เดดไลน์ได้วิเคราะห์รายได้ภาพยนตร์ของฮอลลีวูดปี 2022 และสรุป 5 อันดับหนังที่ขาดทุนหนักที่สุดออกมาครับ โดยมี 2 เรื่องเป็นหนังอนิเมชั่นที่ดิสนีย์ออกทุนสร้าง ส่วนอีกสามเรื่องเป็นหนังย้อนยุคจากค่ายอื่น

ในรายงานบอกว่าการวิเคราะห์รายได้นี้ไม่ได้รวมแค่รายได้จากการขายตั๋วหนังเท่านั้น แต่ยังรวมรายได้จากดีวีดี บลูเรย์ รายได้จากการขายให้ค่ายจัดจำหน่ายต่างประเทศ และขายให้ทีวีกับสตรีมมิ่งเอาไปฉายด้วย

เรื่องที่ขาดทุนหนักที่สุดก็คืออนิเมชั่นสีสันสดสวยของดิสนีย์เรื่อง “Strange Worlds” ครับ ทำให้ค่ายที่มีหนูเป็นสัญลักษณ์ต้องขาดทุนราว 197.4 ล้านเหรียญ

หนังใช้ทุนสร้าง 180 ล้านเหรียญ รวมกับค่าการตลาดและอื่นๆ เป็น 317.4 ล้านเหรียญ ขณะที่ทำเงินทั่วโลกไปเพียง 73.5 ล้านเหรียญ (เมื่อหารสองก็จะเป็นรายได้จากการขายตั๋วเหลือเพียง 35 ล้านเหรียญ) และมีรายได้จากการฉายในรูปแบบอื่นอีกราว 85 ล้านเหรียญ รวมรายได้จริงๆ ของหนังเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่ราว 120 ล้านเหรียญครับ ตัวเลขขาดทุนขนาดนี้คือระดับเดียวกับ “John Carter” และ “The Lone Ranger” เลยครับ

เรื่องที่สองคือหนังสืบสวนปนตลกที่มีฉากย้อนยุคเป็นช่วงต้นสงครามดลกครั้งที่หนึ่งเรื่อง “Amsterdam” ของผู้กำกับเดวิด โอ. รัสเซล ซึ่งดิสนีย์จัดจำหน่าย แต่บริษัทนิวรีเจนซีคือผู้ออกทุนสร้าง แม้ว่าหนังจะมีนักแสดงนำที่เป็นดาราดังมากมาย ไม่ว่าจะคริสเตียน เบล, มาร์โกต์ ร็อบบี้, จอห์น เดวิด วอชิงตัน, เทย์เลอร์ สวิฟต์, คริส ร็อก, อันยา-เทย์เลอร์ จอย และ เรมี มาเลค (ซึ่งหลายคนยอมลดค่าตัวให้แล้ว) หนังก็ยังขาดทุนไปราว 108.4 ล้านเหรียญครับ

หนังทำเงินทั่วโลก 31.1 ล้านเหรียญ (แปลว่ารายได้จากการขายตั๋วคือ 13 ล้านเหรียญ เพราะต้องแบ่งให้โรงหนังครึ่งหนึ่ง) รวมกับรายได้จากการฉายในรูปแบบอื่นอีกราว 50 ล้านเหรียญ (รายได้ที่มากสุดมาจากการขายได้ทีวีและสตรีมมิ่งเอาไปฉายราว 35 ล้านเหรียญ) รายได้สุทธิจึงอยู่ที่ราว 63 ล้านเหรียญ นั่นน้อยกว่าทุนสร้าง 80 ล้านเหรียญของหนังอีก ยังไม่รวมกับค่าการตลาดและอื่นๆ ที่รวมกันทั้งหมดแล้วมากถึง 171.4 ล้านเหรียญ หนังจึงขาดทุนไปด้วยจำนวนดังกล่าวครับ

อันดับที่สามไม่ห่างกันมากคือ “Lightyear” ของพิกซาร์ ค่ายในเครือของดิสนีย์ครับ หนังใช้ทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญ รวมกับค่าการตลาดและอื่นๆ ทำให้งบบานปลายถึง 373 ล้านเหรียญ รายได้ทั่วโลกของหนังอยู่ที่ 226.4 ล้านเหรียญ เท่ากับดิสนีย์ได้รายรับจากการขายตั๋วราว 112 ล้านเหรียญ ทำรายได้จากการซื้อไปรับชมในบ้านอีก 60 ล้านเหรียญ และได้จากการซื้อไปฉายทีวีและสตรีมมิ่งอีก 95 ล้านเหรียญ รายได้สุทธิจึงอยู่ที่ราว 267 ล้านเหรียญ จึงขาดทุนไปราว 106 ล้านเหรียญครับ

เรื่องที่สี่เป็นหนังสงครามเกาหลีเรื่อง “Devotion” มี โจนาธาน เมเจอร์ส กับ เกลน โพเวล แสดงนำ โซนีเป็นผู้จัดจำหน่ายหนังเรื่องนี้ในบ้าน ขณะที่ STX ดูแลข้อตกลงการขายในตลาดต่างประเทศ ถือเป็นหนึ่งหนังที่ได้คำวิจารณ์ดีค่อนข้างมาก แต่หนังขาดทุนไปราว 89 ล้านเหรียญครับ

รายได้ส่วนใหญ่ของหนังมาจากข้อตกลงที่ขายให้ผู้จัดจำหน่ายต่างประเทศที่ STX ดูแลครับ ได้ไปราว 40 ล้านเหรียญ แต่รายได้จากการขายตั๋วในตลาดนอกสหรับอยู่ที่ 1.2 ล้านเหรียญเท่านั้น รวมกับรายได้ในบ้านแล้วทำให้มีรายได้ทั่วโลกเพียง 21.7 ล้านเหรียญ เมื่อรวมรายรับจากการฉายในรูปแบบอื่น ทำให้หนังได้รายได้สุทธิอยู่ที่ราว 69 ล้านเหรียญ น้อยกว่าทุนสร้างที่ใช้ไป 90 ล้านเหรียญ เมื่อรวมค่าการตลาดและอื่นๆ แล้ว ค่าใช้จ่ายของหนังอยู่ที่ราว 158.2 ล้านเหรียญครับ

สุดท้ายคือหนังย้อนยุคสู่ยุคการสร้างหนังของฮลลีวูดในยุค 20 เรื่อง “Babylon” ของเดเมียน ชาเซลล์ หนังยาว 189 นาทีเรื่องนี้ มีนักแสดงแม่เหล็กอย่างแบรด พิตต์, มาร์โกต์ ร็อบบี้ และ โทบี้ แมไกวร์ เป็นผลงานสร้างของพาราเมาท์ พิคเจอร์ส

จากข้อมูล หนังทำเงินทั่วโลกไป 63.3 ล้านเหรียญ โดยมีรายได้จากตลาดนอกบ้าน 48 ล้านเหรียญ ขณะที่ในบ้านทำไปได้แค่ 15.3 ล้านเหรียญ เมื่อหักรายได้ครึ่งหนึ่งให้โรงแล้ว พาราเมาท์ได้เงินจากการขายตั๋วไปราว 25 ล้านเหรียญ รวมรายได้จากการฉายในระบบอื่นๆ แล้วได้ 75 ล้านเหรียญครับ

นั่นน้อยกว่าทุนสร้างของหนังที่ใช้ไป 80 ล้านเหรียญ แม้จะถือเป็นทุนสร้างที่ปานกลางแล้วก็ตาม บวกกับค่าการตลาดและอื่นๆ หนังมีค่าใช้จ่ายราว 162.4 ล้านเหรียญ โดยสรุปแล้วก็ขาดทุนไปราว 87.4 ล้านเหรียญครับ

สรุปตัวเลขการขาดทุนของหนัง

“Strange World” – $197.4 ล้านเหรียญ

“Amsterdam” – $108 ล้านเหรียญ

“Lightyear” – $106 ล้านเหรียญ

“Devotion” – $89.2 ล้านเหรียญ

“Babylon” – $87.4 ล้านเหรียญ

ที่มา: Deadline

Published by JEDIYUTH

Movie subtitler who has an alter ego as movie blogger. Bangkok, Thailand ดูเรื่องทั้งหมดโดย JEDIYUTH