The Fault in Our Stars เปิดตัวแรงในสหรัฐ ส่วน Edge of Tomorrow ทำรายได้ดีในตลาดโลก

the fault in our stars box officeรายได้ภาพยนตร์ประจำสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มีปรากฏการณ์น่าสนใจจนต้องพูดถึงครับ เพราะมีเหตุการณ์น่าแปลกใจนิดๆ เกี่ยวกับรายได้เปิดตัวของหนังใหม่ในสหรัฐ ซึ่งปรากฏว่าหนังรักวัยรุ่นผู้ป่วยโรคมะเร็ง The Fault in Our Stars ที่ใช้ทุนสร้าง 12 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำรายได้ขึ้นเป็นอันดับ 1 และเปิดตัวสูงถึงราว 48.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่เป็นรายได้รวมกับรอบพิเศษของค่ำวันพฤหัสบดีด้วย ขณะที่หนังฟอร์มใหญ่ทุนสร้าง 178 ล้านเหรียญง Edge of Tomorrow ของทอม ครูส ทำรายได้ไปน่าผิดหวัง เปิดตัวไปราว 29.1 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

การที่ The Fault in Our Stars เปิดตัวทำรายได้เอาชนะ Edge of Tomorrow ในสหรัฐ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะเป็นที่คาดการณ์กันเอาไว้แต่แรกแล้ว นักวิเคราะห์ด้านการตลาดประเมินจากการที่แม้วอร์เนอร์ บราเธอร์ส จะทุ่มงบประชาสัมพันธ์อย่างหนักให้ Edge of Tomorrow ทั้งอัดโฆษณาทางทีวีและติดป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ทั่วไป แต่หนังก็กลับได้กระแสตอบรับจากผู้ชมไม่กระเตื้องเลยตั้งแต่ก่อนหนังฉาย จนถูกประเมินว่าจะเป็นหนังยักษ์ล้มเรื่องหนึ่งของปี

รายงานจากนิวยอร์กไทม์บอกว่า สาเหตุมาจากเรื่องส่วนตัวของทอม ครูส เอง ที่ลดพลังดาราของตัวเขา ส่วนตัวหนังที่แม้จะได้รับคำวิจารณ์ดีมาก แต่ก็ถูกมองว่าไม่แปลกใหม่ หรือบ้างก็กลับมองว่าแหวกแนวเกินไป บางนักวิเคราะห์มองด้วยว่าชื่อหนังยังชวนให้ผู้ชมนึกถึง The Day After Tomorrow ในแง่ลบด้วย (เดิมที หนังใช้ชื่อว่า All You Need is Kill ตามนิยายต้นฉบับ แต่เปลี่ยนหลังจากเกิดเหตุกราดยิงในโรงหนังที่โคโรลาโด ปี 2012)

กระนั้น Edge of Tomorrow ก็ยังทำรายได้น้อยในสหรัฐกว่าที่คาด และเปิดตัวอยู่อันดับ 3 เป็นรอง Maleficent ของแอนเจลีนา โจลี ที่อยู่อันดับ 2 ในสัปดาห์นี้ หลังจากครองอันดับ 1 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

แต่ Edge of Tomorrow ก็อาจยังไม่ถึงขั้นขาดทุนเสียทีเดียวครับ หนังเปิดตัวในตลาดนอกสหรัฐสุดสัปดาห์นี้ ทำเงินสูงร่วม 111 ล้านเหรียญ เฉพาะรายได้ในจีนก็สูงถึง 25 ล้านเหรียญ ที่เป็นรายได้เปิดตัวหนังของทอม ครูส สูงสุดในจีนด้วย หนังยังไม่ได้เปิดตัวในญี่ปุ่นที่มีฐานแฟนคลับของครูสอยู่เหนียวแน่น รายได้ในต่างประเทศของหนังน่าจะจบที่ 250 ล้านเหรียญอย่างต่ำ ผู้บริหารของวอร์เนอร์ฯ ทางฝ่ายจัดจำหน่ายหวังด้วยว่าการที่หนังได้คำวิจารณ์ในแง่ดี (คะแนนเฉลี่ยที่ Rotten Tomatoes อยู่ที่ 7.4/10 มีนักวิจารณ์พอใจ 90%) ก็น่าจะทำให้หนังยืนโรงอยู่ได้ยาวๆ ค่อยๆ เก็บรายได้ไปจนมีกำไรครับ ที่แน่ๆ น่าจะทำรายได้สูงกว่า Obivion ที่ทำเงินทั่วโลกไป 286 ล้านเหรียญ

สำหรับความสำเร็จด้านรายได้ของ The Fault in Our Stars ก็มีหลายปัจจัยเช่นกัน แต่โดยหลักๆ ก็น่าจะจากการที่สร้างจากนิยายดังที่มีฐานแฟนคลับวัยรุ่นเหนียวแน่นมากในสหรัฐ รวมกับการตลาดที่เล็งเป้าไปตรงจุด และคำวิจารณ์ด้านดีของหนังด้วย

The Fault in Our Stars ฉบับนิยายขายได้ 11 ล้านเล่มทั่วโลก ขณะที่จอห์น กรีน คนเขียนนิยายเรื่องนี้ก็เป็นคนดังในอินเตอร์เน็ต มีช่องของตัวเองกับน้องชายที่มีผู้ติดตามถึง 2.1 ล้าน และมีผู้ติดตามในทวิตเตอร์ถึง 2.5 ล้าน ซึ่งกรีนมีส่วนช่วยอย่างมากในการประชาสัมพันธ์ให้แก่หนัง เช่นการจัดคอนเสิร์ตทางยูทูบที่นำศิลปินที่ร้องเพลงประกอบหนังมาร้องสดๆ

รายงานจากเดอะ ฮอลลีวู้ด รีพอร์เตอร์ บอกด้วยว่า การตลาดของฟ็อกซ์เน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายโดยตรงที่เป็นวัยรุ่นยุคใหม่ โดยเฉพาะสาวๆ วัย 18-34 ให้พวกเธอรู้ว่ากำลังจะมีหนังเรื่องนี้ออกมา แม้ว่าไม่ใช่คนที่เคยอ่านนิยายก็อยากมีส่วนร่วมกับปรากฏการณ์นี้

การประชาสัมพันธ์ใช้สื่อออนไลน์กับเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นหลัก เข้าถึงผู้ชมกลุ่มหลักได้ดีโดยไม่ต้องลงทุนด้านโฆษณาทางทีวีมากนัก (รายงานบอกว่าใช้งบการตลาดไม่ถึง 30 ล้านเหรียญ) มียอดวิวตัวอย่างหนังในยูทูบสูงถึง 22 มากกว่าล้านวิว และมียอดไลค์ตัวอย่างหนังสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของยูทูบสำหรับตัวอย่างหนังทางการ หนังมีการกล่าวถึงทางทวิตเตอร์สุงถึง 3.8 ล้านเมนชั่น กลายเป็นหนังที่มีการพูดถึงทางทวิตเตอร์สูงที่สุดของปี

มีการจัดอีเวนท์เดินสายพบแฟนคลับที่มีนักแสดงนำและกรีนไปปรากฏตัวและฉายหนังแบบไม่ใหญ่โต แต่เข้มข้น ยิ่งเมื่อได้คำวิจารณ์ด้านบวกจากผู้ชม (หนังได้คะแนน CinemaScore A ) ก็ยิ่งสร้างกระแสปากต่อไปดีไปอีก ทั้งยังมีไชลีน วู้ดลี่ ที่กำลังเป็นขวัญใจและโด่งดังระดับหนึ่งจาก Divergent ยิ่งเพิ่มกระแสให้หนังไปอีกครับ

เดิมที The Fault in Our Stars มีความไม่แน่นอนว่าจะได้เข้าฉายในบ้านเราไหม ล่าสุด เฟซบุกของฟ็อกซ์ประเทศไทยบอกว่าได้ตัดสินใจนำหนังมาฉายแน่นอนครับ เพียงแต่อยู่ระหว่างหาวันฉายที่เหมาะสม

ชมสรุปตัวเลขรายได้ 10 อันดับล่าสุดในสหรัฐที่ด้านใน

1. The Fault in Our Stars – $48.2 ล้าน (หนังเข้าใหม่)

2. Maleficent – $33.5 ล้าน รวมรายได้จากการฉาย 2 สัปดาห์ $127.4 ล้าน

3. Edge of Tomorrow – $29.1 ล้าน

4. X-Men: Days of Future Past – $14.7 ล้าน รวมรายได้จากการฉาย 3 สัปดาหฺ $189.1 ล้าน

5. A Million Ways to Die in the West – $7.2 ล้าน รวมรายได้จากการฉาย 2 สัปดาห์ $30.1 ล้าน

6. Godzilla – $5.9 ล้าน รวมรายได้จากการฉาย 4 สัปดาห์ $185 ล้าน

7. Neighbors – $5.2 ล้าน รวมรายได้จากการฉาย 5 สัปดาห์ $137.8 ล้าน

8. Blended – $4.1 ล้าน รวมรายได้จากการฉาย 3 สัปดาห์ $36.5 ล้าน

9. Chef – $2.6 million รวมรายได้จากการฉาย 5 สัปดาห์ $10.4 ล้าน (เพิ่มขึ้น 36% ในสัปดาห์นี้)

10. Million Dollar Arm – $1.8 ล้าน รวมรายได้จากการฉาย 4 สัปดาห์ $31.4 ล้าน

9 comments

  1. หนังเฮียทอมไม่มีคู่ชาย+ชาย ให้สาวๆ ได้จิ้น เลยไปไม่สวยในตลาดมะกันซะล่ะ หุหุ เดี๋ยวนี้หนังแมนๆ แท้ๆ ขายในตลาดมะกันยากส์เหลือเกิน ขนาดหนังซุปเปอร์ฮีโร่ ยังคู่จิ้นให้สาวๆ ได้พูดถึงเลย เอาใจช่วยเฮียผ่านร้อยล้านในตลาดสหรัฐฯ ล่ะกัน

  2. อเมซิ่งแมงมุม 2 หายไปจากตารางสัปดาห์นี้ อย่าบอกนะว่าโซนี่จะส่งหนังลงแผ่นเร็วๆ นี้ ประชดคนดูในอเมริกาที่ไม่ค่อยเข้าโรงไปอุดหนุนภาคนี้ จนทำให้กลายเป็นหนังทำเงินน้อยสุดในซีรีย์แมงมุมไปแล้ว

  3. น่าแปลกนะครับที่ Edge of Tomorrow ถูกมองว่า “แหวกแนวเกินไป” >_<

    หวังว่ากระแสตอบรับจะช่วยพัดโหมรายได้ให้มากขึ้นไปได้ยาว ๆ ครับ

  4. FOX ปีนี้หนังฟอร์มยักษ์ถือว่าทำได้ตามแผนการณ์เลยแหะ

    ทั้ง X-Men ที่ตอนนี้ก็ 600 ล้านแล้ว เหลืออีกเรื่อง Dawn of Planet Apes อีกเรื่อง

    ปล.เรื่องทอมครูซ ผมเดาว่าต้องขายตลาดนอกปท.ครับ แต่ยอมรับเลยแอบเบื่อเฮียทอมกับแนวไซไฟ มาบ่อยเกินไป

  5. รู้สึกเหมือนกันว่าเรื่องชีวิตส่วนตัวของเฮียทำให้ชื่อเสียงของแกตกลงไปเยอะ บวกกับแกแสดงหนังแนวนี้บ่อย เลยไม่ค่อยอยากไปดูนัก บวกกับตัวอย่างหนังที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากดูมากขึ้น แม้หลายๆคนจะบอกว่าหนังสนุกมาก จนนึกอยากจะไปดูก็เถอะ แต่หาคนไปดูด้วยไม่ได้ ประมาณพอบอกว่า ทอม ครูซ คำตอบคือ ยี้! (ฮา)

Leave a Reply to kendejizCancel reply