเอกเป็น “เขม” (ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์) หนุ่มจากเมืองแปดริ้วที่แฝงตัวเข้าไปเป็นนายรำในแมนสรวงเพื่อสืบหาเอกสารลับสำคัญที่จะใช้เปิดโปงกบฏ และขอความช่วยเหลือจาก “ฉัตร” (ภาคภูมิ ร่มไทรทอง) มือตะโพนของวงดนตรีในสถานที่แห่งนี้ ตัวละครสำคัญอีกคนก็คือ “ว่าน” (อัศวภัทร์ ผลพิบูลย์) ที่แฝงตัวเข้ามาพร้อมกับเขมเพื่อช่วยกันสืบหาเอกสาร ซึ่งระหว่างนั้นเอง ความสัมพันธ์ของทั้งสามก็ค่อยๆ พัฒนาไปพร้อมกับการเผยให้เห็นถึงความลับมืดดำของแมนสรวงและปมในใจของทั้งสามตัวละคร
นักแสดงสมทบของหนังยังประกอบไปด้วย ธนายุทธ ฐากูรอรรถยา, อรอนงค์ ปัญญาวงศ์, ชาติชาย เกษนัส, ประดิษฐ์ ประสาททอง, คานธี วสุวิชย์กิต, ศรชัย ฉัตรวิริยะชัย, สายฟ้า ตันธนา และ นนทกร เฉลิมนัย
กฤษดา วิทยาขจรเดช, ชาตชาย เกษนัส และ ผศ.ดร.พันพัสสา ธูปเทียน ร่วมรับหน้าที่กำกับหนัง หนังมีกำหนดฉาย 24 สิงหาคมนี้ครับ
ภาพใหม่ของอาโป ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ ในบทเขมอยู่ที่ด้านล่างนี้
ที่มา: Be On Cloud