แชดวิก โบสแมน นักแสดงผู้โด่งดังจากหนัง Black Panther เสียชีวิตด้วยวัย 43
แชดวิก โบสแมน นักแสดงผู้โด่งดังจากหนังมาร์เวลเรื่อง “Black Panther” ได้เสียชีวิตลงด้วยวัย 43 ปี เมื่อวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคมผ่านมาตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐครับ
ครอบครัวของโบสแมนแถลงยืนยันข่าวเศร้านี้ผ่านทวิตเตอร์ทางการของโบสแมน ซึ่งเผยถึงสาเหตุการเสียชีวิตว่ามาจากโรคมะเร็งลำไส้ที่ตรวจพบตั้งแต่ปี 2016 “โบสแมนถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ระยะที่สามเมื่อปี 2016 และต่อสู้กับมันมาตลอดสี่ปีที่ผ่านมานี้ ขณะที่มันลามเข้าสู่ระยะที่ 4”
ในแถลงบอกถึงการต่อสู้ของเขาอีกว่า “แชดวิกฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างเยี่ยงนักสู้ตัวจริง เพื่อมอบผลงานภาพยนตร์หลายเรื่องให้ท่านที่ทำให้ท่านได้ชื่นชอบอย่างมาก ตั้งแต่ Marshall จนถึง Da 5 Bloods, Ma Rainey’s Black Bottom โดยออกัสต์ วิลสัน และอีกหลายเรื่อง ล้วนถ่ายทำระหว่างและขณะที่เข้ารับการผ่าตัดและทำเคมีบำบัดนับครั้งไม่ถ้วน เขารู้สึกเป็นเกียรติที่อาชีพของเขาได้ช่วยสร้างให้กษัตริย์ทีชาลาได้มีชีวิตบนแผ่นฟิล์มใน Black Panther เขาเสียชีวิตที่บ้านโดยมีภรรยากับครอบครัวอยู่เคียงข้าง ครอบครัวขอขอบคุณในความรักและปรารถนาดีของท่าน และใคร่ขอให้ท่านยังคงเคารพความเป็นส่วนตัวของพวกเขาต่อไประหว่างช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้”
แชดวิก แอรอน โบสแมน เกิดเมื่อ 29 พฤศจิกายน 1976 เขาเติบโตมาในย่านโรงงานของแอนเดอร์สัน รัฐเซาธ์ แคโรไลนา เป็นลูกชายคนเล็กสุดของครอบครัวที่มีลูกชายสามคน แม่ของเขา แคโรลิน มีอาชีพเป็นพยาบาล ซึ่งแชดวิกเคยพูดถึงนิสัยของแม่ว่าเป็นคนที่นิ่งสงบที่สุดในยามที่เผชิญวิกฤติอย่างหาตัวจับได้ยาก ส่วนพ่อของเขา ลีรอย ทำงานในบริษัทด้านเกษตรกรรม และมีอาชีพเสริมเป็นช่างทำเบาะเฟอร์นิเจอร์ “ผมเห็นพ่อทำงานควบสามกะ ควบกะกลางคืนบ่อยมาก เมื่อไหร่ที่ผมต้องทำงานหนักมาก ผมจะคิดถึงพ่อ” แชดวิกเล่าในการให้สัมภาษณ์แก่นิวยอร์กไทมส์เมื่อปี 2019
แชดวิกยึดถือพี่ชายทั้งสองคน เดเร็ก กับ เควิน เป็นแบบอย่างที่ใกล้ชิดเขาที่สุด เดเร็กเป็นนักเทศน์อยูที่เทนเนสซี ส่วนเควินนั้นเป็นนักเต้นในคณะละครเวที “The Lion King” ซึ่งเควินเป็นผู้ที่มีอิทธิพลให้แชดวิกมีอาชีพด้านศิลปะจากการที่แม่พาเขาไปดูเควินซ้อมเต้นและเล่นละครเวทีที่โรงเรียนอยู่บ่อยๆ
สมัยมัธยม แชดวิกเป็นนักบาสเก็ตบอลจริงจัง แต่เปลี่ยนใจมาเป็นนักเล่าเรื่องหลังจากเพื่อนร่วมทีมคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิต เขาถ่ายทอดความคิดและอารมณ์โดยการเขียนถึงเหตุการณ์นั้นซึ่งเขามาตระหนักในภายหลังว่ามันคือบทละคร เมื่อจะต้องเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย เขาจึงเลือกเรียนสายศิลปะของมหาวิทยาลัยโฮเวิร์ด (Howard University) โดยฝันที่จะเป็นผู้กำกับ “ไม่มีทางได้เลยที่ผมจะคิดว่า ผมจะเขียนบทละครนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา (เควิน) ผมมาถึงจุดนี้ได้เพราะสิ่งที่เขาทำ”
ระหว่างอยู่มหาวิทยาลัย เพื่อที่จะสื่อสารกับนักแสดงในงานกำกับของเขา แชดวิกเข้าเรียนวิชาการแสดงกับฟิซิเลีย ราแชด นักแสดงเจ้าของรางวัลโทนีอวอร์ด (ในฤดูร้อนหนึ่ง เธอได้ช่วยให้แชดวิกกับเพื่อนในชั้นเรียนได้เข้าร่วมโครงการละครเวทีชั้นสูงที่มหาวิทยาลับอ็อกซ์ฟอร์ด ซึ่งเดนเซล วอชิงตัน ออกทุนให้ได้ไปเข้าร่วม)
หลังจากจบมหาวิทยาลัย แชดวิกย้ายไปอยู่ในย่านบรุกลิน และใช้ชีวิตช่วงวัย 20 เกือบทั้งหมดที่นั่น เขาใช้เวลาอยู่ในร้านกาแฟ เล่นหมารุกและเขียนบทละครเวทีที่เขาอยากกำกับ ซึ่งระหว่างนั้น เขาเลี้ยงตัวเองจากการเป็นครูสอนการแสดงให้นักเรียนที่ศูนย์วิจัยชอมเบิร์กด้านวัฒนธรรมคนดำในฮาร์เลม
งานด้านการแสดงแรกในวงการฮอลลีวู้ดของแชดวิกก็คือซีรี่ส์ “Third Watch” ในปี 2003 ซึ่งเขาได้ร่วมเล่นอยู่หนึ่งตอน ในปีเดียวกันนั้น เขาได้บทเร็จจี้ พอร์เตอร์ ในละครทีวีภาคกลางวันเรื่อง “All My Children” ซึ่งเขาเล่นได้เพียงสัปดาห์เดียวก็ถูกไล่ออก เพราะได้ออกความเห็นและแสดงความกังวลเกี่ยวตัวละครของเขาที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างเหมารวมให้เป็นภาพลักษณ์ของคนผิวดำในเชิงเหยียดผิว ทางผู้จัดได้เลือกไมเคิล บี. จอร์แดน นักแสดงร่วมของเขาใน “Black Panther” ให้มารับบทแทน และแสดงต่อเนื่องถึง 3 ปี
“ผมจำได้ว่ากลับบ้านไปและก็ครุ่นคิด ผมควรพูดอะไรกับพวกเขาถึงเรื่องนี้ไหม หรือผมควรเล่นๆ ไปเถอะ แต่ผมก็ไม่สามารถทำใจเล่นได้ ผมต้องส่งเสียงความคิดเห็นออกไป และแสดงความเป็นตัวเอง ในแง่ดีของเรื่องนี้ก็คือ มันมีการแก้ไขบทนิดหน่อยให้จอร์แดน พวกเขาบอกว่าคุณเป็นตัวปัญหาเกินไป แต่พวกเขาก็เอาคำแนะนำของผมไป หรือคำแนะนำบางส่วน ซึ่งสำหรับผมแล้ว แค่นั้นแหละที่ต้องการ” แชดวิกบอกในการให้สัมภาษณ์แก่ The Wrap เมื่อต้นปี 2019
จากนั้นก็เล่นซีรี่ส์เรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง เช่น “Law & Order,” “CSI: NY,” และ “Cold Case” เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตัวละครสมทบรองๆ ในบางตอน จนในที่สุดปี 2007-9 ก็ได้เล่นประจำให้ซีรี่ส์ครอบครัวเรื่อง “Lincoln Heights” ทำให้เขาต้องย้ายมาอยู่ลอส แอนเจลีส ซึ่งเขายอมรับว่าเขาชอบฮอลลีวู้ดมากกว่าที่คิด “ก่อนหน้านั้น ผมแค่อยากเป็นศิลปินในนิวยอร์ก ผมไม่เข้าใจว่าการย้ายไปแอลเอ และพยายามเป็นนักแสดงหนังเป็นอะไรที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
หนังที่เป็นบทนำเต็มตัวเรื่องแรกๆ ของแชดวิกก็คือ “42” ที่ออกฉายในปี 2013 หนังชีวประวัติของแจ็คกี้ โรบินสัน แอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่ได้เป็นนักเบสบอลอาชีพในระดับเมเจอร์ลีก และถือบทที่แจ้งเกิดให้เขาด้วย เขาไปทดสอบบทนี้ระหว่างที่กำกับละครเวทีซึ่งเล่นที่อีสต์วิลเลจ และกำลังตัดสินใจทิ้งงานแสดงมาทำงานเป็นผู้กำกับละครเวทีเต็มตัว แชดวิกได้บทมาครองหลังจากที่ไปทดสอบบทเพียงสองครั้ง และเอาชนะนักแสดงที่มาทดสอบบทนี้อีก 25 คนไปได้ ในปีเดียวกัน ยังมีหนังที่แชดวิกนำแสดงอีกเรื่องออกฉาย นั่นก็คือหนังบู๊อินดี้เรื่อง “The Kill Hole”
ในปีต่อมา เขาก็ได้รับบทประกบเควิน คอสเนอร์ ในหนังกีฬา “Draft Day” ตามด้วยการรับบทเป็นเจมส์ บราวน์ ในหนังชีวประวัติ “Get on Up” แล้วในปี 2016 เขามีผลงานหนังแฟนตาซี “Gods of Egypt” ออกฉาย ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่มาร์เวล สตูดิโอ ได้ประกาศว่าเขาจะมารับบทเป็นทีชาลา หรือแบล็คแพนเธอร์ ในหนังซูเปอร์ฮีโร่ “Captain America: Civil War” หนังเรื่องแรกตามสัญญาห้าเรื่องที่ทำไว้กับมาร์เวล
แชดวิกกลับมาสวมบททีชาลาต่อในหนัง “Black Panther” ที่เป็นหนังเดี่ยวตัวละครของเขา ออกฉายในปี 2018 ซึ่งไม่เพียงทำให้เขาเป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์ แต่หนังยังทำรายได้ทั่วโลกถึง 1.3 พันล้านเหรียญ, เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 7 สาขา รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และก่อกระแสด้านวัฒนธรรมไปทั่วโลก แชดวิกกลับมารับบทอีกในหนังมหกรรมของมาร์เวล “Avengers: Infinity War” กับ “Avengers: Endgame”
ผลงานเรื่องอื่นๆ ของแชดวิกยังประกอบไปด้วย “Messages from the King” (2017), “Marshall” (2018), “21 Bridges” (2019) และ “Da 5 Bloods” (2020) โดยเหลือหนังเน็ตฟลิกซ์เรื่อง “Ma Rainey’s Black Bottom” ที่ดัดแปลงจากบทละครเวทีของออกัสต์ วิลสัน เพียงเรื่องเดียวที่ยังไม่ได้ออกฉาย หนังดัดแปลงจากเสี้ยวหนึ่งของ มา เรนนีย์ ผู้ที่ได้ฉายาว่าเป็น “มารดาของเพลงบูลส์” ซึ่งในขณะที่บ่ายวันหนึ่ง เธอทะเลาะกับผู้จัดการวงและโปรดิวเซอร์ที่เป็นคนขาวเกี่ยวกับลิขสิทธิ์เพลงอยู่นั้น เลวี นักทรัมเปตของวงที่แอบชอบแฟนสาวของมาและรออยู่ในห้องอัดเสียงกับเพื่อนนักดนตรีด้วยกัน ก็ได้กล่าวอ้างถึงผลงานของตัวเองในอุตสาหกรรมดนตรี ทำให้บรรดานักดนตรีทั้งหมดออกมาพูดทั้งเรื่องจริง เรื่องหลอก และเรื่องเล่า ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเส้นทางดนตรีของพวกเขา แชดวิกรับบทเป็นเลวี, วิโอลา เดวีส รับบทเป็นมา เรนนีย์ โดยมีจอร์จ ซี. วูล์ฟ รับหน้าที่กำกับ และมีเดนเซล วอชิงตัน ร่วมอำนวยการสร้าง
ระหว่างเดินสายประชาสัมพันธ์หนัง “Black Panther” ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้แชดวิกอย่างมาก เขาถูกถามว่าหนังเรื่องนี้พูดถึงอะไร ซึ่งเขาตอบได้น่าสนใจในแง่ความเป็นฮีโร่และผู้ร้ายว่า
“หนังเรื่องนี้พูดถึงการใช้อำนาจของเรา เราจะใช้ทำอะไรเมื่อมีพลังอำนาจ ในแง่นี้คือการที่ใครคนหนึ่งได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่หนังซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหมดพูดถึงคนที่มีพลังอำนาจอย่างสุดขีด พวกเขาหายตัวได้ พวกเขาเสกอะไรหรือโดดสูงมากๆ ได้ ไม่ว่าพลังอำนาจนั้นเป็นอะไร มันช่วยให้เขาได้เปรียบคนอื่น ความแตกต่างเดียวระหว่างฮีโร่กับผู้ร้ายก็คือ ผู้ร้ายเลือกใช้พลังอำนาจนั้นไปในทางเห็นแก่ตัวและทำร้ายผู้อื่น”
Wakanda Forever
เศร้า…
ชีวิตกำลังอยู่ในขาขึ้น ยังมีอนาคตได้อีกยาวไกล
.
เคยคิดว่า น่าจะเป็นดาราดัง & ฝีมือระดับ “เดนเซล วอชิงตัน” คนต่อไป
.
สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน…
.
RIP ครับ
ทำไมไม่เห็นพูดถึง เดนเซล วอชิงตัน ที่มีผลกับชีวิตเค้าเลยครับ ทั้งทุนการศึกษา ทั้งแรงบรรดาลใจ หลายๆเรื่องๆ
เอาบทความอ้างอิงจากไหน ทำไมไม่มีส่วนสำคัญตรงนี้
พูดถึงนิดหน่อยตรงย่อหน้าที่ 7 ครับ อ้างอิงจากบทความเก่าของนิวยอร์กไทมส์ (ลิงก์ต้นฉบับอยู่ที่ย่อหน้า 4) ยอมรับว่าเพิ่งเคยเห็นคลิปที่นำมาให้ดูเหมือนกันครับ
ครับผม เดินเซลแกเป็นคนมีอิทธิพลกับแชดวิคมากๆเลย สุดยอดทั้งคู่เลยครับ