ผมว่าภาพประชาสัมพันธ์แรกก็เหมือนความประทับใจแรก ถ้าภาพแรกที่ปล่อยออกมาไม่โดน โดยเฉพาะหนังที่ผู้ชมรอคอยอยู่ว่าหน้าตาของมันจะเป็นยังไง ก็จะยิ่งทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกตื่นเต้นที่จะชม และนิตยสารเอ็นเตอร์เทนเมนท์วีคลี่ ก็นำภาพแรกจากหนัง Terminator: Genisys มาขึ้นปกครับ มีไจ คอร์ทนี่ (Divergent) ในบทของไคย์ล รีส และ เอมิเลีย คลาร์ก (Game of Thrones) ในบทของแซร่าห์ คอนเนอร์ กับอีกปกที่มีเจสัน คลาร์ก (Dawn of the Planet of the Apes) รับบทเป็นจอห์น คอนเนอร์ และแมท สมิธ (Doctor Who) รับบทเป็นเพื่อนคู่หู ซึ่งยังไม่ได้สร้างความประทับใจแรกให้แก่ผม
ในแง่ของเรื่องราว อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ กลับมารับบทเป็นคนเหล็ก T-800 อีกครั้ง ซึ่งในรายงานบอกว่าชวาร์เซเน็กเกอร์ได้สวมเสื้อหนังสีดำตัวเก่ง ขณะที่ใบหน้าต้องถูกฉาบด้วยลาเท็กซ์สีเขียว (แปลว่าต้องมีการยกหน้าใหม่ให้หนุ่มด้วยคอมพิวเตอร์กราฟฟิก) และทำสิ่งเดียวกับที่เขาทำในหนังคนเหล็กภาค Terminator 2: Judgment Day ก็คือเพื่อปกป้อง
ต้นเรื่องของ Terminator: Genisys จะเหมือนกับ Terminator ภาคแรก จะมีฉากเป็นโลกอนาคตปี 2029 ที่มนุษย์ทำสงครามกับจักรกลชั่วร้ายภายใต้การบงการของสกายเน็ต จอห์น คอนเนอร์ เป็นหัวหน้ากลุ่มต่อต้าน โดยมีไคย์ล รีส เป็นคนสนิทคู่ใจ แล้วคอนเนอร์ก็ส่งรีสมายังโลกอดีตเพื่อมาปกป้องแม่ของเขา แซร่าห์ คอนเนอร์ เพื่อให้พ้นเงื้อมือจากคนเหล็กที่ถูกส่งมาจากอนาคตให้ฆ่าเธอ เพื่อไม่ให้จอห์นได้เกิดมา แต่แล้วก็เกิดเรือ่งหักมุมอย่างที่ไม่คาดคิดเมื่อรีสมายังอดีต
(อ่านต่อด้านใน)
เรื่องหักมุมที่ว่าอย่างแรกก็คือแซร่าห์ คอนเนอร์ ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างที่ลินดา แฮมิลตัน เคยรับบท หรือเป็นนักรบแกร่งอย่างใน T2 แต่เธอเป็นเด็กกำพร้า เพราะคนเหล็กที่ถูกส่งมาฆ่าพ่อแม่ของเธอตั้งแต่ 9 ขวบ และเธอได้รับการเลี้ยงดูจากคนเหล็ก T-800 ที่แก่ขึ้นซึ่งรับบทโดยชวาร์เซเน็กเกอร์ ผู้ที่เธอเรียกว่า “พ่อ” และถูกโปรแกรมให้เฝ้าพิทักษ์เธอ แต่ไม่ใช่ฆ่า ทำให้แซร่าห์เป็นสาวขบถแหกคอกสังคม ผู้ที่เก่งกาจด้านแม่นปืน แต่ไม่ค่อยมีทักษะด้านอารมณ์ของมนุษย์ “ตั้งแต่เธอ 9 ขวบ เธอได้รับการบอกกล่าวทุกอย่างว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่แซร่าห์ปฏิเสธชะตาลิขิตนั้น นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากทำ การตัดสินใจของเธอที่บังคับทิศทางให้เรื่องราวไปในทางที่แตกต่างมาก” ผู้อำนวยการสร้างเดวิด เอลลิสันเล่า
ในแง่ทิศทางของงานสร้าง ผู้สร้างหนังชุดนี้ที่ประกอบด้วยผู้อำนวยการสร้างเดวิด เอลลิสัน กับ ดานา โกลด์เบิร์ก และผู้กำกับอลัน เทย์เลอร์ (Thor: The Dark World) พยายามใช้สูตรเดียวกับที่เจมส์ คาเมรอน ใช้จนประสบความสำเร็จใน Terminator และ Terminator 2: Judgment Day และจะไม่พยายามเปลี่ยนสูตรแบบที่ Terminator: Slavation ทำ นั่นก็คือจะแนะนำให้ผู้ชมได้รู้จักกับตัวละครหญิงเหล็กที่เป็นตัวเอกของเรื่อง มีเรื่องราวความรักเศร้าสะเทือนอารมณ์ มีผู้เล่นหรือพระเอกที่เท่สุดยอด ในฉากหลังของสงครามนิวเคลียร์ ซึ่งสูตรนี้ทำให้ชวาร์เซเน็กเกอร์ต้องกลับมารับบทใหญ่และสำคัญ มีตัวละครใหม่ที่จะทำให้เหล่าสาวกหนังต้องตื่นเต้น พร้อมกับเรื่องราวหักมุม (ซึ่งคงมีมากกว่าหนึ่ง) และเทคนิคพิเศษสุดล้ำ
“มันเหมือนกลับการออกเดินสายแสดงคอนเสิร์ตอีกครั้ง ถ้าคุณเป็น Pink Floyd แฟนๆ ย่อมอยากฟังเพลงเก่าๆ บ้าง ในหนังมีฉากที่ชวนให้นึกถึงภาคเก่าๆ มากพอที่ผู้คนจะรู้สึกพอใจ” แม็ท สมิธ ผู้รับบทเป็นตัวละครใหม่ บอกในบทความ
แฟนๆ จะพอใจไหม คงต้องรอติดตามชมกรกฎาคม 2015 ครับ
เป็นงานที่ผมหวั่นๆ จริงๆ ของเก่าภาค 1-2 มันขึ้นหิ้งจนไม่น่าจะรีบู๊ทเลย
ใจจริงอยากดูเรื่องราวเดิมต่อให้มันจบซะก่อนจริงๆ
เหมือนหนัง “เกรดบี” เลยจริงๆ เท่าที่ผมดู นี่มันเป็นใบปิดที่น่าผิดหวังมากๆ สำหรับหนังภาคต่อที่ ตัวผมเอง เกิดปี 2527 โตมากับหนัง T1-T2 ตั้งแต่เด็กๆ ได้ดูตั้งแต่รุ่นวีดีโอซูม , วีดีโอ master , บิ๊กซีนีม่า , VCD , DVD และจนยุคปัจจุบันมี Full HD ก็ดูมาหมดหลายรอบมากๆ (ที่อธิบายเพราะอยากให้รู้ว่าชอบจริงๆ) ไม่มีกลิ่นอายของความเป็น หนังคนเหล็ก 2029 แต่กลายเป็น หนังสำหรับคนรุ่นใหม่ เนื้อเรื่องแบบใหม่ เริ่มกันใหม่หมด ไม่จบไม่สิ้น
ก็ไม่รู้สินะ ในโลกของหนัง ผมถูกปลูกฝังไว้ว่า Skynet พวกนี้มันโหดสัสๆ ถึงกับมนุษย์ ใกล้สูญพันธ์ ก็จินตนาการไปต่างๆนาๆ เพราะเทคนิคสมัยนั้นก็ยังถ่ายทอดอะไรออกมาไม่ได้มากเท่านี้ จนปัจจุบัน ได้ดูภาค 4 ก็พบว่า มนุษย์ ยังมีอีกมาก ยังต่อสู้ได้ ต่อต้านไหวแล้วจะเป็นยังไงต่อ?? และจนวันนี้ มันจะปี 2015 แล้วยังไม่รู้จุดจบของเรื่องเลย
พวกทำยังกะหนัง Nighmare at the elm street หรือ Friday 13th ดูกี่ภาคๆ ก็ไม่ตายห่าไปซะที หลอกหลอนกันมาตั้งแต่ ยุค 70 หรือ แม้จะยุค 2000 แล้วมันก็จับมารวมกันซะงั้น (สุดท้ายผมก็ดู)
ได้รับบทเรียนจากภาค 3 ที่เลอะเทอะแบบไม่ควรจะมี แต่ทำออกมาเพราะหนังมันขายได้เงิน
ส่วนภาค 4 ทำออกมาดีจน คหสต. นับเป็นการเริ่มต้นหนังเฟรนไชส์นี้ ในยุคใหม่ แต่แล้ว ภาคต่อไป กลับทำรีบูท กันซะอย่างงั้น…ช่างเหยียบย่ำจิตใจของแฟนหนังยุคเก่า เหลือเกิน
มันน่าจะทำให้เรื่องนี้ จบลงก่อน และอีก 5 ปีค่อย รีบูท ก็คงจะไม่นานเกินไปหรอกนะ
แต่อย่างไรก็ตาม “ผมก็จะไปดู”
ไหงกลับไปรีบูทภาคต้นได้หละครับนี่ จะทำให้ประทับใจได้อย่าง 2 ภาคแรกหรือเปล่าอันนี้ยิ่งน่าหวั่น และโแมแรกบนหน้าปกก็ไม่โดนจริง ๆ นั่นแหละครับ
เมื่อยังดันทุรังสร้างภาคต่อและไม่ใช่คาเมรอนสร้าง หนังต้องมีเทคนิคพิเศษสุดล้ำจริงๆถึงจะเรียกผู้ชมได้อีก เพราะเนื้อเรื่องมันไปสุดกู่และไม่ใช่ประเด็นที่ผู้ชมอยากรู้อีกแล้ว..แอบเอาใจช่วย Emilia Clarke, Mother of Dragons ให้ได้เกิดในเรื่องนี้
รีบู้ทไม่ว่า แต่….ถ้าจะทำใหม่แล้วเอาอาร์โนลกลับมาทำไม มันดูขัดๆพิลึก ถ้าคิดว่าเค้าเป็นตัวแรกผู้ชมก้อไม่น่ารีบู้ทนะ ทำภาคต่อไปเลย เพิ่งเคยเห็น รีบู้ทแต่นักแสดงคนเดิม – –
คาลีซี ใส่เสื้อหนัง ขี่มอ’ไซค์ด้วย ^_^
เท่าที่อ่านมามันเหมือนจักรวาลคู่ขนาน ไม่สิ ต้องบอกว่าจักรวาลมั่วซั่วไปหมดเลย อันที่จริงภาคนี้เอาทีมนักแสดงจาก salvation มาต่อยังได้เลยนะ ผมว่าต่อเรื่องจากปี 2018 ลากยาวไปถึง 2029 ที่น่าจะเป็นจุดจบของ Terminator ได้
รู้สึกว่า ไม่โดนใจ ทั้ง หน้าหนัง และ เนื้อเรื่องเลยครับ
หน้าหนัง เหมือน ซีรี่ส์มากว่า
เนื้อเรื่อง ภาคล่าสุด ประทับใจมาก จบโดยอยากดูภาคต่อไป กลับมาเล่าใหม่ ซะงั้น ค้างเลยสิครับ แบบนี้
ภาพนี่ เหมือนหนังเกรดบี เลยครับ
ภาค 1 กับ 2 สุดยอดขึ้นหิ้งไปแล้ว
ภาค 3 สนุกแบบเฉยๆ แต่ก็จบอย่างที่ควรจะเป็น
ภาค 4 สำหรับผมไม่ค่อยสนุกครับ
ภาคใหม่นี้ ดูจากภาพ ไม่โดนใจเอาซะเลย แต่พอเข้าก็ดูครับ
นึกว่าซีรีย์ทางโทรทัศน์ 😐
[…] หลังจากสร้างความฮือฮา(รึเปล่าก็ไม่…บนปกนิตยสาร EW ไปเมื่อวานนี้ พร้อมกับรายละเอียดเรื่องย่อของหนังที่บางความเห็นที่อ่านเจอบอกว่าเหมือน fan fic หนังก็ได้มีภาพออกมาอีกชุดที่เว็บไซต์นิตยสารเดียวกัน พร้อมกับข้อมูลเกี่ยวกับหนังและความเห็นของนักแสดงเพิ่มขึ้นมาอีก […]
ไม่ได้อาร์โนลด์ และชื่อ Terminator นะ
แค่เห็นใบปิดผมให้เป็นหนังเกรดบีทันที (เกรดบีแบบโหลดเป็นซีดี ยังเสียดายค่า internet )