King Arthur: Legend of the Sword เตรียมขาดทุนราว 150 ล้านเหรียญ

นักวิเคราะห์มองว่า King Arthur: Legend of the Sword จะเปิดตัวด้วยตัวเลขรายได้ที่ย่ำแย่ แต่เมื่อผลออกมาเมื่อต้นสัปดาห์ ปรากฏว่าแย่กว่าที่คาดด้วยครับ เพราะตัวเลขรายได้ในตลาดนอกอเมริกาเหนือก็แย่เช่นเดียวกัน และน่าจะกลายเป็นหนังฟอร์มใหญ่ที่ขาดทุนมากที่สุดเป็นประวัติกาลเรื่องหนึ่งเลย

หนังเปิดตัวด้วยรายได้สามวันในอเมริกาเหนือเพียง 15.4 ล้านเหรียญ ส่วนรายได้สุดสัปดาห์แรกจากตลาดโลกก็ทำได้เพียง 29.1 ล้านเหรียญ จาก 51 ประเทศ โดยมีรายได้จากตลาดในจีนแค่ 5 ล้านเหรียญ ดูแล้วไม่มีทางได้กำไรจากตลาดโลกแน่ๆ ครับ

ด้วยรายได้เปิดตัวแค่นี้ นักวิเคราะห์มองว่าหนังทุนสร้าง 175 ล้านเหรียญเรื่องนี้ น่าจะทำเงินไปได้อย่างมากที่สุดจากทั่วโลกไม่เกิน 145 ล้านเหรียญ ซึ่งเมื่อหักจากรายได้ที่ต้องแบ่งให้โรงหนังกับค่าการตลาดแล้ว หนังน่าจะต้องขาดทุนสูงถึง 150 ล้านเหรียญ ซึ่งพอๆ กับทุนสร้างหนังของ Thor, Mad Max: Fury Road และ Batman Begins และถือเป็นหนังที่ขาดทุนสูงที่สุดของปีนี้จนถึงปีนี้มากกว่า Monster Trucks ของพาราเมาท์ที่ขาดทุน 125 ล้านเหรียญตอนออกฉายเมื่อมกราคมที่ผ่านมา เพียงแต่วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ไม่ได้ต้องขาดทุนผู้เดียว เพราะมีวิลเลจ โรดโชว์ และแรทแพ็ค-ดูน เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่เป็นผู้ร่วมลงทุน มาร่วมกันหาร

เจฟฟ์ บ็อค นักวิเคราะห์รายได้หนังมองว่าสาเหตุที่หนังขาดทุนมาจาก “เลือกผู้กำกับผิด นักแสดงนำผิด, บทหนังผิด และอื่นๆ อีกมากมาย ทิศทางของหนังที่ว่าเป็น Game of Thrones ฉบับอัพสเตอรอยด์ที่สตูดิโอใช้ตั้งแต่อนุมัติสร้างไม่เป็นที่น่าตื่นเต้นสำหรับใครๆ” และชาร์ลี ฮันนัม นักแสดงนำก็ยังไม่มีบารมีพอที่จะอุ้มหนังไว้ “ถ้าเป็นหนังทีวีก็ว่าไปอย่าง แต่หนังใหญ่ขนาดนี้ คุณต้องใช้นักแสดงที่ใหญ่ตาม

เจฟฟ์ โกลด์สตีน หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายในประเทศของวอร์เนอร์ฯ เอง ก็มองว่าหนังพลาด “แนวคิดพลาด เราทุกคนผิดหวังมาก

ขณะที่เอริก แฮนด์เลอร์ นักวิเคราะห์ของวอลสตรีทบอกว่ารู้สึกไม่แปลกใจที่หนังคว่ำในบ้าน “ผมจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่หนังเกี่ยวกับยุคกลางประสบความสำเร็จในตลาดที่นี่คือเมื่อไหร่ เนื้อเรื่องไม่เป็นที่นิยมของคนที่นี่อีกแล้ว แต่ก็มีคนพยายามฟื้นฟูมันขึ้นมาทุก 5-10 ปี แต่สิ่งที่ผมแปลกใจมากกว่าคือตัวเลขในตลาดโลกที่ได้น้อยด้วย โดยเฉพาะในยุโรป

อีกประเด็นหนึ่งที่นักวิเคราะห์มองกันว่าเป็นสาเหตุให้หนังล้มเหลว เพราะโครงการถูกปั้นขึ้นในช่วงเปลี่ยนผู้บริหารของวอร์เนอร์ฯ และผู้บริหารที่มาแทนไม่ค่อยปลื้มกับโครงการหนังเท่าไหร่ อย่างไรก็ดี วอร์เนอร์ฯ น่าจะไปได้ดีกับหนัง Wonder Woman และ Dunkirk ซึ่งอาจทำเงินมาช่วยการขาดทุนครั้งนี้

ที่มา: THR

 

7 comments

  1. บทความนี้น่าจะวิเคราะห์ได้ตรงจุดแล้วครับ ผิดตั้งแต่คิดโปรเจคนี้ขึ้นมาแล้วว่างั้น … สงสารพี่เบ็คของผม

  2. เรื่อง king Arther โดนเอามาทำไม่รู้กี่รอบแล้ว คนดูไม่คาดหวังกับเนื่องเรื่อง
    ส่วนงานภาพ เพลง การใส่ความร่วมสมัย ก็ไม่น่าดึงดูดอะไรเพราะมีให้เห็นกันเกลื่อนแล้ว
    แถมด้วยดาราที่ไม่ดึงดูดอีก รวมๆเลยคือ ดูตัวอย่างแล้วไม่รู้จะคาดหวังอะไรกับหนังดี
    อารมณ์ว่า ถ้ามีให้ดูตามทีวี ว่างๆก็คงดู แต่ถ้าไปในโรง คงไม่
    ผลก็เลยเป็นอย่างที่เห็น จริงๆควรวางให้ scale เล็กกว่านี้ เพื่อลดต้นทุน

  3. หนังเเนวนี้ทำได้ดีดูสนุกเเละคุณภาพมีเรื่องเดียวที่กำไรคือ Gladiator เเละพวก robinhood kingdom of heaven เเละ Exodus: Gods and Kings ริดลี่ สก็อต กำกับหมด หนังคุณภาพทุกเรื่องทั้งงานสร้าง เเต่ ฉายในโรงขาดทุนหมด ทั้งๆที่หนังมันคุณภาพนะ

  4. พลาดหมด ทั้งทีมแคส ทีมเขียนบท ผู้กำกับ คนดันโปรเจค คนคิดโปรเจค คนอนุมัตโปรเจค
    วอเนอร์ เอ้ย วอเนอร์
    Ceoที่เป็นคนญี่ปุ่น ควรขยับบ้าง

  5. ยังไม่ได้ดูเลยนะ แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปมากมาย ลูกค้าก็เปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่าง หน้าหนังภาพโปรโมต หน้าหนังบูด ๆ มันไม่ชวนให้่อยากซื้อตั๋วไปชมเลย แต่ตัวอย่างที่ผ่านตามา โอเคนะครับ แต่ก็แค่โอเค ถ้าให้ควักเงินมาจ่าย ก็ต้องคิดอีกทีว่ามีตัวเลือกอะไร ตัดได้ก็ตัด รอช่องทางอื่น

Leave a Reply