
บางครั้ง ส่วนที่กลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของภาพยนตร์เกิดขึ้นจากสิ่งที่ผู้กำกับพบระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ หรือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าครับ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้กำกับวางแผนมาตั้งแต่ต้น และผู้กำกับที่ดีต้องรู้จักคอยเปิดรับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้างในระหว่างนั้น และเลือกใช้มันให้ถูก เช่นเดียวกับกรณีของสีผมของมายด์ (จ๋อมแจ๋ม-กานต์พิชชา พงษ์พานิชย์) กับ พีช (ฝ้าย-สุมิตตา ดวงแก้ว) สองตัวละครเด่นในหนัง “RedLife” ของ BrandThink Cinema มันเกิดขึ้นจากสิ่งที่ผู้กำกับ เอกลักญ กรรณศรณ์ เห็นและตัดสินใจแก้ปัญหาระหว่างถ่ายทำ แล้วมันกลายเป็นลูกเล่นที่น่าสนใจในหนังขึ้นมา
ในการสัมภาษณ์ของเรา ที่เห็นตัวละครของมายด์กับพีชทำผมสีแดงและฟ้า ซึ่งเรารู้มาก่อนว่า “Blue is the Warmest Color” เป็นหนึ่งในหนังที่ผู้กำกับชอบมาก เราจึงอดถามไม่ได้ว่าสีผมที่เห็นในหนังนั้น ได้แรงบันดาลใจมา หรือเพื่อคาราวะหนังที่ตัวเองชอบรึเปล่า ผู้กำกับลักญตอบว่าไม่ใช่ทั้งสองตัวละครเลยครับ
“เอาของมายก่อน มายนี้มีผมสีดำปกติ จนกระทั่งเราไปบล็อกช็อต และน้องผู้ช่วยผู้หญิงคนหนึ่งทำผมสีนี้ แล้วเราก็รู้สึกว่าเอ๊ะ ผมนี้พอมันอยู่กับโลเกชั่นนี้ มันทำให้ตัวละครแซ่บขึ้น มันบ่งบอกถึงความเป็นเซ็กซ์เวิร์กเกอร์วัยรุ่นที่แบบ…กำลังป๊อปปูลาร์ และกำลังแบบฮ็อต และมันก็ตรงกับเนื้อเรื่องที่เราอยากเล่าตรงที่ไอ้เต๋อรู้สึกกลัวจะสูญเสียมาย เรารู้สึกว่าเอ๊ะทรงผมนี้มันขับตัวละครได้ดีขึ้นนะ ก็เลยเลือกเลยว่าเอาสีผมนี้”
(บล็อกช็อต หรือ blockshot คือการกำหนดมุมเพื่อให้เหมาะสมแก่การถ่ายทำวางตรงไหนควรวางกล้อง ตรงไหนที่มุมที่จะถูกถ่าย และควรจัดแสดงประมาณไหน เพื่อให้วันถ่ายทำนั้นได้ภาพและสีออกมาใกล้เคียงกับที่บทกำหนดไว้)
นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกครับ เพราะสีผมช่วยขับตัวละครมายด์ให้ออกมาเป็นอย่างที่เห็นในหนังได้จริงๆ
ส่วนกรณีของพีชนั้น ผมสีฟ้ามาจากสีผมดั้งเดิมของนักแสดงอยู่แล้วที่ผู้กำกับเองก็กลัวว่าจะถูกมองว่ามีความคล้ายกับ “Blue is the Warmest Color” เกินไป จึงคิดอยากให้ย้อมสีผมดำ แต่นักแสดงก็ปฏิเสธ ทางออกคือการเลือกใส่วิกสีดำให้แทน
“แต่ของพีชนี้ต่างกันเลย เพราะว่านักแสดงฝ้ายเนี่ยเขาผมสีนี้ ตัวจริงของเขา แต่ผมไม่ได้อยากได้ผมสีนี้ในตอนแรก มันจะกลายเป็นคล้ายๆ แบบว่าเราจะทำ Blue is the Warmest Color รึเปล่า เพราะว่าตัวละครก็เป็น LGBT ใช่ไหม เป็นยูริทั้งสองคน แล้วไปทำสีผมสีฟ้าแล้วเอ๊ะ คนดูเขาจะคิดว่าเราไปทำแบบ Blue is the Warmest Color รึเปล่า เราก็เลยไม่อยากได้สีผมสีนี้เลย ก็เลยเป็นที่มาของการใส่วิกผมสีดำ เราทำตรงนั้นหมดเลย”
แต่แล้วผู้กำกับก็พบว่าการใส่วิกผมสีดำก็เกิดปัญหาตามมาอีก จึงนำไปสู่การตัดสินใจที่กลายเป็นว่าทำให้เกิดฉากที่เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชม
“ซึ่งปัญหาคือพอใส่วิกแล้วเนี่ย ทำยังไง มันก็ไม่เหมือนจริง และตัวนักแสดงเอง เขาก็ไม่ยินดีที่จะทำสีผมดำ เขาพยายามจะคีปผมสีฟ้านี้ของเขาไว้ ก็เลยเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องหาทางออก ก็เลยนั่งเบรนสตอร์มกับทีม เอายังงี้สิ มีซีนหนึ่ง ก็ให้ถอดวิกแม่งเลย แล้วให้เป็นผมสีฟ้าซะ ซึ่งก็ดูเป็น execute (ดำเนินการ) ที่น่าสนใจดี ในซีนนั้น ผมก็รู้สึกว่า มันก็เรียกความสนใจของคน ทำให้มันมี gimmicking (ลูกเล่น) มากขึ้น งั้นก็เลยเป็นผมดำแล้วกัน แล้วบางช่วงค่อยกลายเป็นผมสีฟ้า”
เราได้บอกผู้กำกับไปว่าการตัดสินใจแบบนั้นดีงามมาก เพราะไม่เพียงเป็นการเพิ่มฉากที่น่าสนใจให้แก่หนังในแง่ลูกเล่นแล้ว มันยังกลายเป็นสัญญะถึงตัวละครพีชด้วย เหมือนที่ส้มถามเธอว่า “มีอะไรจริงบ้าง” มันเป็นฉากที่เหมือนเป็นลางบอกเหตุในอนาคต (foreshadowing) ของความสัมพันธ์ระหว่างส้มกับพีชด้วย ผู้กำกับลักญได้ตอบถึงเรื่องนี้ว่า บางครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง อาจดูเหมือนเกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่มันก็มาจากการที่ผู้กำกับเองก็ต้องรู้จักเปิดรับต่อสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำแล้วหยิบจับเอามาใช้ถูกต้องกับหนังครับ
“คือหนังน่ะ ผมคิดว่ามันมีความเป็น destiny สูง จากที่ผมไม่เคยทำเลยนะ นี่เรื่องแรก ก็มี…มันเหมือนมีอะไรจัดวางมาให้มันเกิดขึ้นแบบเนี้ย ผมไม่ได้เชื่อเรื่อง religion อะไรขนาดนั้น แต่ว่าผมว่ามันมี…ส่วนผสมอะไรบางอย่างที่มันบังเอิญมาเจอกัน เรื่องของคน สิ่งที่เกิดขึ้น ความคิดอะไรๆ และอันนี้ มันทำให้…ผมว่าในฐานะผู้กำกับ ผมอาจจะต้องเปิดรับไอ้ส่วนผสมที่จะเข้ามานี้ให้ได้ ให้เห็นมัน แล้วเราทำหน้าที่แบบเป็นคอนดักเตอร์ให้ส่วนผสมที่ถูกต้องเข้ามาอยู่ในหนังเราให้ได้ อันไหนไม่ใช่ก็กันออกไป ผมคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้น บางทีก็ไม่ใช่ความบังเอิญนะ มันกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่เราโอเพ่น และก็รวบรวมมันเอาไว้”
หนังฉายแล้วเป็นสัปดาห์ที่สองครับ