ข้ามไปยังเนื้อหา

เฮนรี่ คาวิลล์ บอกว่า Batman v Superman ไม่ใช่ภาคต่อ Man of Steel

เฮนรี่ คาวิลล์ กับ อาร์มี่ แฮมเมอร์ ได้จูงกันไปร่วมงานการนำเสนอหนังในเครือของวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ในงาน CinemaCon ที่ลาส เวกัส เมื่อวานนี้ครับ ซึ่งทั้งคู่มีหนัง The Man from U.N.C.L.E. ที่กำลังจะออกฉายในปีนี้ และคาวิลล์ต้องตอบคำถามเรื่อง Batman v Superman: Dawn of Justice ด้วย

มีคำถามน่าสนใจข้อหนึ่งที่เอ็มทีวีถามคาวิลล์ระหว่างไปร่วมงานนี้ก็คือ Batman v Superman: Dawn of Justice ถือเป็นภาคต่อของ Man of Steel ที่บังเอิญว่ามีแบทแมนอยู่ในหนังด้วยหรือไม่ คาวิลล์ไม่คิดเช่นนั้น “นี่เป็นหนังแบทแมนปะทะซูเปอร์แมน เป็นเรื่องของสองตัวละครคนละตัวมาเจอกัน มันเป็นการแนะนำตัวละครแบทแมนและขยายจักรวาลนี้ออกไปที่เริ่มตั้งต้นโดย Man of Steel

มาร์เวล สตูดิโอ น่าจะเป็นเจ้าแรกที่ขยายจักรวาลและบอกเราว่าจักรวาลในหนังยิ่งใหญ่กว่ามากตั้งแต่ในฉากท้ายเครดิตของ Iron Man แต่มาร์เวลเลือกแนะนำตัวละครที่ละตัวก่อนที่จะให้มาเจอกันจริงๆ ใน Avengers ขณะที่ดีซีเลือกแนะนำซูเปอร์แมนก่อน ให้หนัง Man of Steel ช่วยวางโลกแห่งนี้ให้ผู้ชมรู้จักก่อนที่จะแนะนำตัวละครซูเปอร์ฮีโร่อื่นๆ ในมาเป็นตัวละครร่วมหรือสมทบ แล้วค่อยแยกกันไปมีหนังของตัวเอง และจากคำพูดของคาวิลล์อีกเช่นกันที่บอกด้วยว่า Batman v Superman: Dawn of Justice เป็นอารัมภบทของ Justice League ครับ “ทุกอย่างอาจเปลี่ยนแปลงได้ในห้องตัดต่อ แต่จากที่มันเป็น มันเป็นการแนะนำตัวละครนี้ และสุดท้ายแล้วก็คือการนำเข้าสู่ Justice League ครับ

Batman v Superman: Dawn of Justice จะออกฉายมีนาคม 2016 ส่วน Justice League: Part One จะออกฉายพฤศจิกายน 2017 ครับ ทั้งสองเรื่องกำกับโดยแซ็ค สไนเดอร์

batman v superman cap02

1 ความเห็น »

  1. สรุปตามที่ผมเข้าใจ มันก็คือเหมือนพวก Ironman, Hulk, Thor ฯลฯ นั่นแหละ คือหนังแต่ละเรื่องไม่ได้เป็นภาคต่อของใคร แต่เป็นหนังของตัวเองที่เกิดขึ้นในจักรวาลเดียวกัน แต่มันก็คือภาคต่อละนะในทางปฏิบัติ (คล้ายๆ Flat Design ของแอปเปิ้ล กับ Material Design ของกุเกิ้ล ที่อธิบายคอนเซปท์ของตนเองต่างกัน แต่ในทางปฏิบัติจริงๆ มันก็คล้ายๆกันในแง่ความเรียบง่ายล่ะมั้ง)

  2. ทำแบย้อนกลับจากของ Mavel นั่นแหละ

    Mavel ใช้วิธีสร้างหนังแยกให้ตัวละครต่าง ๆ Ironman, Thor, Captan แล้วค่อยนำมารวมเป็น Avengers

    แต่ทางนี้ใช้วิธีแบบสร้างตัวละคร Base มา 1 ตัว (Man of steel) แล้วจากนั้นก็สร้างเรื่องต่าง ๆ ที่นำตัวละคร Base มาเจอกับตัวละครอื่น ๆ เพื่อขยายจักรวาล เสมือนได้ว่าเขาทำเป็นซีรี่ Justice League ที่ตอนแรกมีแต่ Superman ตอนถัดมาก็มีแบทแมน ตอนถัดมาอีกก็มีตัวละครอื่น ๆ ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมา แล้วสุดท้ายก็ขายตอนใหญ่ว่า Justice League มาครบแล้วร่วมภารกิจกันอะไรเทือกนั้น

    ส่วนตัวแล้วมองว่าการที่เขาขยายจักรวาลโดยการนำตัวละครหลักมารวมกันเยอะ ๆ แบบนี้นอกจากจะสิ้นเปลืองค่าตัวแล้วยังทำให้ Justice League ไม่มีความน่าสนใจอะไรเป็นพิเศษด้วย เพราะมันก็เสมือนว่าเราดูตัวละครของ Justice League ร่วมกันแสดงกันมาแทบจะทุกภาคติดต่อกันไปหมดแล้ว Justice League เองก็คงไม่มีอะไรพิเศษไปกว่านั้น และเทคนิคการแยกภาคแบบ Mavel ยังช่วยให้ผู้ชมเกิดความสนใจจากการพยายามประติดประต่อTimeline เองอีกด้วย แต่ Justice League จะไม่สามารถทำแบบนั้นได้หากใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบนี้

    สุดท้ายก็บอกอีกว่าหลังจากทำจักรวาลแบบนี้ได้แล้วค่อยสร้างภาคแยกของแต่ละตัวละคร อันนี้ยิ่งทำให้รู้สึกว่าด้อยกว่า Mavel มาก เพราะ Mavel สร้างภาคแยกให้สนุก และสร้าง Avengers เพื่อให้ยิ่งใหญ่และสนุกยิ่งกว่า

    แต่ Justice League กลับสร้างภาคใหญ่ แล้วค่อยแตกไปแยกภายหลัง ทำให้สเกลของภาคแยกดูเล็กกว่า ความน่าสนใจน้อยกว่า โดยเฉพาะหากใน Justice League ตัวละครนั้นไม่ได้รับความสนใจจะยิ่งทำให้ภาคแยกไม่มีความน่าดูไปอีกด้วย

    ส่วนตัวแล้วว่าการเดินหมากอย่างนี้มันไม่สนครเลยแฮะ

      • DC คงไม่อยากเล่าเรื่องซ้ำ เลียนแบบของ Marvel โดยมีการเล่าที่แตกต่างกันไป
        ผมว่ารอดูกันก่อนนะครัช ใจร่มๆอย่าเพิ่งตัดสินอะไรอันใด -_______-

    • จริงๆก็คงเพราะไม่อยากเดินตามมาร์เวลเป๊ะเลยกระมัง ก็เลยต้องเปลี่ยนแปลงให้ดูแตกต่าง
      แต่ถึงกระนั้น ดูยังไงๆ โปรเจคหนังรวมฮีโร่ลักษณะนี้ ก็แทบจะเดินตามรอยเท้ามาร์เวลอยู่ดีนั้นล่ะ ปฏิเสธไม่ได้เลย

      ทีนี้ก็อยู่ที่หน้าหนังแล้วว่าจะประสบความสำเร็จมั้ย
      ซึ่งการจับตัวคาร์แร็คเตอร์เด่นๆ มาปะทะกันก็ดูจะได้รับความน่าสนใจ และดูยิ่งใหญ่อยู่
      ถ้าดังเปรี้ยงขึ้นมา ภาคแยกต่อๆไปก็จะได้รับความสนใจ เก็บกินยาวได้เหมือนมาร์เวล
      แต่ถ้าไม่เปรี้ยง ภาคแยกเรื่องอื่นๆ คงต้องวางแผนงานกันหนักเลยทีนี้

      มาร์เวลผ่านความเสี่ยงตรงนั้นมาได้ยาวแล้ว
      ทั้งๆที่ดูจะเสี่ยงมากกว่า กับการจับคาร์แร็คเตอร์ที่ยังรู้จักกันน้อย(นอกอเมริกา)บนจอภาพยนตร์
      ค่อยๆมาทำความรู้จักกับคนทั่วโลกทีละนิดๆ จนประสบความสำเร็จได้ทุกวันนี้
      ทั้งที่ก่อนหน้านี้สัก10กว่าปี ลองถามสิว่ามีคนรู้จัก ธอร์ กัปตันอเมริกา ไอร่อนแมน มั้ยในไทย
      บอกเลยว่า หาได้น้อยที่จะรู้จัก ถ้าไม่ใช่แฟนคอมิคมาก่อน และทุกวันนี้หลายคนก็รู้จักตัวละครเหล่านี้จากภาพยนตร์

      แต่ถ้าถามว่า รู้จักแบทแมน ซุปเปอร์แมนมั้ย? ไม่ต้องเป็นแฟนการ์ตูนแฟนคอมิค ก็หาคนรู้จักได้เยอะแยะ แม้จะเป็น คนสูงวัย ก็ยังรู้จัก ตรงนี้ล่ะข้อได้เปรียบ
      เทียบกันแล้ว แบทแมน ซุปเปอร์แมน ดูจะมีภาษีมากกว่ากันเยอะ ในโลกภาพยนตร์
      โอกาสที่จะไปได้ยาวก็มีโอกาสสูง ความเสี่ยงน้อย
      ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ ดีซี ก็ยินยาวได้เหมือนมาร์เวลเช่นกัน อิๆ

      • ถ้าสองค่ายฟัดกันได้อย่างสูสีไปเรื่อยๆ หนังรวมฮีโร่สองฝั่งมาแน่นอน

    • +1

      แต่เหมือนผู้สร้างก็เสียวไส้กลยุทธ์ตัวเองเหมือนกันนะครับ หลังจากได้ฟีดแบ็ค ห้องตัดต่อคงจะวุ่นน่าดู

    • เห็นด้วยว่า ดูไม่น่าจะเข้าท่าเท่าไหร่กลับการมาสร้างภาคแยกทีหลัง ดูเสี่ยงไปหน่อย แต่คงจะเร็วไปถ้าจะบอกว่าDC จะทำได้ไม่เวิร์ค เพราะทรัพยากรได้เปรียบมากครับ (Superman , Batman)

    • ส่วนตัวคิดว่าในเรื่อง bat v sup จะเด่นจริงๆแค่ bat กับ sup ตามชื่อเรื่องครับ ตัวละครอื่นๆก็ใส่มาเพื่อปูสู่ภาคหลักของตัวเองกันไปครับ ซึ่งส่วนผมก็เชื่อว่าก่อนที่จะถึงหนัง JLA เค้าคงไม่เผยไต่ออกมาซะหมดหรอกครับ ตัวละครอื่นๆเค้าจะให้ดูแค่เป็นน้ำจิ้มเท่านั้นแหละครับ บทบาทก็คงอาจจะมาแย่งซีนเล็กน้อยหรือไม่ก็เล่าถึงตัวละครคร่าวๆแล้วไปเริ่มเล่าประวัติของตัวละครเต็มๆแบบ prequel ในส่วนองค์แรกของหนังตัวเองกันหรืออาจจะแบบอื่น

      ลองเปิดใจดูครับ รูปแบบความสำเร็จมันไม่ได้ตายตัวครับ การทำแบบ Marvel ดีครับไม่ได้แย้ง แต่เราก็จะตัดสินว่าทางที่ DC เลือกนั้นไม่ดีก็ยังไม่ได้ครับเพราะผลนั้นยังไม่ออกมาครับ ซึ่งผมก็มั่นใจว่าเค้าไม่ได้ทำอย่างชุ่ยๆแน่นอนครับ

      รอชมหนังปีหน้ากันดูก่อนครับ แล้วเราจะเริ่มพอรู้ทิศทางของหนังฝั่ง DC

      • **เพิ่มเติม**

        ส่วนตัวผมปีนี้ผมรอ Fantastic Four เป็นพิเศษเลยครับ ไอ้หนังที่ใครๆก็ด่าใครๆก็ดูแคลนนี่แหละครับ อาจจะเป็นม้ามืดให้คนส่วนใหญ่ได้ตาค้างกัน(รึอาจจะเป็นแบบที่ด่ากันก็ได้ 555+) ดูถูกอะไรดูถูกได้ครับ แต่ควรชมก่อนวิจารณ์ และชื่อ ผกก ก็น่าจับตามองครับ เค้าไม่ทำไรชุ่ยๆส่งๆมาให้เราๆชมกันแน่ๆครับ ผมเชื่อเหลือเกินว่ามันจะดีและสนุกกว่าที่คนส่วนใหญ่ดูแคลนกัน ยังจำ Quick Silver ของ X-Men : dofp กันได้ไหมครับ แต่ก่อนๆคนส่วนใหญ่พูดๆกันไว้ว่าอย่างไร ^^

  3. แหม่ๆ ยังไม่ทันได้ดูหนังเลย คิดเป็นตุเป็นตะละ ฟันธงกันซะละว่าหนังจะเจ็ง ระวังเงิบนะครับ

    ———-

    เป็นไอเดียในการสร้างภาคต่อๆที่น่าสนนะครับ ไม่เหมือนกับมารเวลที่ เริ่มจากฮีโรเดียวๆก่อนค่อยจับมารวมทีม แต่ ดีซี เริ่มจาก Justice League ก่อนค่อยๆแยกไปทำเนื้อเรื่องเดียวๆของฮีโรคนอื่นๆ น่าลองติดตามชม ของผมขอดูตัวอย่างหรือหนังเต็มก่อนค่อยวิจารณ์ดีกว่า กลัวหน้าแหก หิๆ

    • ให้ เดาผิด = เดาผิด ได้มั้ยครับ ไม่ต้องถึงกับเงิบ หรือหน้าแตก

      ความเห็นเชิงวิเคราะห์มีประโยชน์ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิด

      • พวกเดา กะ วิเคราะห์ก่อนหนังฉายอะ ทำได้ครับ แต่ถ้าเป็นผมจะรอชมหนังก่อนวิจารน ไม่ใช่เขาทำคนละแบบกับ marvel จะต้องเจ็งเสมอไป ในโลกนี้มันไม่มีสูตรสำเร็จเสมอไป เช่น อีกเจ้าทำแบบนั้นได้เงิน แล้วอีกเจ้าจะทำอีกแบบจะต้องเจ็ง

        สำหรับผมไม่มีความสามารถพอที่จะดูตัวอย่าง หรืออ่านบทสัมภาษแล้วจะฟันธงหรือเดาได้ว่ามันจะเจ๋ง 🙂

      • ถูกแล้วครับ เข้าใจเขา เข้าใจเรา แล้วดูกันไปเรื่อยๆ ความเห็นส่วนตัวของผู้ชมแต่ละคนไม่มีผลกระทบต่อรายได้หนังแน่นอน

        แต่การสื่อสารครั้งนี้เห็นชัดว่าทีมงานมีจุดยืน แต่ยังไม่แน่ใจ ดังนั้นความเห็นเชิงวิเคราะห์ที่ให้แง่คิดทั้งหมด จะวกกลับไปเป็นประโยชน์แก่ทีมงานเอง นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ และแฟนหนังอาจพอช่วยได้

  4. น่าจะคล้ายๆ black widow นะ ตอนแรกแค่ตัวประกอบใน iron man 2
    ตอนนี้จะกลายเป็นนางเอกแล้ว
    ถ้าตัวละครโดนใจ ก็ออกมาเรื่อยๆ แล้วมีภาคแยกของตัวเอง
    แต่ถ้าไม่โดน ก็จบเห่เหมือนกัน

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.