5 ค่ายหนัง แย่งชิงลิขสิทธิ์จัดจำหน่าย James Bond ภาคใหม่
อย่างที่เคยรายงานให้ทราบครับว่าลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายหนังชุด James Bond ของโซนี่ พิคเจอร์ส ยุติหลังจาก Spectre ออกฉาย หลังจากที่ได้จัดจำหน่ายและร่วมสร้างมาตั้งแต่ Casino Royale เมื่อปี 2006 ซึ่งแม้จะมีปัญหาบ้าง แต่หนังก็ทำเงินทั่วโลกรวมกันไปราว 3.5 พันล้านเหรียญ (หลังจากปรับตามค่าเงินเฟ้อแล้ว) และสร้างให้แดเนียล เครก เป็นเจมส์ บอนด์ ของยุคใหม่
เมโทร-โกลด์วิน-เมเยอร์ (เอ็มจีเอ็ม) กับ อีออน โปรดักชั่น ผู้ถือลิขสิทธิ์นิยายและผู้ควบคุมงานสร้างหนังชุดนี้มาตลอดได้เริ่มคุยกับค่ายหนังใหญ่ของฮอลลีวู้ดเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ด้านการตลาดและจัดจำหน่ายหนังภาคใหม่แล้ว ซึ่งตามรายงานบอกว่ามีค่ายหนังอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 ค่ายที่สนใจและแข่งขันกันอยู่ในตอนนี้
ทั้งห้าประกอบด้วยโซนี่ที่เป็นค่ายจัดจำหน่ายเดิม ตามด้วยวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ที่ร่วมงานกับเอ็มจีเอ็มในหนังชุด The Hobbit, ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส, ทเวนตี้ เซ็นทูรี ฟ็อกซ์ และค่ายจัดจำหน่ายหนังน้องใหม่ แอนนาเปอร์นา พิคเจอร์ส ที่เพิ่งร่วมงานกับเอ็มจีเอ็มใน Detroit
สิ่งที่น่าสนใจในข้อตกลงก็คือ ไม่ใช่เป็นสัญญาจัดจำหน่าย 4 ภาคแบบคราวของโซนี่ที่ผ่านมา แต่เป็นการจัดจำหน่ายเพียงภาคเดียว เพราะยังไม่อยากผูกมัดตัวเองกับค่ายไหนมากเกินไป หากค่ายไหนเสนอมาเกินหนึ่งภาคก็จะไม่รับ
ส่วนประเด็นเรื่องนักแสดงนำของหนัง แดเนียล เครก ไม่มีการกล่าวถึงในที่ประชุมแม้ผู้อำนวยการสร้างของหนังหวังว่าเครกจะกลับมารับบทอย่างน้อยอีกหนึ่งภาค
แล้วผู้จัดจำหน่ายจะได้อะไรจากหนัง ดูเหมือนว่าจะไม่ต่างจากที่โซนี่เคยได้รับในตอนทำ Spectre ครับ นั่นคือโซนี่ต่ายค่าทุนสร้างและงบการตลาดส่วนใหญ่ของหนัง และได้ 25% จากส่วนแบ่งกำไรหลังจากหักทุนสร้างและงบประมาณทั้งหมดแล้ว โซนี่ยังให้เอ็มจีเอ็มได้กำไรจากส่วนอื่นที่ไม่ใช่หนังเจมส์ บอนด์ ด้วย
และหาก แอนนาเปอร์นา พิคเจอร์ส ของเมแกน เอลลิสัน ได้ลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายไป ก็จะทำให้บริษัทของเธอกลายเป็นผู้เล่นรายใหม่ที่สำคัญของฮอลลีวู้ดขึ้นมาเลย แต่ก็ยังมีความลังเลอยู่ว่าบริษัทที่ผลิตหนังเล็ก แต่มีงานที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงบนเวทีรางวัลมาหลายปีบริษัทนี้ จะมีประสบการณ์พอในการจัดจำหน่ายหนังใหญ่ๆ ในระดับโลกหรือไม่
ที่มา: The New York Times