9 สิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับ Batman v Superman: Dawn of Justice จากงานคอมมิคคอน

batman-vs-superman comiccon articaleในงานซานดิเอโก คอมมิคคอน ครั้งล่าสุดนี้ ถือเป็นครั้งที่ 3 ที่หนัง Batman v Superman: Dawn of Justice มานำเสนอ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่น่าจะนำเสนอแบบเต็มๆ มากที่สุดเพราะหนังได้ถ่ายทำเสร็จแล้วครับ ซึ่งจากการพูดคุยของผู้กำกับแซ็ค สไนเดอร์, เบน แอฟเฟล็ค, แกล กาโดท์ และทีมนักแสดง เราพอสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้ครับ

1. เกี่ยวกับวัตถุดิบที่นำมาใช้เป็นเนื้อเรื่องของหนัง สไนเดอร์บอกว่าไม่ได้นำมาจากตอนหนึ่งตอนใดโดยเฉพาะของฉบับคอมมิค “ถ้าคุณอยากพูดถึงตัวเนื้อเรื่องของหนังเอง หรือตัวภาพยนตร์โดยเฉพาะ มันมาจากแนวความคิดที่เรามีในห้องประชุมเท่านั้น อิงจากสิ่งที่เราคิดว่าคงเจ๋งดีถ้าได้เห็น” แต่สไนเดอร์ยอมรับว่าเขาได้สร้างฉากคาราวะต่อนิยายภาพ The Dark Knight Returns ในหนังเรื่องนี้เยอะมาก “แต่เนื้อเรื่องของมันไม่ได้เป็นเนื้อเรื่องของหนัง

2. ในเชิงภูมิศาสตร์ เมืองก็อทแธมกับเมโทรโพลิส เป็นเมืองพี่เมืองน้องที่อยู่ใกล้ชิดกัน “เหมือนกับโอ๊กแลนด์กับซานฟรานซิสโก” สไนเดอร์บอก ซึ่งทำให้ความสูญเสียของบรูซ เวย์น มีความเป็นไปได้มากขึ้นเมื่อเกิดหายนะในเมโทรโพลิส ส่วนความแตกต่างระหว่างสองเมืองก็คือเมโทรโพลิสเป็นเมืองที่ประสบความสำเร็จและมีอำนาจกว่า ขณะที่ก็อทแธมเป็นเมืองของผู้ยากไร้และผู้ถูกกดขี่ “มันมีความคิดฉลาดๆ ในหนังเรื่องนี้ เกี่ยวกับความร่ำรวยและอำนาจ และอำนาจก่อให้เกิดความกลัวได้ยังไง มันฉลาดจนทำให้ผมยิ่งภูมิใจที่ได้มีส่วนกับหนังเรื่องนี้” เบน แอฟเฟล็คบอก

3. เจเรมี ไอร์ออน บอกว่าอัลเฟร็ดในฉบับของเขาแตกต่างจากฉบับไมเคิล เคน และ “ยังมีสิ่งน่าแปลกใจอุบเอาไว้

4. แกล กาโดท์ พูดถึงการสวมบท Wonder Woman ว่า “ฉันได้รับโอกาสสำคัญอย่างมากในการได้แสดงด้านที่เข้มแข็งและสวยงามของผู้หญิง” และพูดถึงสาวน้อยมหัศจรรย์ในฉบับของเธอว่า “น่ารัก ซับซ้อน และมีความฉลาดทางอารมณ์อย่างสูง

5. เบน แอฟเฟล็คเล่าว่าไปเจอคริสเตียน เบล ในร้านขายหนังสือตอนเขาไปซื้อหนังสือการ์ตูนแบทแมนอ่าน เบลให้คำแนะนำแก่เขาว่า “ให้แน่ใจว่าชุดที่ใส่ฉี่ได้

6. เบน แอฟเฟล็คบอกว่าทีแรกลังเลที่จะรับบทเป็นแบทแมนตอนที่สไนเดอร์มาทาบทาม แต่สไนเดอร์โน้มน้าวสำเร็จโดยบอกว่า เป็นแบทแมนฉบับที่ล้าแล้ว “เขาแก่กว่าฉบับอื่น เขาอยู่ในช่วงโรยราย” ซึ่งนั่นเหมาะกับตัวเขา

7. ตัวละครของฮอลลี่ ฮันเตอร์ ถูกเขียนขึ้นมาใหม่เพื่อใช้เป็นตัวละครในหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ เธอรับบทเป็นนักการเมืองหญิงที่เป็นพันธมิตรกับเล็กซ์ ลูธอร์ และเป็นปรปักษ์กับซูเปอร์แมน

8. เจสซี ไอเซนเบิร์ก บอกว่าเล็กซ์ ลูธอร์ ในฉบับของเขา “มีมูลเหตุทางอารมณ์” มากกว่าฉบับก่อนๆ และดูเปิ่นน้อยลง

9. ชุดเกราะ หรือ mech suit ที่มนุษย์ค้างคาวสวมในหนังตอนที่สู้กับซูเปอร์แมน ไม่ได้ช่วยเพิ่มพลังให้แบทแมน เพียงแต่ช่วยป้องกันการโจมตีจากซูเปอร์แมน

หนังยังได้ปล่อยตัวอย่างใหม่ออกมาอีกฉบับครับ เป็นฉบับสำหรับฉายโรงซึ่งมีฟุตเตจเหมือนกับฉบับคอมมิคคอนทุกอย่าง จะต่างก็แต่ตัดต่อใหม่ให้สั้นลงเหลือ 2 นาทีกว่าๆ และเน้นฉากแอ็คชั่น พร้อมกับคลิปการนำเสนอภาพยนตร์ในงานคอมมิคคอน ชมคลิปได้ที่ด้านใน

ที่มา: Collider / EW

 

35 comments

    • หนังเรื่องไรครับ ถ้า Ant-Man มันเอามาเทียบกันไม่ได้หรอก คนละสเกล คนละแนวทางเลย

      หรือถ้าจะหมายถึงเรื่องอื่นๆ ที่จะตามมา รอดูตัวอย่างก่อนมั้ยครับ?

      • จะชอบทั้งคู่ไม่ได้เหรอครับ ผมแฟนมาร์เวล แต่ผมก็ดูของ DC ทุกเรื่อง ตัวอย่าง BvS ออกมาดีผมก็ตื่นเต้น ชมว่ามันอีพิคมาก นับวันรอเลย

    • ไม่เห็ยด้วยนะ ถ้าจะเอา Ant-man เทียบกับ BvS สเกลหนังต่างกันเยอะมาก

      ถ้าเอาจริง ต้องเอา Ant-man เทียบกับ Atom ด้วยซ้ำ เพราะ สกิลคล้ายๆกัน แต่รายหลังไม่รู้เขาจะเอามาทำหนังไหมนะครับ

    • ลองคิดดูถึงสัจธรรมที่ว่า “ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า” ดู คนจะเริ่มเบื่อสไตส์หนังใสๆแบบมาร์เวล
      แต่ในอนาคต คนดูก็ “อาจจะ” เริ่มเบื่อสไตส์แอ็คชั่นทำลายล้างโลกถล่มแบบหนังของเฮียแซ็ค สไนเดอร์ เหมือนกันนั่นแหละครับ …สิ่งที่สวยงามไม่ได้งามเพราะมันอยู่ยืนยาว

  1. คือจะบอกว่าหนังอีกค่ายดีกว่าแล้วก็ไม่เชิงครับยังไงก็ต้องรอดู แต่ปีหน้าก็เป็นปีที่น่าสนใจนะในความคิดผม

    – สำหรับ DC นั้นทั้ง 2 เรื่องของ DC เปิดตัวได้น่าประทับใจมาก(เชื่อเลยว่าหลายคนคงดูตัวอย่างทั้งสองเรื่องเกิน 5 รอบเป็นอย่างต่ำ) แต่ก็ต้องดูหนังตัวเต็มอีกทีว่าแนวทางของหนังจะเป็นไปในทางไหน คุณภาพของหนังจะเป็นอย่างไร เมื่อเน้นไปทางมืดหม่น เนื้อหา อารมณ์จะไปได้เต็มที่ไหม ถ้าทั้งสองเรื่องได้ตามที่ต้องการจะสื่อหรือตามที่ผู้คนหวังไว้ ก็พลุแตกครับสำหรับค่ายนี้ แต่ถ้าไม่อาจจะกระเทือนกับหนังเรื่องต่อๆไปของเค้าเองด้วย จะหมู่หรือจ่าก็ต้องวัดกันที่จุดเริ่มต้นในเริ่มเส้นทาง DCCU ของเค้า(ผมยังไม่นับ Man of Steel ที่ค่อนข้างสร้างมาเป็น Standalone นะครับ)

    – ส่วน Marvel ในปีหน้าผมก็จะรอดู Civil War ว่าจะยังพีคอยู่ไหมและพีคได้แค่ไหน ค่อนข้างจะวัดใจเลยว่าจะยังเป็นขาขึ้นของเค้าอยู่หรือว่ากำลังจะเป็นขาลงของเค้า เพราะผมคิดว่าคนเรื่มจะอิ่มตัวกับหนังของ Marvel แล้ว ไม่ค่อยมีความกระตือลือล้นหรือติ่นเต้นอยากดูเหมือนก่อนนี้ แล้วถ้า Civil War ทำออกมาไม่ได้น่าประทับใจหรือต่ำกว่ามาตรฐานที่เคยทำไว้(สำหรับผมใช้ Cap2 เป็นเกณฑ์เลยเพราะคู่พี่น้องกำกับเหมือนกัน) คิดว่าคนอาจจะเริ่มหน่ายและหมดหวังกันจนจะทำให้กลายเป็นหนังที่ดูฆ่าเวลาเท่านั้น ส่วน Dr.Stranger นั้นก็ฉายในปลายปีเดียวกันก็จะอยู่หรือไปก็อาจจะขึ้นจากตรงนั้นด้วย(แต่คิดว่ายังไงในส่วยรายได้ก็ฉลุยอยู่ดีกระทบจะอยู่ที่ได้มากหรือน้อยแค่นั้น)

    – มาถึง Fox ที่ปีหน้ามีหนังถึง 3 เรื่อง ต้นปี กลางปี ปลายปีเลยทีเดียว แม้หนังฮีโร่ฟอร์มใหญ่ที่สุดจากค่ายนี้อย่าง X-Men : Apocalypes นั้นกระแสอาจจะสู้หนังของ 2 ค่ายใหญ่ไม่ได้ แต่จากที่ฟอร์มดีมากตั้งแต่รีบู๊ทมารวมถึงแฟนหนังเรื่องนี้ก็มีเยอะอยู่แล้วก็คงไม่มีใครพลาดที่จะดูแน่นอน(และอาจจะเป็นเรื่องสุดท้ายของดาราหลักชุดนี้ในหนัง X-Men ผมเสียดายมาก….) อีกทั้ง Fox นั้นเริ่มกล้าที่จะทำหนังเดี่ยวจากตัวละครมากขึ้นเถียงไม่ได้เลยว่าคงไม่พ้นกระแสที่ตอบรับอย่างดีจาก footage ของ Deadpool ที่หลุดมาบนอินเตอร์เน็ตจนทำให้ Fox กล้าที่จะเสี่ยงมากขึ้น แถมพ่วง Gambit หลุดออกมาอีกเรื่อง(ทั้ง Deadpool และ Gambit โดนดองมานานทั้งคู่) และพยายามขยายจักรวาล X-Men ให้ใหญ่มากขึ้น ในปีหน้าก็น่าสนใจเหมือนกันว่าผลลัพธ์ของการลงทุนนี้จะออกมาอย่างไร(ในแง่รายได้เป็นหลัก)ซึ่งจะดีหรือไม่ดีจะพูดว่ามีอนาคตโปรเจ็คหนัง X-men เรื่องอื่นๆเป็นเดิมพันก็คงไม่ผิดนัก ถ้าหนังทำรายได้ได้ดีทั้ง 3 เรื่อง เราคงได้เห็นหนังเดี่ยวตัวละครอื่นหรือทีมอื่นของ X-Men ลงจอเงินแน่นอน(ผมภาวนามากอยากเห็น X-Force 55+)

  2. เจเรมี ไอร์ออน บอกว่าอัลเฟร็ดในฉบับของเขาแตกต่างจากฉบับไมเคิล เคน และ “ยังมีสิ่งน่าแปลกใจอุบเอาไว้”

    ที่คิดว่าอาจจะเป็น
    1. เขาอาจเป็นพ่อที่แท้จริงของบรูซเวน (ในคอมมิค มีการตั้งข้อสงสัยแต่ไม่มีข้อสรุป)
    2. พี่แกเป็นมาเฟียเก่า น่าจะทำงานด้านสกปรกของตระกูลบรูซเวน ดูหน้าแกสิ ให้ซะขนาดน้ัน (มโนล้วนๆ)
    3. อาจมีต่อยกับพี่ซุป (ในคอมมิก รู้สึกจะอยู่ในจักรวาล Whatif)

  3. หวังว่า งาน D23 ของดิสนี่ย วันที่ 14-15 สิงหา Marvel จะเอาเรื่องราวดีๆและความคืบหน้าของ Civil War มาอวด..โทนหนังคงคล้าย Cap2..เย่ๆ..น่าสนุก

    รอชมโคตรๆ…

  4. ตามเรื่อง คุยถึงหนังเรื่องนึง
    แต่ไหง ความเห็นถึงคุยไปถึงอีกค่ายได้ล่ะเนี่ย

  5. ส่วนตัวผม ดูหมดครับ เป็นยุคที่มีความสุขมากๆ คนรุ่นๆเดียวกันโตมากับการ์ตูนซุเปอร์ฮีโร่ แล้วมาเป็นผู้สร้าง มาเป็นกลุ่มคนดูที่เป็นกลุ่มตลาดหลัก มันจึงกลายเป็นยุคของหนังซุเปอร์ฮีโร่ไงล่ะ แล้วก็สร้างกันออกมาแบบตั้งใจมากๆ คุ้มค่าทุกค่ายล่ะครับ ส่วนมันจะขาลงเมื่อไหร่ก็ปล่อยมันครับมันมีวัฏจักรอยู่แล้ว

  6. ชุดเกราะไม่ได้เป็น Power Suit หรอกเหรอ ใส่จริงจะขยับไหวมั้ยเนี่ย
    แล้วคริปโตไนท์เห็นทุกครั้งมาเป็นก้อนๆ แบทแมนน่าเอาไปทำหัวกระสุนยิงซุปเปอร์แมน

  7. จริงๆไม่ค่อยอยากให้เอาไปเปรียบกับหนังอีกค่ายหรอกครับ เพราะทั้งสองค่ายทำออกมาเราก็ดูหมดแหละ 555

    หนังมาร์เวล เหมือนว่าวที่ติดลมแล้วครับ คนเริ่มเบื่อ แต่ทำออกมายังไงก็ดู เพราะมันเป็นหนังที่ “ต้องดู” ไปแล้ว

    ส่วนดีซี เพิ่งเริ่มต้นก็ต้องหาจุดเด่น หาอะไรเจ๋งๆมาดึงดูดความสนใจกันหน่อยครับ ลองนึกไปถึงตอนหนังมาร์เวลทำออกมาแรกๆสิ เราก็ตื่นตาตื่นใจกันใช่ไหมล่ะ อารมณ์เดียวกันครับ หนังดีซีถ้าทำออกมาเยอะๆ ทำออกมาอีกหลายๆเรื่องหลายๆปี เราก็เบื่อเหมือนกันล่ะ ตอนนั้นค่ายใหม่ๆจะมาเจาะตลาดก็ต้องหาจุดขายออกมาดึงดูดความสนใจจากเราๆเหมือนกันนั่นแล

  8. ตัวผมไม่ใช่แฟนบอยของมาร์เวลหรือดีซี แต่เป็นแฟนบอยคอมิคครับ ผมชอบหนังของทั้งสองค่าย จริงๆผมมองว่าหนังของทั้งสองค่ายเป็นหนังแนวเดียวกัน คือหนังซุปเปอร์ฮีโร่ แค่อยู่คนละค่ายไม่ได้หมายความว่าหนังจะเป็นคนละแนวกันเลย มีอะไรต่างกัน สร้างจากหนังสือการ์ตูนเหมือนกัน โปรโมทก็เหมือนกัน ต่างกันตรงไหน?

    ส่วนตัวผมสนใจ BVS กับ Civil War มากเป็นพิเศษ ยิ่งสองเรื่องนี้ฉายไล่เลี่ยกันผมยิ่งกรี๊ดเลย ใน BVS จะได้เห็นการทีมอัพครั้งแรกของ DCCU ส่วน Civil War เป็นมุมซีเรียสการเมืองของ MCU ที่ติดใจมาตั้งแต่ภาคที่แล้ว ….กำไรทั้งแฟนบอย ทั้งคนสร้างหนังทั้งนั้นครับ พวกติ่งน่ะดิ้นไปเถอะ ไม่ได้มีผลอะไรกับโครงสร้างการสร้างภาพยนต์ของทั้งสองค่ายหรอก

  9. นั่นสิครับ ไม่อยากให้เอาไปมองเปรียบเทียบอะไรกันนะครับ ถ้าจะมองให้มองที่ตัวหนังเท่านั้นพอ ยังไงผมก็ดูทั้งสองค่ายอยู่แล้ว

  10. ขออนุญาต edit บางความเห็นนะครับ
    อยากให้แย้งกันด้วยเหตุผลไปที่ตัวหนังหรือผู้สร้าง
    ไม่ใช่ที่ตัวผู้โพสต์
    และการที่ใครบอกว่าชอบหนัง A มากกว่า B ก็เป็นความเห็นธรรมดาทั่วไป เราสามารถเห็นแย้งได้โดยบอกว่าชอบเท่ากัน หรือชอบดูทุกแนว หรือชอบ B มากกว่า A
    การเปรียบเทียบเป็นแง่มุมหนึ่งในการวิจารณ์ทั่วๆ ไป เราเพียงต้องมองว่าเหตุผลนั้นน่าเชื่อถือ และสุภาพ หรือไม่

    • จริง ๆ ไอ้เรื่องแฟนบอยข่มกันเนี่ยมันปกตินะ แต่ไอ้ที่ไม่ปกติคือแฟนบอยบางคนนี่รู้สึกซีเรียสกับการข่มหรือถูกข่มเหลือเกิน เมื่อเช้าโพสในพันทิบเรื่องมนุษย์มดแบบเดียวกับที่พูดในนี้นั่นแหละ ดันเจอบรรดาแฟนฮาร์ดคอร์ยัดเยียดให้ผมเป็นแฟนบอยอีกค่ายซะแล้ว

      เราอยู่ในโลกที่ไม่มีใครมาห้ามไม่ให้เราชอบทั้งสองอย่างได้ครับ ถ้าหนังมันดี เงินเราถึงซะอย่างจะดูกี่เรื่องก็ได้ทั้งนั้น

      • เคยเจอคนที่เอาสิ่งที่เราเขียนไปตีความอีกอย่างเหมือนกัน เฮ้อ…

    • ผมไม่ใช่แฟนค่ายใดค่ายหนึ่ง แต่เอาจริงๆทางฝั่ง DC ก็ยังไม่มีอะไรรับประกันเลยว่าบทจะดีกว่า เพราะหนังยังไม่มาฉายสักเรื่อง อย่าไปเอา Batman ของโนแลนมาพูดถึงเลยครับ เพราะไตรภาคนั้นมันจบแล้วและมันก็เป็นหนังเดี่ยวๆของมันเอง ถ้าจะดูต้องดูเส้นทางของ DCCU ที่กำลังจะเริ่มเกิดจริงจังในปีหน้ามากกว่าครับ หลายคนก็คงรอแหละว่า DC จะทำได้ดีเพียงใดก็ต้องรอดูกันครับ

      • ความหมายในที่นี้คือ หนังมาเวลมันส์ดี แต่หนัง DC มันหม่นกว่า ผมก็แค่ดูหนังไม่ใช่พวกติ่งทั้งสองฝ่าย

      • ผมก็ไม่ได้หมายความอะไรมากหรอกครับแค่หมายถึง หนังมันยังไม่มาเลยยังตัดสินอะไรไม่ได้ดอก เรายังไม่รู้เลยว่า dc จะทำหม่นจริงไหม หรืออาจจะสับขาหลอกเราอยู่ก็ได้ (อาจจะมาแนวโลกสวยสดใสด้วยมือเราก็ได้ 555+) ส่วนมาร์เวลก็เห็นๆทิศทางเค้าอยู่ คนดูหนังอย่างเราๆก็รอดูฟินๆไปครับผลประโยชน์ก็มาตกที่เราล้วนๆ ^^

      • จากที่อ่านความเห็นของคุณ ตีความได้ชัดเจนเลยว่าคุณคิดว่าหนังดาร์คกว่า = บทดีกว่า

        มันจำเป็นมั้ย?? หนังเน้นฮาบทมันจะดีไม่ได้หรือยังไง? หนังดาร์คบทมันจะเน่าไม่ได้หรือยังไง?

    • ถ้า DC จะทำ Justice League แบบมืดๆหม่นๆล่ะก็ ไม่เวิร์คแน่ครับ
      แฟนบอยส่วนใหญ่ต้องการเห็นเหล่าฮีโร่ที่สุดท้ายกลับมารวมทีมกันได้ นั่นแหละ
      มันเป็นเรื่องของทีมเวิร์ค และผมเชื่อว่าเฮียแซ็คจะสามารถให้คนดูตรงส่วนนี้ได้
      ซุปเปอร์ฮีโร่คือแสงแห่งความหวังที่ไม่มีวันตาย มันไม่มีทางดาร์กได้ตลอด
      อย่าง The Dark Knight Rises ก็จบลงด้วยความหวัง และอุดมคติเก่าแก่
      ทั้งๆที่ใน The Dark Knight โนแลนเพิ่งจะเล่นเรื่องเส้นศีลธรรมความดีความเลว
      อยู่เลย …มันเป็นบริบทที่ต้องเป็นไปอ่ะครับ

      (จริงๆผมลองเอามาเทียบกัน จะว่าหนัง DC มีแต่หนังบทดีๆ ก็เกินไปครับ
      ตัวอย่างจาก Green Lantern พิสูจน์แล้วว่า DC เองก็เคยมีครั้งพลาดพลั้งมาแล้ว
      หรือถ้าจะบอกว่า มาร์เวลมีแต่หนังเบาสมอง ต้องลองให้ชม Winter Soldier ดูซะแล้ว
      นี่แหละเป็นมุมหม่น จริงจัง เคล้ากลิ่นทริลเลอร์การเมือง ในสไตส์มาร์เวล)

    • ผมไม่รู้นะครับว่าส่วนไหนที่บอกว่าบทดีหรือบทไม่ดี นับจากรางวัลที่ได้? บทมีความสมจริง สมเหตุสมผล?
      ผมว่าคุณมองผิดละครับ ถ้าคุณมองว่าหนังชุดไตรภาคนั้นคือสิ่งที่หนังฮีโร่ทุกเรื่องจะต้องเป็นโลกที่สมจริงถึงจะเรียกว่าหนังซุปเปอร์ฮีโร่หรอครับ ผมนี่แฟนหนังสองค่ายละครับ อาจจะเอนไปทางมาร์เวลมากกว่า ก็ยังตื่นเต้นกับหนังของอีกค่ายด้วย ถ้าเจ้าของค่ายมาเห็นโพสนี้เค้าคงดีใจละครับฮาๆที่มีคนเถียงกันแทนเค้าสำหรับผมเห็นตัวอย่างมาละครับตั้งแต่แบทแมนภาคสอง เด็กไปดูเรื่องนี้คือแบบว่าออกจากโรงมาบอกไม่สนุกเลย เพราะหนังแต่ละแนวก็ไม่เหมือนกันสำหรับกลุ่มคนดูครับ

      DC หนังเฉพาะ
      Marvel หนังจับกลุ่มทุกวัย

      นี่คือสิ่งที่ผมคิด

      • แต่ผมเห็นว่าส่วนใหญ่เด็ก ๆ เขาก็ไม่ตีตั๋วเข้าไปดูเองมากเท่าไหร่อยู่แล้วนะ แล้วถ้าเด็กโตขึ้นมาจนตีตั๋วดูหนังได้เองส่วนใหญ่เขาก็ดูกันหมดทุกแนวนั่นแหละ

  11. ได้ดูอะไรที่มันหม่นๆ จริงจังบ้างก็ดีครับ ดูหนังค่ายมาเวลมาเยอะจนเริ่มเอียนละ ไม่ได้อารมณ์เหมือนตอนดู Iron man ภาคแรกเลย ยิ่งดูยิ่งไม่มีอะไรน่าจดจำ มีกัปตันอเมริกาภาค 2 ค่อยยังชั่วหน่อย แต่เรื่องรองสุดท้ายของค่ายมาเวลที่ฉายตอนนี้นี่สิ เอิ่มมมม…ไม่ไหวช่วงแรกเกือบหลับละ

Leave a Reply to RyouheiCancel reply