ความเห็นลูกชายของแซ็ค สไนเดอร์ ต่อ Justice League สะท้อนว่าวอร์เนอร์ฯ เข้ามายุ่งเกินไป

เจ็ตต์ เอลิน ลูกชายของแซ็ค สไนเดอร์ ได้ลงความเห็นผ่านผ่านสื่อออนไลน์ Vero ต่อหนัง Justice League ซึ่งดูเหมือนสะท้อนต้นเหตุสำคัญที่ทำให้หนังไม่เป็นอย่างที่หวังแบบเดียวกับที่แฟนๆ ของหนังเรื่องนี้คิดกันครับ และดูเหมือนว่าเขาอาจรู้บางอย่างด้วยว่าฉบับดั้งเดิมตามวิสัยทัศน์ของแซ็ค สไนเดอร์ นั้นไม่ใช่แบบฉบับสุดท้ายที่ฉายโรง

ขอพูดอย่างจริงจังนะ ผมสนุกกับหนังจริงๆ แม้เห็นได้ชัดว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่มันน่าจะเป็น ทั้งนี้เพราะการเข้ามาก้าวก่ายของวอร์เนอร์ บราเธอร์ส และการยัดเยียดใส่ความตลก ความยาวของหนังคือส่วนที่ผมอยากบ่นมากที่สุดของหนังเรื่องนี้ ที่เหตุการณ์น่าจะใช้เวลานานกลับเล่าแบบวูบเดียว แต่ก็ยังถือว่าเป็นหนังที่สนุกอยู่ และแนะนำให้ไปชมกัน

ขณะเดียวกัน ได้มีแฟนๆ พากันร่วมลงชื่อที่ Change.org เพื่อให้วอร์เนอร์ฯ ฉายหนัง Justice League ฉบับของสไนเดอร์เองออกมา ที่ตอนนี้มีผู้ลงชื่อแล้วกว่า 100,000 คน ครับ

ในความเห็นของผมแล้ว อยากเห็นฉบับวิสัยทัศน์ดั้งเดิมของสไนเดอร์เหมือนกันครับ แต่ก็ไม่คิดว่าวอร์เนอร์ฯ จะทำออกมา เพราะนั่นเท่ากับเป็นการทำให้เกิดความสับสนในทิศทางที่ตัวเองได้วางไว้แล้ว เห็นชัดว่าผู้บริหารของวอร์เนอร์ฯ กับสไนเดอร์มีความเห็นไม่ตรงกันต่อทิศทางจักรวาลภาพยนตร์ดีซี การที่ปล่อยหนังฉบับของสไนเดอร์ออกมาก็เท่ากับอาจต้องพาหนังกลับสู่ทิศทางเดิม หรือยอมรับว่าทิศทางของสไนเดอร์ดีกว่าฉบับบันเทิงที่วอร์เนอร์ฯ พยายามจะหันให้จักรวาลนี้ไปด้วย Justice League ครับ

และอีกปัญหาหนึ่งที่อาจทำให้ฉบับของสไนเดอร์อาจเกิดขึ้นไม่ได้ก็คือ งบประมาณที่ต้องเพิ่มเพื่อให้ฉบับของสไนเดอร์สมบูรณ์ ทั้งการตัดต่อใหม่ ทำเทคนิคพิเศษใหม่ และทำดนตรีใหม่ จากที่ลงทุนไปกว่า 300 ล้านเหรียญและยังไม่มีวี่แววว่าจะได้กำไรครับ

ที่มา: Heroic Hollywood

17 comments

  1. ทุนสร้าง 300 ล้าน ค่าการตลาด 150 ล้าน นะ 450 ล้าน เเละหนังประมาณการไว้ที่ 600-650 ล้านเหรียญทั่วโลกเเละ จีน รายได้จากจีน สตูดิโอ ได้เเค่ 25% จากราคาตั๋วหนัง ผิดกัยที่อื่นที่ได้ที่ 45-55% จากราคาตั๋ว

  2. จะไปอยากดูทำไมอ่ะครับ จำไม่ได้กันเหรอว่าที่ต้องเปลี่ยนแนวเพราะว่าแนว Dark ของสไนเดอร์มันไม่เวิร์ค(ก็เพราะกระแสคนดูนี่แหละ)ใน BvS มันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ Studio เปลี่ยนแนวเลยต้องดึงวีดอนมา และหลายๆคนก็บอกว่าหนังดีกว่า BvS หรือ SS แต่เห็นด้วยนะครับที่หนังควรจะยาวกกว่านี้ ตอนนี้ผลออกมาไม่ดีอะไรก็ผิดหมดแหละครับ หนังฉบับสไนเดอร์คงไม่ได้ดูหรอกครับ… เปลืองเปล่าๆ

  3. ตามคาด หนังไม่ได้ผิด ที่ ผกก หรอกผิดที่วิสัยทันศ์ของหัวเรืออย่าง วอเนอร์ พี่แก่ทำหนังเป๊กมาหลายเรื่องปีนี้ ทั้ง King Ather,Blade Runner 2049,Geostorm(หนังโคตรง่วง) หนังขาดทุนทุกเรื่อง ถ้าจะให้โดดเด่น ก็คืออย่าก้าวก่ายงานหนังครับ CEO Kevin Tsujihara หนังจะร่าเริ่งแจ๋มใส ยิ้มรับวันใหม่ ยิ้มให้แก่กัน(ถุ้ยย) ก็ไม่ได้แปลว่าคนจะชอบ หนังง่าย คนดูก็ลืมเร็ว

  4. ได้ดู B V S อีกครั้งฉบับตัดต่อใหม่ทางเคเบิล ผมคิดว่า หนังดูดีกว่า JL ครับ และดูรอบ 2 นี่เข้าใจมากขึ้นเลยไม่ได้สะดุดความรู้สึกอะไร หนังมีจุดอ่อน ตรง ถ้าให้ superman ไม่ต้องพูดคำว่า แม่ ออกมา แล้วให้ โลอิส วิ่งเข้ามา ชี้แจง เพียงแค่นี้ หนังออกมาดูดีทั้งเรื่อง เพราะ CG ก็ดีมากๆผมว่านะ การเล่าเรื่อง ถ้าดู รอบ 2 หรือ 3 จะสนุกมากครับ เพลงก็ดี สงสัยผมคงเป็น สายดาร์ค555

  5. ผมว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตีมที่มืดหม่นของเรื่องหรอกคับ เเซคทำแบบนี้มาหลายเรื่องเเล้ว เสียงตอบรับก็ดี ทั้งนักวิจารณ์ทั้งคนดู 300 / sucker punch/ watchmen แต่ปัญหาคือ ผู้บริหารนะละคับ ที่บีบแซคเกินไปเพื่อที่จะไล่ให้ทันค่ายคู่แข่ง เลยต้องมาเป็น BvS และ JL ซึ่งมันไวเกินไป ควรมีหนังเดี่ยวมาก่อน เทพแค่ไหนก็เล่าเรื่องราวมากมายในหนังเรื่องเดียว ไม่ได้หรอกคับ พอจะเล่าก็อย่างที่เห็น ตัดต่อออกมาคนดู งง โคตร เพราะเส้นเรื่องเยอะเกิน บทมาธ่าร์ก็นะ เล่นเอามึนเหตุผลบางเบาไปนิด เข้าใจว่าพยายามหาจุดร่วมแบทกับซุป เเต่ไม่ไหว สู้ให้ซุปไม่ยอมสู้ในตอนท้ายโดนแบทอัดอย่างเดียว ลูอิส วิ่งมาห้าม พร้อมบอกเหตุผลว่า เล็กซ์จับแม่ซุปไป ละวางแผนให้ฆ่ากันเองให้ตายทั้งคู่ ยังเข้าท่ากว่าอีกนะ 555
    ส่วนตัวชอบ BvS นะคับ ดูไป3 รอบ ติดแค่มาธ่าร์จิงๆ นอกนั้นโอเค
    ส่วน JL ดูไปรอบเดียว แต่สนุกเกินคาด ไม่เยี่ยม ไม่ใหญ่โตแบบ MoS หรือ BvS แต่ก็มีบางอย่างมาชดเชยแทน ดูทั้ง2เรื่องเเล้ว อยากดู เเฟลช กับ ควาร์แมนต่อเลยด้วยซ้ำ 555

    • ยาก เพราะเขาเป็น ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นทั้งสองอย่าง คนที่มีอำนาจไล่ออกก็คงเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มพี่น้อง Warner ทั้งหมด
      ซัม วอร์เนอร์, แจ็ค แอล. วอร์เนอร์, แฮร์รี วอร์เนอร์, อัลเบิร์ต วอร์เนอร์

  6. รุ่นใหญ่ใจไม่นิ่งอะ ความจริง jl ถ้าปล่อยให้แซคเต็มๆไป มันก็คงจะโทนใกล้ๆ ww น่ะแหละ คือเป็นด้านบวกแบบคลาสสิค คือมียิ้มๆ แต่ไม่ถึงกับล้น เพราะจริงๆแซคก็วางมาให้เรื่องนี้คลี่คลายและสดใสกว่าเรื่องก่อนๆแต่แรกอยู่แล้ว แต่ทางค่ายอยากได้อะไรที่สูตรสำเร็จกว่านั้น แล้วรีบจับสไตล์ของอีกคนมาเติมโดยไม่ได้ระวังเลยว่ามันจะโดดกันมากมั้ย คือดูเอาบันเทิงก็สนุกใช้ได้ แต่ถ้าเทียบกับกับความยิ่งใหญ่ของหนังก็ถือว่าไม่เท่าที่คาดหวัง แล้วมันจะมีอารมณ์แบบถ้าเปรียบหนังเป็นรูปลักษณ์มันก็จะเหมือนแฟรงเก้นสไตน์หน่อยๆ คือเหมือนเอาชิ้นส่วนมาปะติดปะต่อรวมกัน คือจริงๆต่อให้ เป็นแซคเต็มๆ มันก็ไม่ได้รับประกันเรื่องรายได้หรอก เพราะสไตล์แซคค่อนข้างเฉพาะตัวไม่ได้เหมาะกับตลาดวงกว้างนัก แต่มันก็จะยังดีซะกว่าทำลายงานศิลปินแบบผิดธรรมชาติอย่างนี้

  7. จะสานต่อแบทแมนโนแลน เลยทำแมนออฟสตีล แต่ให้ภาพแฟนตาซีขึ้น เลยให้เฮียแซคมาจัดต่อ แต่งานโนแลนเป็นแบบดูแล้วต้องคิด งานเฮียแซคเป็นแบบดูเข้าใจง่าย ผสมกันไม่ลง บานปลายจนเป็นปัจจุบัน

  8. การต้องทำงานใต้เงางานของใครหรือทำงานที่มีแรงกดดันสูงทั้งจากผู้บริหารและความหวังอย่างมากของผู้ชมนั้นยากมากๆ ซึ่งต้องทำให้ดีให้ผู้ชมชอบด้วยและเนื้อหาต้องรีบอัดเล่าให้เยอะๆให้พอใจผ่ายบริหารของค่ายอีก ทำให้บางทีมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่แซ็คเค้าอยากจะถ่ายทอดให้เราเลยก็ได้ทั้งจากใน BvS หรือ JL น่าเห็นใจแซ็คเหมือนกันครับ

    ต่างจากโนแลนที่ทำงานโดยอิสระกำหนดทุกอย่างเองได้ ขอบเขตของการเล่าการดำเนินเรื่อง โดยไม่ค่อยมีแรงกดดันจากส่วนอื่นเท่าไหร่นอกจากตัวเอง ทำให้ทำงานและถ่ายทอดในสิ่งที่ตนเองอยากจะถ่ายทอดได้อย่างดี

    ซึ่งก็ไม่ได้บอกว่าโนแลนหรือแซ็คใครดีกว่ากัน ทั้งคู่ก็ต่างมีดีเป็นของตัวเอง

Leave a Reply to pnppCancel reply