Skip to content

The Hobbit: The Desolation Of Smaug – ในความเห็นของคุณ

THE HOBBIT: THE DESOLATION OF SMAUGThe Hobbit: The Desolation of Smaug ภาคสองของไตรภาคเดอะ ฮอบบิท ออกฉายแล้วในสุดสัปดาห์นี้ของบ้านเราครับ หนังทำรายได้เปิดตัววันแรกในบ้านเรา 10.71 ล้านบาท ตามรายงานของไบโอสโคป ผมจำไม่ได้ว่าภาคแรกเปิดตัวเท่าไหร่ครับ แต่จากรายได้ของภาคนี้ก็ถือว่าสูงใช้ได้ น่าจะทำเงินราว 40-50 ล้านบาท จากการฉายสัปดาห์แรกในบ้านเรา ส่วนรายได้ในสหรัฐนั้น มีรายงานว่าหนังน่าจะเปิดตัวราว 80 ล้านเหรียญครับ อาจต่ำกว่าภาคที่แล้วที่เปิดตัว 84.6 ล้านเหรียญนิดหน่อย

ในแง่คำวิจารณ์ หนังได้รับคำชมมากกว่าภาคแรก มีนักวิจารณ์ชอบ 74% คะแนนเฉลี่ย 6.9/10 จากการประเมินของ Rotten Tomatoes สูงกว่าภาคแรกที่ได้ 65% และ 6.6/10 ครับ แต่แน่นอนว่ายังเป็นคะแนนที่สู้ไตรภาค The Lord of the Rings ไม่ได้

ความเห็นบวกต่อหนังของนักวิจารณ์ชมอย่างมากสำหรับฉากบู๊ช่วงท้ายเรื่องที่ตื่นเต้น และบอกว่านี่ควรเป็นหนังแบบที่ภาคแรกควรเป็น หนังยาว แต่ดำเนินเรื่องได้สนุกจนไม่รู้สึกเบื่อเลย ส่วนความเห็นแง่ลบต่อหนังก็บอกว่า แม้หนังจะบันเทิงอยู่บ้าน แต่ไม่มีความรู้สึกว่าเป็นหนัง มีลักษณะเป็นตอนของซีรี่ส์มากกว่า หนังยาว 2 ชั่วโมง 41 แต่ไม่มีพัฒนาการทางเนื้อเรื่องหรือตัวละครเลย

ผมยังติดงานในสัปดาห์นี้ จึงยังไม่ว่างไปชมครับ เพื่อนผู้อ่านเว็บที่ได้ชมแล้ว ลองมาออกความเห็นกันครับ ชอบหนังแค่ไหน และชอบมากกว่าภาคแรกไหม เชิญใส่ความเห็นและคะแนนกันได้เลยครับ

ผมยังได้แนบใบปิดสุดท้ายของหนังที่เพิ่งปล่อยมาสดๆ ร้อนๆ วันนี้อยู่ที่ด้านในด้วยครับ

desolation of_smaug final poster

15 Comments »

  1. หนังทำได้ตามมาตราฐานของ PJ (ภาพสวย เสียงดี CG อลังการ) บทดีขึ้น แต่เทียบกับ LOTR ไม่ได้ (ก็อย่างว่า ตัดสามภาคก็เพื่อโกยรายได้ล้วนๆ ไม่เกรงใจหนังสือกันเลย)

    สม็อคขโมยซีน และตอนจบอารมณ์ค้างมากแบบว่า เห้ย มึงให้กูรอกิน Main Course ปีหน้า

  2. ส่วนตัวแล้วผมกลับคิดแบบนี้ฮะ…
    หนังไม่มีอะไรเลย แค่ปูทางไปภาคสามเท่านั้น…เหมือนกับเป็นตัวอย่างหนังฉบับยาวหน่อยเพื่อภาคสาม
    มีไว้เพื่อให้ไม่งงกับภาคสามสำหรับคนไม่เคยดูภาคแรกหรือภาคนี้
    ถามว่าชอบกว่าภาคแรกมั๊ยย ผมว่าภาคแรกยังดูเป็นเรื่องราวมากกว่านะ
    เหมือนภาคนี้จะกั๊กๆอ่ะ เลยทำให้ ไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเท่าไหร่…ที่ชอบคงจะเป็น ซีนของคิลี กับ เอลฟ์สาว
    ที่บอกเลยว่า อามณ์ชวนฝันดีอ่ะ ชายหนุ่มผู้ต้อยต่ำกับสาวผู้สูงเกินเอื้อม โอยย โรแมนติค
    อีกนิดกับเรื่องราว แบบยังไงดีล่ะ ภาคแรกเรารู้กันดีอยู่ว่ามันยังไม่จบแน่ ทำให้ เราหวังว่าเราจะรู้สึกอยากดูต่อได้แค่ไหน อารมณ์แบบไหน ภาคแรกทำให้เราเออ อยากดูต่อนะ
    ภาคสอง อารมณ์แบบว่า เอ่ออ ก็ต้องดูล่ะนะ มันผิดกันนะ
    พูดถึงเรื่องควมรู้สึกอยากดูต่อ ภาคสองของฮอบบิทนี่ สู้ อยากดูแคทนิสไม่ได้เลยสักนิดดดเดียวครับบ
    ทั้งที่รู้ ว่ายังไงก็ต้องมีต่อ ต้องดูต่อ แต่ความอยากมันต่างกันมากเห็นชัดเลย
    ฮอบบิทยังบีบเค้นปลุกเร้าอารมณ์ได้ไม่เท่าครับ
    ถ้าให้คะแนน ผมให้แบบเจ็บตัวสุดๆคือ 6 /10

  3. ความเห็นส่วนตัว : (มีสปอย)
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    ผมว่าภาคนี้เนิบนาบและน่าเบื่อมากในช่วงกลางๆ (เกือบหลับ)แต่ติ้นเต้นมากที่สุดในตอนท้ายๆ โดยเฉพาะการเปิดตัวของ”คนนั้น” ทึ่ง เท่ และเจ๋งมากๆ

    และแน่นอน “มังกร” พระเอกที่คนดูตั้งตารอ เป็นสิ่งที่น่าประทับใจได้ไม่แพ้กัน แต่หลังจากเปิดตัวแล้วรู้สึกว่า อืม เก่งนะ ทรงพลังนะ แต่”โง่จัง” ซึ่งดูจนจบแล้วก็เดาไม่ผิดว่ามันจะจบแบบนี้ (อ่านนิยายมาแล้ว)

    แต่ผมว่าภาคแรกเล่าเรื่องได้กลมกล่อมและมีจังหวะที่ดีกว่าครับ

  4. หลังจากดูมาหลายๆภาค ต้องยกให้ The Hobbit 2 ภาคนี้ เป็นภาคที่สนุกสนาน มันส์พะยะค่ะ ดูจนจบแล้วรู้สึกได้เลยว่า “มันต้องแบบนี้” “นี้แหละที่อยากเห็นมาตั้งแต่ตอนดู เดอะ ลอร์ด” “นี้แหละ ใช่เลยยยยยย” จนอยากให้เอา เดอะ ลอร์ด กลับมาทำใหม่ แล้วทำออกมาให้ได้แบบภาคนี้เลยนะ

    ภาคนี้ไม่มีจังหวะเนิบน้าบแบบภาคก่อน ไม่ต้องคุยกันยาวมากนัก เดินเรื่องแปบๆ ก็เข้าสู่ฉากแอ๊คชั่นเลย พูดคุยน้อยแต่พอจำเป็น แถมก็ยังแทรกมุกขำมาเป็นระยะด้วย จึงทำให้การดำเนินเรื่องในฉากพูดคุยนั้นไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อ แต่เป็นการรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อมุ่งไปสู่ฉากใหม่ๆที่น่าตื่นตาตื่นใจ

    สิ่งที่อยากชื่นชมเป็นอย่างมากในภาคนี้คือ “ฉากแอ๊คชั่น” ครับ โคตรรรรรรจะเจ๋ง หลากหลายอารมณ์ มีทั้งเน้นน่ากลัว ตื่นเต้นๆ หรือจะเน้นเอามันส์ เท่กินใจ บู๊กันแบบลุ้นสุดตัว หรือจะแบบหนีตายก็มี คือแอ๊คชั่นเยอะครับ จัดเต็ม ดีไซน์มาดีมากๆ โดยเฉพาะ “มุมกล้อง” ที่ไหลลื่นพริ้วไปได้ทุกจุด คือดูแล้วรู้เลยว่า “ทำการบ้านมาหนักจริงๆ” มุมกล้องเรื่องนี้ทำให้อารมณ์ฉากแอ๊คชั่นมาเต็มครับ ทำให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้ไม่ยาก สุดยอดจริงๆ เอาคะแนนเต็มไปเลยครับทีมสร้าง

    อีกอันที่ชอบมากและโดดเด่นสุดๆคือ งานกราฟฟิค CG นี้แหละครับ สวยสุดยอด สวยจริงๆ คือตอนดูภาคแรกก็ว่าสวยสุดๆแล้วนะ เจอภาคนี้นี่ อึ้งกับ มังกร เลยอ่ะ เป็นมังกรที่สมจริงที่สุดละ ยิ่งตอนพ่นไฟ รู้สึกถึงความร้อนจากไฟเลย ไฟสมจริงจนไม่รู้ว่าไฟจริงหรือไฟปลอม ซึ่ง CG พวกตัวละครก็ทำได้เนียนมากนะ ยิ่งในฉากแอ๊คชั่นใช้แทนนักแสดงเยอะอยู่เหมือนกัน ถึงแม้จะพอดูออก แต่ก็ถือว่าเนียนใช้ได้เลย (ณ ตอนนี้ก็ยังทึ่งกับ มังกร ไม่หาย)

    ส่วนนึงที่ทำให้ไม่ค่อยอินหรือรู้สึกว่า เดอะ ลอร์ด ไม่ตอบโจทย์ผมเท่าไรคงเพราะ พระเอกมันกากๆ นี่แหละ แต่ The Hobbit ต้องบอกเลยว่า ไม่ใช่แบบนั้น เพราะ บิลโบ้ เล่นแอ๊คชั่นได้ดีมาก มีความสามารถ มีประโยชน์ และสมกับเป็นพระเอกจริงๆ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะใส่ความเป็น ฮอบบิท ลงไปด้วยนะ

    ตัวละครที่เป็นจอมแย่งซีนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็คือ เลโกลัส ภาคนี้เค้าก็มาครับ และก็นึกว่าเค้าจะตันในการแย่งซีนแล้ว แต่ที่ไหนได้ โคตรจะเท่ แบบว่าเอาทุกภาคมารวมกันยังไม่เท่าภาคนี้เลย ฮ่าๆ เก่งมาก แม่นโคตร โหดสุดๆ เฉียบขาดไปทุกจุด สุดยอดไปเล๊ยยยยย (น่าจะใช้ชื่้อหนังเป็น The Legolas ไปเลยนะ ฮ่าๆ)

    ส่วนที่ไม่ค่อยชอบหรือจุดที่แย่ไปนิด ก็พอมีอยู่นะ บางฉากนี้ ดูออกเลยว่า เซ็ตมา มันค่อนข้างชัดไปหน่อย เลยทำให้อารมณ์ฉากนั้นมันไม่ค่อยอินเท่าไร (แต่ก็ไม่ใช่ฉากสำคัญ) และด้วยความที่ภาคนี้เน้นมันส์กับการผจญภัยซะส่วนใหญ่ ทำให้ส่วนดราม่าน้อยมากกกก จึงมีผลให้เพลงบรรเลงเพราะๆ ไม่ค่อยมีเลย

    ผมดูด้วยระบบ 3D แบบ HFR (High Frame Rate) เหมือนที่เคยดูใน Hobbit ภาคแรก ข้อดีของระบบนี้มันดีตรงที่ว่า การดู 3มิติ ของเรานั้นจะไม่รู้สึกปวดตา ภาพไม่ค่อยชัดครับ เพราะ HFR จะทำให้ภาพการเคลื่อนไหวนั้นดูลื่นไหลกว่าปกติ ภาพจะชัดใสแบบสุดๆ ทำให้คุณเห็นรายละเอียดในหนังได้มากยิ่งขึ้น แต่ข้อเสียคือ การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วบางฉาก มันจะเคลื่อนไหวดูแปลกๆเพราะภาพมันลื่นเกินจริง ผิดธรรมชาติภาพยนต์ไปเยอะ (Hobbit ภาคแรกจะเห็นได้ในฉาก กระต่ายลากเลื่อน) ซึ่งผมเชื่อว่า ผู้กำกับคงได้ยินเสียงตอบรับกลับไปเยอะ จึงลดฉากที่เป็นข้อด้อยของระบบนี้ออกไปเกือบหมดในภาค 2 จึงทำให้ภาคนี้ดูด้วยระบบนี้ได้อย่างสบายตามากขึ้น เพราะขอแนะนำให้ดูด้วยระบบ HFR นะ ภาพลื่นพริ้ว สบายตาเพราะหนังนาน ภาพชัด ยิ่งทำให้ 3มิติ มีมิติมากยิ่งขึ้น แค่เข้าไปดูมังกรก็คุ้มสุดๆละครับ

  5. หนังทำได้ดีครับในหลายๆด้าน งานภาพมีหลุดๆบ้างบางจุด ซึ่งไม่น่าจะมีในหนังระดับนี้ แต่ส่วนที่ต้องติกันจริงๆคงเป็นบทหนังครับ สำหรับภาคแรกนั้นหนังทำได้ดีกว่า ไหลลื่นกว่าเพราะเสริมเนื้อเรื่องจากภาคผนวกเข้ามาเยอะเพื่อให้เข้าใจง่ายและน่าติดตาม แต่สำหรับภาคนี้เนื่องจากเนื้อเรื่องที่เหลือน้อยจนต้องเสริมเข้าไปเพื่อปูทางไปถึงเนื้อเรื่องของภาค3 ที่น่าจะด้นสดเพิ่มเข้าไปมากกว่าภาคนี้อีกต่างหาก จนผมรู้สึกเอาใจช่วยเลยทีเดียว กลัวล้มไม่เป็นท่านะครับ รวมๆแล้วหนังสนุกมากครับที่ติมานะแค่ส่วนน้อย
    8/10 ครับ

  6. The Hobbit ภาคนี้ถือว่าทำให้ไม่ผิดหวังจริงๆ มีอะไรใหม่ๆเข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ตื่นเต้นกว่าเดิม ทำให้ง่วงน้อยลง มันจะเดินเรื่องอย่างที่คุณ Rooky Starline กล่าวไว้ข้างบน คือ น่าเบื่อช่วงกลางๆ แต่พออะไรเข้าที่เข้าทางแล้ว มันจะ…สุดๆ ^^ ภาพสวยมาก
    สำหรับภาคนี้เอาไปเลย 9/10 1 คะแนนที่หายไปคือค่าหาว ฮ่าๆๆๆๆ

  7. ชอบสม๊อคมากๆๆเท่สุดๆๆไปเลย แล้วถ้าผมจำไม่ผิด ผกก.ปีเตอร์แจ๊คสันแกโผล่มาฉากแรกเลยใช่หรือเปล่านะ ^^

  8. ผมว่าหนังทำออกมาได้ดีนะครับ แต่ก็ยอมรับว่ามีน่าเบื่อบางช่วง ก็คงเป็นปกติสำหรับหนังที่ต้องการเล่าเรื่องต่อไปยังอีกภาดหนึ่ง ถ้าให้เทียบกับนิยายแล้ว หนังทำมาได้ดีกว่านะ(ความเห็นส่วนตัวเน้อ) แล้วก้อเรื่องดนตรีประกอบ ภาคแรกจะดีกว่านะ (แต่ชอบเพลง i see fire ตอนเครดิตอ่ะนะ)ชอบมากๆๆ คุ้มกับเงินแน่ๆๆ
    จากนี้มีสปอยล์้น้าๆๆ
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .

    .
    .
    .
    .
    ตอนท้ายเรื่องมันส์ดี
    ทำไมมังกือไม่ล้างแค้นคนที่ทำให้มันเจ็บ
    (อยู่ใกล้กว่าด้วย)
    แต่ไปทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวอ่ะ
    ขัดความรู้สึกไปนิด

  9. ผมว่าถ้าใครดูโดยกะว่าจะเหมือน The Lord of The Ring คงผิดหวังอยู่แล้วครับ เพราะโดยเนื้อเรื่องและบรรยากาศเดิมมันก็ค่อนข้างจะออกแนวนิทานเด็กไปเรื่อยๆไม่ใช่มหากาพย์สุดอลังการ

    สำหรับผมที่เตรียมใจไว้แบบนี้ ผมว่าสนุกใช้ได้เลยครับผม ส่วนต่างๆต่อเติมได้ดีได้เนียน พยายามปูเนื้อเรื่องให้ Lord ได้เนียนๆดีด้วย ส่วนที่ว่าเนื้อเรื่องไม่ค่อยเดินนั้นผมเห็นด้วยเลยครับ จริงๆผมว่า Hobbit สามารถบีบเป็นภาคเดียวหรือ2ภาคได้อย่างสมบูรณ์เลยด้วยซ้ำ แต่เลขมันไม่สวย 5555+
    ภาพไม่ต้องพูดถึงครับ สุดยอดอยู่แล้ว ส่วนฉากเจอสม็อกนั้นผมว่าทำได้ดีมากครับ ไม่เยิ่นเย้อน่าเบื่อ และดูแล้วรู้สึกว่ามันมีปัญญาไม่ได้โง่นะ (แค่บ้าทอง) ฉากจบผมว่าก็โอเคครับ เหมือนมันจบองก์นึงพอดี และใส่บทพูดสม็อก และบิลโบ้ตอนจบให้ดูจบได้แบบโอเคเลยครับ (แม้ในโรงจะร้องโอ้โหยกันหนาหูก็ตาม 555)
    สำหรับผม ผมให้ 8.5/10 ครับ

  10. เราชอบมังกร ดูน่ากลัว เกรงขาม ซื่อบื้อนิดๆ แต่ไม่มีความอ่อนแอเลย ผมว่าสนุกกว่าภาคแรก ไม่ยืดเยื้อ ชอบแกนดาฟสู้กับเซารอน ผมยังคิดอยู่ว่าภาคสามมันจะโยงไปหาเดอะ ลอรด์ ภาคแรก ได้ยังไง

  11. ดู 3D ตื่นตาได้กับฉากตอนต้น ๆ เพียงแค่ 10 กว่านาที ความตื่นตาก็หมดไป ไม่มีอะไรสวยงามหรือแหวกใหม่ให้ได้ชม

    เนื้อเรื่องเนือย ๆ มีบทพยายามจะขำ พยายามจะปลุกใจหรือทำให้ดูดี แต่กลับดูขัดใจไม่เป็นธรรมชาติ

    บทโง่ ๆ ขัด ๆ ก็มากมาย
    – พิษอ๊อคที่ตอนแรกพูดเหมือนร้ายแรง แหมโดนเข้ากระแสเลือดก็เสมือนตายไปแล้ว นี่มันอะไรคนแคระเองยังรู้เลยว่าใช้ต้นอะไรรักษา แค่บวกพลังวิเศษไปอีกหน่อยก็แก้ได้ง่าย ๆ แล้ว (แถมพิษออกอาการช้าโคตร)
    – ทองหลอมออกมาร้อน ๆ เพิ่งเทจากเตาแต่ทอรินกลับเอาแผนเหล็กไป Slide เล่นโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว
    – จะเอามังกรไปชุบทองทำเพื่ออะไร คิดว่าจะให้มันสำลักทองตายหรือว่าไง ? ตอนแรกนึกว่าจะหลอมโลหะแข็งเพื่อราดใส่แล้วโปรยน้ำลงมาเพื่อให้ของเหลวแข็งตัว อย่างน้อยก็ทำ Damage ได้บ้าง แต่นี่อัลไร ราดทองใส่มังกร คิดว่าความร้อนของทองจะทำอะไรมังกรพ่นไฟได้รึไงกันนะ LOL
    – ตอนที่มังกรเริ่มโครมคราม บาร์ดก็โชว์ธนูดำขึ้นมา แต่แผนอะไรก็ไม่รู้จะแอบขึ้นไปตั้งป้อมโดยไม่ให้ใครสังเกตุคงจะเป็นไปได้เนอะ(เชื่อเขาเลย) ยิ่งไปกว่านั้นจังหวะนั้นเองอยู่ดี ๆ เจ้าเมืองก็เจือกจะมาจับบาร์ดอีก(อยู่ดี ๆ ก็มาจับ ตอนอยู่ด้วยกันดันไม่จับเนอะ)

    บทบาทที่แสดงให้เห็นว่าตัวละครทุกคนล้วนมีด้านเลวในใจ ไม่ต้องยัดเยียดมามากก็ได้นะ ตอน TLOTR ไม่ต้องยัดเยียดขนาดนี้ยังทำให้เข้าถึงตัวละครได้ดีกว่านี้เลย

    ป่วยเลย Hobbit – -“

    • เห็นด้วยเรย ขัดใจหลายอย่างอ่ะ ไม่อยากคิดว่า ที่เป็นแบบนี้ เพียงเพราะต้องการให้เป็นไตรภาค

Leave a Reply

%d bloggers like this: