Gone Girl – ในความเห็นของคุณ
หลังจากเปิดฉายในสหรัฐมา 2 สัปดาห์ และทำรายได้อยู่ในอันดับหนึ่งบนตารางหนังทำเงินทั้ง 2 สัปดาห์ หนัง Gone Girl ก็เข้าฉายในบ้านเราสุดสัปดาห์นี้ด้วยรอบพิเศษ หรือ Sneak Preview ที่ฉายเฉพาะรอบ 2 ทุ่ม ตามโรงภาพยนตร์ชั้นนำต่างๆ และก็ดูเหมือนว่ากระแสจะมาแรงไม่แพ้กันเลย รายได้เพียง 2 วันที่หนังออกฉาย แม้เป็นเพียงการจำกัดรอบก็ทำรายได้อยู่ประมาณอันดับ 2 ของรายได้หนังใหม่ที่เข้าฉาย เป็นรองก็แค่ Dracula Untold ที่ฉายแบบทั่วไป และมีจำนวนโรงมากกว่า
Gone Girl เป็นหนังที่ทั้งนักวิจารณ์และผู้ชมถูกใจด้วยกันทั้งคู่ และใกล้เคียงกัน คะแนนจากการประเมินของ Rotten Tomatoes อยู่ที่ 8/10 มีนักวิจารณ์ชอบ 88% ส่วนสมาชิกของ imdb ก็ให้คะแนนอยู่ที่ 8.5/10 จาก 64,000 กว่าคนที่ร่วมโหวตในตอนนี้
หนังได้รับคำชมทั้งในแง่การกำกับของผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ ที่ทำหนังสืบสวนระทึกขวัญเรื่องนี้ได้น่าตื่นเต้น น่าติดตาม และมีชั้นเชิงตลอดเรื่อง ขณะที่บทหนังโดยจิลเลียน ฟลินน์ ที่ดัดแปลงจากนิยายของตัวเอง ก็ได้รับคำชมอย่างมากเช่นกัน ทั้งในแง่ความคาดไม่ถึง และการจิกกัดสังคมปัจจุบัน และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือโรซานมันด์ ไพค์ นักแสดงนำหญิงของเรื่องที่ส่งบทบาทได้อย่างอัศจรรย์เหมือนตัวละครที่เธอเล่น และน่าจะได้เข้าชิงออสการ์ครับ
ส่วนตัวแล้ว แม้ว่าหนังจะไม่ได้แพรวพราวระดับเดียวกับ The Social Network หรือลุ้นมากระดับ Se7en แต่ฟินเชอร์ก็เล่าเรื่องได้สนุก วางจังหวะอารมณ์ต่างๆ ไว้ได้ดีเยี่ยม เมื่อลุ้นก็ลุ้น เมื่อตลกร้ายก็ตลกร้าย เมื่อจะให้ช็อคก็ช็อค ทั้งยังทำให้เราสบถได้เป็นระยะๆ เมื่อถึงจุดพลิกผันบางอย่าง นอกจากนี้ เมื่อดูจบแล้วก็ยังทำให้เกิดความหลอนค้างต่อในหัว และทำให้เกิดประเด็นบางอย่างให้ขบคิดต่อไปได้อีกนานเหมือนที่ฟินเชอร์เคยทำได้กับหนังหลายเรื่อง เป็นการเข้าคู่ที่เหมาะกันอย่างมากราวกับกิ่งทองใบหยกระหว่างผู้กำกับที่เลิศในแนวทางของเขากับวัตถุดิบชั้นดีที่เหมาะสมจะให้เขาเล่า ความสุดยอดอีกอย่างก็คือบทบาทการแสดงของไพค์นี่แหละ และเธอคู่ควรจะเข้าชิงออสการ์จริงๆ ครับ
ชมแล้วรู้สึกยังไงบ้างครับ มาใส่ความเห็นกันโดยบอกความรู้สึก ไม่ต้องเล่าเนื้อเรื่องนะครับ
เพิ่งไปดูมาเมื่อวานนี้ครับ
Gone Girl…..
เป็นหนังหนัก ๆ เรื่องนึงของ David Fincher ที่สามารถให้บรรยากาศอึดอัด กดดัน และแทรกแง่คิดให้กับเราได้ หากเป็นคนที่ไม่ชอบหนังแนวหนัก ๆ คงจะเรียกได้ว่าเกลียดไปเลย
ตัวหนังเองไม่ได้เน้นการสื่อจิตวิทยาผ่านท่าทางของนักแสดงอะไรโดดเด่นมากนักดังนั้นหากเป็นคนชอบดูหนังแนวการแสดงเชิงจิตวิทยาก็คงไม่มีจุดนี้ให้ประทับใจ
ตัวหนังให้อารมณ์เครียด ปนกับบทตลกร้ายแบบหนัก ๆ มีติดเหรดนิด ๆ (หรือมากหว่า อันนี้แล้วแต่มุมมอง)
โทนหนังแนวนี้มีกลิ่นอายของ The Girl with the Dragon Tattoo ของ David Fincher อยู่มาก ทั้งแนวหนัง, การหายไปของผู้หญิง, การฆ่าตกรรม, บรรยากาศหวาดระแวง ฯลฯ แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันมากนัก (เหมือนกันไม่เกิน 30% หรอกมั้ง)
การเล่าเรื่องมีการเล่าให้แง่คิดแบบมุมกลับ (เล่าเรื่องราวมากกว่ามุมมองของคนคนเดียว) ซึ่งในจุดนี้ทำให้นึกถึงเรื่อง Hoodwinked! และชี้ให้ตระหนักถึงสื่อต่าง ๆ ที่เราเสพย์ในโลกปัจจุบันว่ามันมีผลกระทบต่อเรื่องราวอะไรอย่างไรได้ขนาดไหนบ้าง
เนื่องจาก Gone Girl นี้เป็นหนังของ David Fincher ซึ่งถ้าเราเคยดูผลงานของ ผกก. คนนี้มาหลาย ๆ งานจะรู้ว่าหนังพี่แกไม่สามารถจบแบบธรรมดา ๆ ได้จึงทำให้เวลาดูเราจะมีความระแวงอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้สามารถจับจุดหักมุมในช่วงต่าง ๆ ได้ง่ายและรวดเร็วมาก (เลยทำให้รู้สึกว่าหนังมันไม่ได้หักมุมอะไรเท่าไรเลย – -“) อีกทั้งยังรูปแบบของผลสรุปเรื่องราวเองยังเป็นไปได้แค่ไม่กี่ทาง จึงยิ่งทำให้เดาง่ายเข้าไปอีก (ก็มันเล่นหักกันแบบเดาได้อะนะ)
จุดหักมุมใหญ่ ๆ ของเรื่องนี้ส่วนตัวแล้วมองว่ามีจุดใหญ่ ๆ อยู่ 3 จุด ซึ่ง 2 จุดแรกบอกได้เลยเดาไม่ยากเนื่องด้วยเหตุผลที่ให้ไว้ข้างต้น บวกกับความซื่อบื้อของคนตั้ง “ชื่อไทย” ที่แมร่ม Spoil จุดหักมุมหนังเต็ม ๆ (คิดตั้งแต่ก่อนหนังเปิดฉายแล้วและแมร่มก็เป็นอย่างที่คิด) ส่วนจุดหักมุมสุดท้าย(จุดที่ 3) ตรงนี้คงเดากันยากกว่าจะเดาได้ก็ล่อไป 3-5 นาทีสุดท้ายก่อนจะขึ้น Credit กันเลยทีเดียว (อย่างนี้ยังเรียกว่าเดาได้อีกเรอะ 55+)
ส่วนตัวแล้วให้ 8/10 นับว่าเป็นหนังเบา ๆ กว่า The Girl with the Dragon Tattoo แต่ก็ค่อนข้างหนักมากพอสมควรกับบรรยากาศที่ดูอึดอัด เสียคะแนนเรื่องการแสดงพฤติกรรมเชิงจิตวิทยา กับการหักมุม ที่มันเดาง่ายไปหน่อยนะ ส่วนการเล่าเรื่อง มุมมอง การแสดง และแง่คิดอันนี้ได้ใจไปเต็ม ๆ ^^
ขออภัยมีคำหยาบครับพอดี copy มาจากที่เขียนรีวิวไว้ใน Facebook เมื่อวานไม่ทันได้ check wording ครับ
โรซานมันด์ ไพค์ เล่นได้เด็ดจริงจริง ทำได้โคตรดีทั้งสองแบบ ทั้งลูกคุณหนู และ เด็กเนิร์ดโรคจิต ชอบมาก
ชอบครับ เลยต้องไปซื้อหนังสือมาอ่าน นางเอกเล่นดีจริง ได้ลุ้นรางวัลแน่ๆ
เรื่องนี้ ไม่สามารถพิมพ์อะไรได้มากไปกว่าคำว่า “ต้องดูๆๆๆๆๆ” ครับ มากกว่านี้ เดี๋ยวสปอยซะเปล่าๆ
ปีนี้นักแสดงนำหญิงขับเขี่ยวกันมันแน่ๆ แต่ถ้าเอาเจ๊โรซานมันส์ ไปไว้สบทบไม่แน่อาจได้ออสการ์แบบไร้คู่แข่ง
จิกกัด หักมุม หลอน และเหวอ
หลอนดี แต่ค่อนข้างเฉยๆ ก็สังคมเราก็ไม่ต่างจากในหนังเท่าไหร่
ไม่ได้อ่านนิยายมาก่อน เพราะกลัวไปดูหนังแล้วไม่สนุก แต่หนังสะท้อนความจริงในชีวิตคู่ หลังช่วงน้ำผึ้งพระจันทร์หมดความหวาน ฉันหรือเธอที่เปลี่ยนไป คนเราหมดรักเพราะสิ่งที่เราทำต่อกันในด้านลบมันบั่นทอนชีวิตคู่ พอ ๆ กับหนังตั้งใจตบหน้าสื่อ โดยเฉพาะรายการข่าวทีวี สัมภาษณ์คนดัง วิเคราะห์เล่าข่าวโดยใส่ความคิดตนเอง ที่ทำให้ชีวิตคนที่เป็นข่าวเดือดร้อน และอาจนำความเสียหายมาให้
ระดับการตลบหลังคนดู คนจะให้เป็นรอง Fight Club แต่การสร้างบรรยากาศไม่ไว้วางใจในตัวละครหลัก ๆ ทำได้ดี ฟินเชอร์ เล่นกับจินตนาการของคนดู และอยู่กับคำถามว่า “มันใช่หรือ?”
สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.oknation.net/blog/movietalk/2014/10/23/entry-1 ครับ