ฮอลลีวู้ดกลัวกันว่ารายได้หนังซัมเมอร์ปีนี้ จะตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี

Guardians of the Galaxy Vol.2 เป็นหนังเปิดซัมเมอร์ปีนี้ของฮอลลีวู้ด และทำเงินในบ้านไปแล้วจนถึงตอนนี้ 246.1 ล้านเหรียญ ขณะที่รายได้ในตลาดนอกบ้านอยู่ที่ 384.4 ล้านเหรียญ เป็นตัวเลขรายได้ที่ดูดีเลย เพราะถ้ารวมรายได้ในตอนนี้ก็ 630.5 ล้านเหรียญจากการฉาย 10 วัน น่าจะแซงรายได้รวมทั่วโลกของภาคแรกที่ทำไว้ 773.3 ล้านเหรียญ จากการฉาย 25 สัปดาห์ได้ในไม่ช้า แต่ก็ดูเหมือนว่าหนังซัมเมอร์เรื่องอื่นๆ อาจได้แค่มองตาปริบๆ ครับ วงในของฮอลลีวู้ดในตอนนี้เกรงกันว่ารายได้รวมทั้งหมดของหนังทุกเรื่องที่ออกฉายในปีนี้น่าจะตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี

มีการคาดการณ์กันว่ายอดขายตั๋วของปี 2017 ในสัปดาห์แรกของพฤษภาคมจนถึงเทศกาลวันหยุดวันแรงงานในสหรัฐ (สัปดาห์แรกของกันยายน) จะลดต่ำลงราว 5-10 % จากปีที่แล้ว ที่หนังทำเงินรวมในทวีปอเมริกาเหนือ 4.45 พันล้านเหรียญ แปลว่ารายได้น่าจะต่ำว่า 4 พันล้านเหรียญ และแย่ที่สุดในรอบสิบปี อย่างไรก็ดี ตลาดนอกสหรัฐอาจมาช่วยเรื่องนี้ไว้เพราะคาดว่าน่าจะยังดีอยู่ และก็มีโอกาสเสมอที่จะมีหนังที่กลายเป็นหนังทำเงินอย่างคาดไม่ถึงซึ่งมีเกิดขึ้นทุกปีในสหรัฐมาช่วยไม่ให้ตกต่ำเกินไป

ผู้บริหารของฮอลลีวู้ดบางคนมองว่า อุตสาหกรรมหนังในฮอลลีวู้ดปีนี้จะตกต่ำเพราะพึ่งหนังภาคต่อมากเกินไป ซึ่งบางเรื่องก็สร้างต่อกันมาหลายภาคจนล้ามากแล้ว ผู้ชมอาจยังตื่นเต้นและกลับมาชมภาคต่อของ Guardians of the Galaxy แต่จะมีอีกกี่คนที่อยากชมภาคต่อของ Pirates of the Caribbean และ Transformers

หนังใหญ่บางเรื่องไม่แข็งแรงเท่าไหร่ในปีนี้” คริส แอรอนสัน หัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายในประเทศของทเวนตี้ เซ็นทูรี ฟ็อกซ์ ให้ความเห็น ซึ่งฟ็อกซ์เองก็มีหนังภาคต่อชุด Alien กับ Planet of the Apes ออกฉายในปีนี้

อีกสาเหตุที่ทำให้ผู้ชมในอเมริกาเหนือออกมาดูหนังในโรงกันน้อยลงเพราะมีคู่แข่งจากทีมีและหนังออนไลน์ ซึ่งตอนนี้ ดูเหมือนมีพื้นที่ของกระแสปากต่อปากบนสื่อออนไลน์มากกว่าหนังอีก

แม้ว่าค่ายหนังมักพึ่งหนังภาคต่อหรือหนังรีเมกมาลดความเสี่ยงของการสร้างหนังฟอร์มใหญ่ด้วยการให้สิ่งที่ผู้ชมต้องการ แต่กลยุทธนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลแล้วเพราะผู้ชมพึ่งสื่อออนไลน์มากขึ้นในการช่วยเลือกชมหนัง ตัวอย่างเช่นปีที่แล้วก็มีหนังภาคต่อและรีเมกที่ทำเงินย่ำแย่กว่าภาคก่อนหน้ามากมายหลายเรื่อง เป็นต้นว่าภาคต่อของ “Star Trek,” “X-Men,” “Independence Day,” “Teenage Mutant Ninja Turtles” และ “Alice in Wonderland

แต่แม้กลยุทธนี้จะไม่ค่อยได้ผลแล้วในตลาดอเมริกาเหนือ แต่ค่ายหนังใหญ่ๆ ก็ยังยึดกลยุทธนี้อยู่ในการสร้างหนังเพื่อทำกำไร เพราะยังถือว่าเป็นกลยุทธที่ปลอดภัยอยู่เมื่อดูจากรายได้ของตลาดนอกอเมริกาเหนือที่ทำให้หนังมีกำไรมากขึ้น นอกจากนี้แล้ว เมื่อประกาศสร้างหนังใหญ่ทุนสูงแล้ว มันไม่อาจยกเลิกหรือยุบโครงการหนังได้กลางครันก่อนที่หนังจะเข้าฉาย พูดง่ายๆ ก็คือจำเป็นต้องเลยตามเลย

ให้ตายสิ มันน่าหดหู่มากๆ มันมีแต่หนังภาคต่อกับหนังแฟรนไชส์ มันควรต้องเปลี่ยนแปลงกันบ้าง” ผู้อำนวยการสร้างหนังชั้นนำคนหนึ่งให้ความเห็น ซึ่งก็จริงๆ เพราะปีนี้มีแต่อะไรเดิมๆ นอกจากภาคต่อที่เห็นๆ กันอยู่แล้ว ก็ยังมีประเภทเหล้าใหม่ในขวดเก่า อย่างหนัง Spider-Man: Homecoming ที่โซนี่ พิคเจอร์ส ยกเครื่องใหม่เป็นครั้งที่สองในรอบห้าปี และก็ยังมี The Mummy ที่ทอม ครูส มารับบทนำ หลังจากฉบับเบรนแดน แฟรเซอร์ ไม่ได้สร้างต่อและมีภาคสุดท้ายไปเมื่อสิบปีก่อน

โซนี่ฯ อาจรู้ว่าการยกเครื่องใหม่ให้ Spider-Man ต้องมีลูกไม้เด็ดมาช่วยให้หนังชุดนี้อยู่ยืนยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ การร่วมมือกับคู่แข่งอย่างมาร์เวล สตูดิโอ จึงถือเป็นกลยุทธใหม่ และการให้โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ นักแสดงที่เป็นที่นิยมที่สุดของมาร์เวลมาช่วยเป็นตัวขายก็น่าจะเป็นลูกไม้เด็ดที่สำคัญ

Transformers: The Last Knight ของพาราเมาท์ก็ใช้กลยุทธเรื่องบทหนังมาช่วยครับ จากการที่จ้างนักเขียนบทมามากมายเพื่อช่วยระดมมันสมองคิดเนื้อเรื่องของหนังออกมา โดยโยงเข้าเรื่องเข้ากับตำนานกษัตริย์อาร์เธอร์แห่งอัศวินโต๊ะกลมเพื่อขยายจักรวาลของหนังออกมา และก็ยังใช้กล้อง IMAX 3D รุ่นใหม่ล่าสุดมาถ่ายทำหนังเพื่อเพิ่มลูกเล่น “เกมมันเปลี่ยนไปแล้ว และทุกคนรู้สึกกดดันจนต้องพยายามมากขึ้นไปมากกว่าเดิม ไม่มีใครนั่งเฉยอยู่แล้วพูดว่า เรามาลองใช้วิธีการอย่างครั้งที่แล้วเถอะ” เมแกน คอลลิแกน ประธานของฝ่ายจัดจำหน่ายและการตลาดในตลาดสากลของพาราเมาท์ พิคเจอร์ส บอก

ส่วนดิสนี่ย์นั้น ใช้การเลื่อนฉาย Pirates of the Caribbean 5 ถึงสองครั้งเพื่อถ่ายทำเพิ่มเติมให้ได้หนังที่น่าจะขายได้จริงๆ รวมถึงใช้การตลาดแบบไวรัสมาช่วยสร้างกระแสให้หนัง เป็นต้นว่าให้จอห์นนี่ เดปป์ เดินสายประชาสัมพันธ์ แม้แต่การให้แต่งชุดเป็นกัปตันแจ็ค สแปโรว์ ไปพบแฟนๆ ในสวนสนุกก็ตาม

สำหรับหนังที่น่าจะเป็นหนังทำเงินแน่นอนของซัมเมอร์นี้ นักวิเคราะห์มองว่าเป็น Despicable Me 3 ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส กับ Cars 3 ของพิกซาร์ครับ ส่วนที่มีหวังว่าน่าจะเป็นหนังทำเงิน ก็คือ Dunkirk ของคริสโตเฟอร์ โนแลน แต่ก็นักวิเคราะห์บางรายก็บอกว่า อาจไม่ได้ทำเงินอย่างที่วอร์เนอร์ฯ หวังก็ได้

หนังที่ค่ายวอร์เนอร์ฯ หวังได้อีกเรื่องก็คือ Wonder Woman ที่การเปิดตัวของตัวละครนี้ใน Batman v Superman: Dawn of Justice มีความโดดเด่นอย่างมาก และอาจช่วยให้หนังทำเงินได้เมื่อออกฉาย

พาราเมาท์ยังมีหวังกับ Baywatch อีกเรื่อง ที่คิดว่าเสน่ห์ของดเวย์น จอห์นสัน จะช่วยให้หนังทำเงิน แต่ก็ดูเหมือนว่ายังมีความไม่แน่นอนอยู่

ขณะที่หนังใหญ่ออกมาสู้กันมากมาย นักวิเคราะห์ก็มองกันว่าอาจเป็นปีฮิตเงียบของหนังเล็กหลายเรื่อง เช่น Baby Driver ของเอ็ดการ์ ไรท์, It Comes at Night หนังสยองขวัญของเอ24, หนังตลก The Big Sick ที่อำนวยการสร้างโดยจัดด์ แอพะทาว และ Atomic Blonde หนังสายลับที่มีฉากบู๊เท่ๆ ของชาร์ลีซ เธอรอน ที่จัดจำหน่ายโดยโฟกัสฟีเจอร์

สำหรับหนังทุนยักษ์เนื้อหาใหม่ที่อยู่ในแดนเสี่ยงว่าจะแป้กในปีนี้ก็ได้แก่ King Arthur: Legend of the Sword หนังทุน 175 ล้านเหรียญของวอร์เนอร์ฯ ที่เปิดตัวในบ้านไปแค่ 14.7 ล้านเหรียญ และแป้กในตลาดโลกด้วยเพราะทำเงินไป 29.1 ล้านเหรียญ นอกจากนี้ยังมี Valerian and the City of a Thousand Planets หนังทุนสร้าง 180 ล้านเหรียญของลุค เบสซง และ The Dark Tower ที่ดัดแปลงจากนิยายของสตีเว่น คิงก์ สร้างโดยโซนี่ พิคเจอร์ส

แม้รายได้หนังทุนสูงซัมเมอร์ปีนี้ส่วนใหญ่จะส่อแววแป้ก แต่ค่ายหนังอาจได้ชดเชยจากหนังที่ฉายนอกซัมเมอร์เป็นต้นว่าในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมครับ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือหนังที่ทำกำไรมหาศาลอย่างหนังสยองขวัญ Get Out และ Fast and Furious 8 ที่แม้จะทำเงินในสหรัฐน้อยกว่าภาคที่แล้ว แต่ก็ได้รายได้จากตลาดโลกมาช่วยให้หนังทำเงินทะลุพันล้านเหรียญไปแล้ว รวมถึง Beauty and the Beast ของดิสนี่ย์อีกเรื่องที่ก็ทำเงินทั่วโลกทะลุพันล้านเหรียญ รายได้รวมของหนังทั้งหมดเพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

อ่านบทความนี้แล้วทำให้นึกถึงสิ่งที่สตีเวน สปีลเบิร์ก กับ จอร์จ ลูคัส เคยทำนายไว้ครับ ว่า การแข่งกันสร้างหนังฟอร์มใหญ่ของฮอลลีวู้ดจะทำให้อุตสาหกรรมหนังพบจุดจบ

คิดว่าจะมีหนังซัมเมอร์ปีนี้เรื่องไหนที่แป้กและเปรี้ยงกันบ้างครับ

ที่มา: LA Times

7 comments

      • ไม่แน่หรอกครับ ผู้กำกับใหม่ แถมมารเวลเอามายกเครืองใหม่เองด้วย ผมว่าโทนหนังน่าจะต่างไปจากเดิม

  1. ผมว่ามันไม่เกี่ยวเลยนะ กับรายได้ที่ลดลงเป็นเพราะหนังภาคต่อ ถ้าเรื่องนั้นทำได้ดี สนุก ภาคต่อแต่เนื้อหาสดใหม่ คนก็บอกต่อหนังก็ได้เงิน ลองดูรายชื่อหนังที่แป้กสิครับ มันมีปัญหาในตัวมันเองทั้งนั้น คนดูแล้วไม่สนุก ไม่สร้างแรงบันดาลใจ ไม่รู้สึกทึ่ง ต่อให้ไม่ใช่หนังภาคต่อก็แป้กได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามเห็นด้วยครับที่ควรจะมีอะไรใหม่ๆมาบ้าง (ซึ่งก็มีเรื่อยๆนะ) หนังภาคต่อมากเกินไปก็ไม่ดีในภาพรวมครับ

Leave a Reply to medcocoCancel reply