Thor: The Dark World – ความเห็นหลังชม

thor the dark world reader reviewThor: The Dark World ถือเป็นความสำเร็จอีกเรื่องของมาร์เวล สตูดิโอ ในแง่รายได้ครับ หนังเปิดตัวในสหรัฐเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 85.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามตัวเลขทางการจาก boxofficemojo ซึ่งถือว่าสูงกว่าภาคแรกราว 20+ ล้านเหรียญ หนังยังทำรายได้ในต่างประเทศได้ดีอีกด้วย ซึ่งหลังจากฉายมา 2 สัปดาห์ในตลาดนอกหสรัฐ ทำเงินไปราว 240.9 ล้านเหรียญ สิริรวมแล้วรายได้ทั่วโลกตอนนี้อยู่ที่ราว 326.6 ล้านเหรียญสหรัฐครับ ที่น่าสนใจก็คือรายได้ในจีน หนังเปิดตัวสูงถึง 19.6 ล้านเหรียญ มากกว่า The Avengers และมากกว่ารายได้ตลอดการฉายของ Thor ภาคแรกในจีนด้วย อดสงสัยไม่ได้ว่าภาพใบปิดแฟนเมดที่โรงหนังเผลอไปใช้แล้วกลายเป็นข่าวดัง จะอยู่เบื้องหลังรายได้นี้ไหม ส่วนรายได้เปิดตัว 4 วันแรกในบ้านเราอยู่ที่ 74 ล้านบาทครับ

ในแง่คำวิจารณ์ คะแนนจากการประเมินของ Rotten Tomatoes ไม่ได้ออกมาดีมากเท่าภาคแรก มีนักวิจารณ์ชอบเพียง 65% และคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 6.2/10 ต่างจากภาคแรกที่ได้ 77% คะแนนเฉลี่ย 6.7/10 ครับ แต่คะแนนนักวิจารณ์ก็สวนกับคะแนนจากผู้ชมในสหรัฐเพราะหนังได้เกรด CinemaScore ซึ่งมาจากการสำรวจความเห็นผู้ชมจากบริษัทด้านการตลาดสรุปเกรดออกมาได้เป็น A- และ 60% ที่ชอบหนังเป็นผู้ชาย ขณะที่ภาคแรกได้เกรด B+

สำหรับผม ผมอยู่ในหมู่ผู้ที่ชอบภาคแรกมากกว่าภาคล่าสุดครับ ภาคแรกมีธีมของมัน ว่าด้วยเรื่องการพิสูจน์ตัวเองของธอร์ และการชดใช้ความผิดพลาด ผสมกับเรื่องราวชิงบัลลังก์แบบเช็คสเปียร์ และทำให้ร่วมลุ้นและมีอารมณ์ร่วมไปกับธอร์ได้ แม้ว่าเรื่องราวความรักกับเจนจะดูเร่งรัดจนไม่อิน เพียงแต่งานสร้างอาจดูธรรมดา และไม่ได้มีการสร้างซีนที่ดูแปลกตาอะไร

ขณะที่ภาคสองมีทั้งเรื่องชิงบัลลังก์ การแก้แค้น หน้าที่กับความรัก การทรยศหักหลัง แต่ไม่อาจมีความรู้สึกร่วมได้เลยกับเรื่องราวเหล่านั้น รู้สึกว่าจืดชืดสนิท แต่หนังก็ไม่ได้แย่ หนังยังอยู่ในเกณฑ์น่าพอใจเพราะได้การแสดงของทอม ฮิดเดิลสตัน ในบทโลกิ (และความน่ารักของแคท เดนนิ่งส์ ในบทดาร์ซี) มาทำให้การชมตลอดเรื่องสนุก และก็มีฉากตลกๆ มุขฮาๆ หลายฉากที่ทำให้เอาขำ คู่พระนางถูกนักแสดงสมทบขโมยซีนไปหมด

หนังพยายามจะใช้สูตรเดียวกับ The Avengers นั่นก็คือขายตัวละคร ขายเสน่ห์ของตัวละคร และการแสดงที่ดูสนุก แต่ The Avengers ก็ยังมีธีมชัดเจนเรื่องการผนึกกำลัง เรื่องความสามัคคี และใช้สูตรนี้มารับใช้ให้หนังมีท้งแก่นและความสนุก ขณะที่ผมพบว่า Thor: The Dark World เป็นเพียงหนังขายแก๊กฮาๆ กับลีลาของโลกิ ไม่มีธีมอะไรที่จับต้องได้เลย เป็นความบันเทิงในระดับหนึ่ง แต่ดูจบก็จบไปครับ 7/10

เชิญเพื่อนๆ ที่ชมแล้วมาออกความเห็นและให้คะแนนกันครับ ชอบหนังในระดับไหน และชอบภาคไหนมากกว่ากัน

22 comments

  1. โดยส่วนตัวชอบมากนะคับ มีกลิ่นของ The Avengers ที่มีส่วนผสมของแอ็คชั่นและมุกตลก
    ฉากของเรื่องรวมไปถึงงานสร้างต่างๆดูดีขึ้นเยอะ ดูสนุกน้องๆ Ironman 3 เลยคับ

  2. สำหรับผม. ผมชอบมากกว่าภาคแรก เพราะงานสร้างดีขึ้นมากๆ บทผมคิดว่าเขียนดีระดับหนึ่งครับ ชอบที่หนังพยายามเชื่อมโลกทั้ง 9 ให้ผู้ชมลึกซึ้งไปในหนัง ส่วนเรื่องตลก ผมคิดว่ามันเป็นลายเซ็นของ Marvel Studio แล้วล่ะครับ บทที่ชอบที่สุดคือเรื่องดราม่าความรักระหว่าง Loki กับฟริกกา แสดงออกมาได้อย่างทราบซึ้ง สิ่งที่เห็นคือ ฟริกกากับLoki มีพลังเวทเหมือนกัน แสดงว่าฟริกกาเป็นคนสอนโลกิแน่เลย เค้าสองคนรักกันมาก คะแนนผมให้ 9/10 หัก 1 คะแนนที่ธอร์ติดในรถไฟฟ้า 3 สถานี

  3. เช่นกันครับ ชอบภาคแรกมากกว่า ดูImaxผมกลับเผลอหลับไปหน่อย (อาจเป็นเพราะส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับหนัง) คาดหวังกับผกก.จาก game of thrones ที่เป็นซีรีย์สุดโปรดมากกว่านี้ สรุปงานsfทำได้ดีขึ้น แต่ไม่มีอะไรแปลกใหม่และน่าตื่นตาตื่นใจ ถามว่าสนุกมั๊ย ถือว่าสอบผ่าน ไม่เสียดายเงิน แต่สำหรับผมก็ไม่ถือว่าได้กำไร ส่วนบทหนังไม่เกินคาดเดา โดยเฉพาะท้ายเรื่อง แอบหวังว่า Natalie Portman ซึ่งตอนเล่นหนัง Leon ผมคาดเดาว่าเธอจะไปได้ไกลและโด่งดังไม่แพ้ Jodie Foster แต่ยิ่งเล่นผมกลับไม่รู้สึกว่าเธอมีอะไรน่าดึงดูดใจมากไปกว่า Jaimie Alexander จากซีรีย์ Kyle XY ที่ผมเอาใจช่วยและเห็นใจเธอมากกว่า

  4. มีหลายประเด็นที่ทำท่าจะเล่นกับมันแต่ก็ปล่อยผ่าน และเจน ฟอสเตอร์ หายใจในอวกาศได้ เป็นหนังที่อัดมุกแบบ ใส่มาสิบโดนมาสาม และแนวคิดการใช้มิติในตอนท้าย ทำให้ลอนดอนพินาศน้อยลง และได้กลิ่นงานประเภทโจรกรรมเล็กๆ ดราม่าครอบครัวที่ไม่ใหญ่หน่อยๆ และมักจะหยอดมุกทุกสถานการณ์ ไม่สนเวลาและสถานที่ ตามสไตล์มาร์เวล ถือเป็นหนังกลางๆที่ไม่ได้ทำลวกๆ แต่ดีพอที่จะไปดูในโรงสักครั้ง ^^

  5. ในแง่หนังบู๊ ดูสนุก ภาคนี้ตอบโจทย์กว่า และผมก็ดูสนุกไปได้ทั้งเรื่อง

    แต่ผมชอบภาคแรกมากกว่าเช่นกัน

    หนังมันมีฟอร์ม มู้ด โทน ที่สวยงามกว่า ออกแบบมาลงตัวกว่า(แม้แอ็คชันจะยังไม่ค่อยถึง)

    ภาคนี้องค์ประกอบในหนังมันยังดูไม่เป็นเนื้อเดียวกัน

    โดยเฉพาะอารมณ์ดรามา กับคาแรกเตอร์ตัวละครที่ไม่ไปกันเลย

    หลังเกิดเหตุการณ์สำคัญช่วงครึ่งเรื่องแรก ผมยังงงอยู่เลยว่า ตัวละครอย่าง นาตลี พอร์ตแมน เหมือนไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลย

    มุกตลกก็ขำ แต่จังหวะที่ใส่ก็ไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร

  6. อลังการขึ้น แฟนซี และดูมีศิลปะมากขึ้น

    แต่อาจจะเพราะความสำเร็จของ The Avengers หนังหลังจากนั้นทั้ง Iron Man 3, Thor 2

    (และอาจรวมถึง Captain America 2 ด้วย) จะมีความตลกมากขึ้น (ทั้ง ๆ ที่ตัวอย่างดูเข้มข้นจริงจัง)

    เหมือนจะต้องการเอาใจเด็ก ๆ มากขึ้นด้วย (เพื่อที่ว่าอาจจะขายของเล่นจากหนังได้ง่ายขึ้น)

    ทำให้หนังต่าง ๆ ที่ออกมาพยายามตลกมากไป จนกลายเป็นหนังเบาสมองจนเกินไป

    ต่างกับ The Avengers เอง ที่หนังถึงจะดูฮา สนุก แต่ก็ขมวดสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างลงตัวมาก ๆ

    อีกอย่างที่ผมรุ้สึกขัด ๆ ใน Thor 2 คือ ความไม่สมเหตุสมผลต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะความไฮเทค

    จากเดิมที่รู้สึกว่าหนัง Thor คือหนังที่คนดาวนี้มีพลังวิเศษ แต่ภาคนี้กลับออกแนวยานอวกาศดึกดำบรรพ์

    (มียานอวกาศ มีปุ่มกดตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เลยเหรอ ไหนบอก Before Universe)

    ผมก็ไม่รู้นะว่าฉบับ Comic เป็นไง แต่ในหนังดูขัดมาก ยังกะนั่งดู Star Wars ผสม Star Trek

    อาจเพราะพยายามปูทางสู่ Guardain of the Galaxy มากเกินไปหรือเปล่า

    อย่างที่ คุณ Jediyuth บอกว่า ภาคนี้อินน้อยกว่าภาคแรกมาก

    ภาคแรกถ้าตัดฉากบนโลกออก ถือว่าดีกว่าภาคนี้พอสมควรเลย (Marvel ทำหนังตลาดเกินไปแล้ว รู้สึก)

  7. รู้สึกว่า ผู้ร้าย เก่งได้เท่านี้เองเหรอ….
    นางเอกมีบทบาทแค่นี้เหรอ….
    แต่ส่วนดีคือ ได้เห็นโลกิในดานที่มีความดีอยู่นิดหน่อยย แต่อย่าได้ไว้ใจโลกิเลยเชียว
    ความเห็นผมตรงกันข้ามกับพี่เจไดและคนอื่นที่ว่าธอร์ถูกขอโมยซีนนะ
    ผมว่าตัวละครที่พัฒนามากที่สุดคือธอร์นะครับ จากรัชทายาทหัวดื้อ ที่หุนหันพลันแล่น
    กลายมาเป็นคนที่พยาามทำอะไรให้ดีขึ้น จากภาค1 มาภาคนี้ สุขุม แน่วแน่ มั่นคง แบบ เท่ขึ้นเยอะอะ
    คือตัวละครที่มีการเปลี่ยนแปลงคาแร็คเตอร์แล้วคุมออกมาได้ดีมากกกก
    ดูเหมาะสมกับความเป็นราชาและผู้นำอย่างมากเลย….
    ผมให้ 8/10

    ปล. ผมไม่ได้ดูเครดิตตอนท้าย ที่มีเครดิตซ้อนเครดิต..กะจะเอาไว้บิ๊ววทีหลังง

  8. สรุปโดยรวมละกันว่า “ดีกว่าภาคแรก” ชอบมากกว่าภาคแรก เพราะภาคนี้ ธอร์ จะดูเป็นธอร์มากขึ้นหน่อย ได้โชว์ฝีมือมากขึ้น ได้เห็นพัฒนาการจากประสบการณ์ในภาคที่แล้ว ได้เห็นหลากหลายภูมิดวงดาว (ไม่ใช่แค่ประเทศ ฮ่าๆ) ภาพรวมของหนังดูจะออกโทนจริงจังขึ้น ซีเรียสและมืดๆขึ้นกว่าภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด (อย่างน้อยก็ลิเกน้อยลง) แต่ก็ยังไม่ทิ้งเสน่ห์ของ มาร์เวล ไปนั้นก็คือ การแทรกมุกตลกน่ารัก ขำๆ มาไว้ตลอดทั้งเรื่อง ทำให้ไม่มีความตึงเครียดจนเกินไป แต่ก็มีบางช่วงที่มุกมันปล่อยมาผิดจังหวะ หรือแป้ก นั่นแหละ

    ผมชอบเนื้อเรื่องภาคนี้นะ มันปูเรื่องดี ค่อยๆดำเนินเรื่องไปอย่างน่าสนใจ พอไปจนถึงจุดเปลี่ยนเรื่องมันก็ทำให้เราตื่นเต้น และรู้สึกว่า “เฮ้ย จากจุดนี้จะยังไงต่อฟ่ะ สนุกแน่” อะไรทำนองนั้น ถึงแม้ว่า จุดสุดท้ายของเรื่องจะไม่ “พีค” แบบสุดๆ แต่มันก็ทำออกมาได้นานพอจะให้อภัยกับบทสรุปจบท้ายเรื่องได้อยู่ โอเค อาจจะรู้สึกว่า ง่ายไปนิดกับที่อุตส่าห์ปูมา แต่ก็พอรับได้น่ะนะ ผมว่าเค้าตั้งใจให้ออกมาคล้ายๆ Man of Steel นะ ในแง่ความสมจริงและเล่าเรื่องซีเรียส แฝงนู้นนี่นั่น แต่บอกตรงๆ Thor ภาคนี้ ทำทุกอย่างรวมๆไว้ดีกว่า MOS เยอะครับ

    ส่วนที่อยากชมก็คงจะไม่พ้น โลกิ หรือ ทอม ฮิลเดิ้ลตั้น แหละ คนนี้คือจอมแย่งซีนทั้งในจอ และนอกจอ มีเสน่ห์ขึ้นอีกเยอะ แถมภาคนี้เราจะได้เห็นและรู้จัก โลกิ มากขึ้น ตัวเด่นของภาคนี้เลยก็ว่าได้ (สำหรับผมนะ) เค้ากลายเป็น มาสค็อต สำหรับ มาร์เวล ไปซะแล้วด้วยซ้ำมั้ง

    ส่วนที่ไม่ค่อยชอบก็คือเป็น ดีไซน์อาวุธหลายๆอย่าง มันคล้ายมนุษย์โลกไปหน่อย ไม่รู้สึกหวือหวาอะไร บางอย่างก็เหมือนสตาร์วอร์ คือเราเห็นมาหมดแล้ว แค่เปลี่ยนดีไซน์ ทั้งๆที่ดาวมันก็มากมายหลากหลายเผ่าพันธุ์ มันน่าจะมีอะไรที่แปลกกว่านี้ซะหน่อย จุดนี้เลยทำให้รู้สึกว่า ดาวแต่ละแห่งมันก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าไร

    สำหรับ 3 มิติ จะไม่ดูก็ไม่เป็นไรนะ รู้สึกไม่ค่อยคุ้มเท่าไร เอาเป็นดูโรงดิจิตอลที่เสียงกระหึ่มๆดีกว่า อ๋อ แล้วก็มีฉากต่อหลังจบเครดิตด้วยนะคร้าบ อย่าลืมรอดูกันละ

  9. คิดเหมือนกันเลยครับ ภาคเเรกดูลงตัวกว่า หนังมีเอกลักษณ์ที่่แตกต่างจากหนังฮีโร่มาร์เวลเรื่องอื่นๆ
    แม้หลายคนจะบอกว่ามันดูลิเกอวกาศมากไปหน่อย แต่ผมกลับมองว่าผกก.สามารถผสมเอาแนวทางของตัวเองเข้ากับความเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ได้พอดี

    ในขณะที่ The Dark World พยายามที่จะใช้สูตรสำเร็จเเบบ The Avengers มากเกินไป อาจจะถูกใจแฟนหนังกลุ่มมาก แต่เสน่ห์ที่ภาคเเรกสร้างไว้กลับหายไปหมด

  10. อันนี้เป็นความคิดเห็นที่มากจากความรู้สึกนะคะ ส่วนตัวแล้วชอบภาคแรกเหมือนกันค่ะ เพราะหนังมีอารมณ์หม่นที่มีเหตุมีผล(ส่วนตัวชอบอารมณ์แบบนี้) ตัวละครสามารถสร้างเอกลักษณ์ที่น่าจดจำได้มากกว่า
    โดยเฉพาะประโยคเด็ดๆที่ทำให้เราประทับใจ คงเพราะเป็นคนชอบหนังที่เน้นให้ตัวละครแสดงอารมณ์ในแบบที่มีความเป็นต้นแบบฉบับของตัวละครนั้น จึงทำให้รู้สึกว่าภาคสองขาดความประทับใจในจุดนี้ หนังมีการจับเอาทุกอย่างยำมารวมกัน จนไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ร่วมกับตัวละครได้เลยค่ะ เข้าใจว่าผู้กำกับคงต้องการจะสื่อให้เห็นถึงจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ในทุกๆด้าน แต่เหมือนกลายเป็นการนำมาใส่อย่างลวกๆ ขาดความพิถึพิถันอย่างที่ควรจะเป็น ตอนแรกที่ดูตัวอย่างของหนัง ยังคิดอยูว่าจะได้เห็นการแสดงของ ทอม ฮิลเดิ้ลสตั้น ในบทของ โลกิ ในสภาพที่สูญเสียคนที่รักไป มันจะออกมาเป็นแบบไหน เพราะตัวอย่างหนังตัดต่อได้ดูสนุกกว่าหนังจริงเยอะเลยค่ะ พอเข้าไปดูจริงๆ เลยรู้สึกว่าฉากนี้มันไม่มีช่วงที่ทำให้ตื่นเต้นอย่างที่คาดเอาไว้ แต่ถ้าพูดถึง โดยรวมของหนังแล้วภาคสองถือว่าตอบโจทย์ให้กับหนังได้ดีมากค่ะ รวมถึงการประชาสัมพันธ์ก็ทำออกมาได้ดีกว่าที่คาดเอาไว้อีกด้วย แต่ก็คาดหวังว่าในอนาคตจะมีการปรับเปลี่ยนจุดขายของมาร์เวลให้มีการสร้างวิศัยทัศใหม่ๆ ทำให้คนดูสามารถเข้าถึงหนังได้อีกระดับหนึ่งค่ะ ตอนนี้ตื่นเต้นว่า guardians of the galaxy จะมีความคืบหน้าอย่างไร เพราะนอกจากจะเห็นแต่ The Collector ก็อยากเห็นคนอื่นๆเหมือนกันค่ะ

  11. เป็นการพาผู้ชมไปรู้จักโลกทั้งเก้า ได้แบบผิวเผินมาก เหมือนแค่ฉายให้ดูว่าหน้าตาเป็นยังไง ส่วนอาวุธยุทโธปกรณ์ ของแอสการ์ด ก็กากมาก อาวุธที่บุตรแห่งโคล ใช้ซัดโลกิ ในภาคอเวนเจอร์ ยังดูอันตรายกว่าเยอะ แถมศัตรูบุกแอสการ์ดซะขนาดนี้ แต่โอดินกลับไม่เรียกหุ่นเหล็กแบบภาคแรกออกมาซัดดาร์คเอลฟ์ ไม่อินกับเส้นเรื่องของธอร์ แต่อินกับเส้นเรื่องของโลกิ มีมิติ น่าสนใจ ไม่แบน ถ้าจงใจให้เด่นขนาดนี้ ทำภาคแยกของโลกิไปเลยดีกว่า

    หลังจากดูจบแล้ว พบว่ามีสิ่งที่ชอบอยู่สามอย่าง
    1. โลกิ
    2. ดร.เซลวิก
    3. กัปตันอเมริกา

    • คิดเหมือนกันครับ ความเห็นผมหนังทอร์นี่เหมือนเป็นหนังทางผ่านไปสู่ The Avengers : Age of Ultron เท่านั้นเอง เพราะหนังทั้งเรื่องไม่ได้รู้สึกถึงความยิ่งใหญ่อย่างที่ตัวอย่างหนังตัดต่อมาเลย การปล่อยมุกแป๊กบ่อย ๆ ก็ทำให้อารมณ์หนังมันไปได้ไม่สุด ยิ่งฉากแอกชั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย หนังไม่ได้แสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของทอร์อย่างที่ควรจะเป็นเลยซักนิด ซึ่งมันก็เป็นมาตั้งแต่ภาคหนึ่งแล้ว ตัวร้ายในเรื่องนี่ยิ่งแล้วใหญ่ ถามหน่อยครับมีซักกี่คนที่จะจำชื่อตัวร้ายได้โดยไม่ต้องมาดูวิกิหรือ IMDB ทีหลัง เมเลคิตเป็นตัวร้ายที่จืดจางประมาณนั้นแหละครับ และก็เป็นสิ่งที่หนังมาเวลแทบทุกเรื่องเป็นเหมือนกันหมด คือตัวร้ายไม่มีอะไรน่าจดจำเลย ตัวร้ายในหนังมาเวลที่คนดูจดจำได้ ผมคิืดว่ามีแค่ แมกนีโต้ กับ โลกิ เท่านั้นเอง

      โดยรวมแล้วผมคิดว่าภาคนี้ก็พอ ๆ กับภาคที่แล้วล่ะครับ ดูจบแล้วจบกัน อะไรที่มันพิลึก ๆ ขัดแย้งกับหนังภาคก่อน ๆ เช่น เกิดมหันตภัยขนาดนี้แต่โอดีนกลับไม่ยอมเอาแทสซาเรคมาใช้กู้วิกฤติ แต่กลับจะสละชีวิตเทพแอสการ์ดแทน หรืออยู่ ๆ โลกิก็เกิดรักแม่บุญธรรมมากกว่าโอดินขึ้นมาซะงั้น ทั้งที่ภาคที่แล้วโลกิถึงกับยอมทรยศเผ่าพันธุ์ตัวเองเพื่อเอาใจโอดีน แต่ไม่ได้แสดงเลยว่าตัวเองเคารพรักแม่ สิ่งที่น่าจดจำสำหรับหนังคงมีแค่การแสดงของทอม ฮัดเดิลสตันอย่างเดียวกระมังครับ ที่ฉายแสงทุกครั้งที่เข้าฉาก แม้กระทั่งจะไม่ได้ตัวเต็ม ๆ ก็ยังฉายแสงได้

  12. ภาคแรกกลมกล่อมสมบูรณ์กว่า แม้จะไม่มีอะไร ภาคนี้ใส่มาเต็ม แต่ดันไม่เล่าให้จบ หนังเปิดประเด็นหลายๆเรื่่องมาก แต่ก็ไม่เล่าให้หมด หรือเล่าแบบผ่านๆ มันก็เลยดูแล้วก็สนุก แต่ไม่มีอะไรให้นึกถึงมากนัก เว้นแต่ว่ามาร์เวลวางแพลนจะเก็บไว้เล่าใน Thor 3 หรือในหนังเรื่องอื่นก็ไม่อาจทราบได้ ส่วนคนที่เด่นสุดในเรื่องก็คงไม่พ้นโลกิ รองลงมาคงเป็นดาร์ซี่ ฮ่าๆๆ ส่วนตัวอยากให้หนังเล่นปมความสัมพันธ์โลกิ-ฟริกก้า-โอดิน มากกว่านี้ กับประเด็นชิงรักหักสวาทธอร์-เจน-ซิฟฟ์ รู้สึกจะขยี้ได้ไม่ถึงใจเท่าไร

  13. มุกตลกใส่เข้ามาเรียกเสียงหัวเราะได้เข้าที (อันนี่เห็นมาตั้งเเต่ Avengers เเล้ว) เพียงเเต่ใส่เข้ามาไม่ถูกจังหวะมากนัก เเต่ที่โดดเด่นสุดๆ หลายฉากที่ดูน่าเบื่อจนพาลอยากหลับ พี่โลกิ กลับเรียกเสียงฮาได้อยู่หมัด มีเล่ห์เหลี่ยมโกงๆที่คาดไม่ถึง ขโมยซีนปล่อยของไปหลายดอก เผลอๆเเทบจะเด่นกว่าตัวเอกเสียอีก เด่นจนกลบเทพเจ้าทอร์ให้ดูธรรมดาไปเลย

  14. ภาคแรกดู”สด”กว่าเยอะครับ ภาคนี้ผมว่าธรรมดาครับ แต่ความหนุกระดับป๊อปคอร์นไป แต่ไม่มีอะไรน่าจดจำ..
    เห็นธีมของนางเอกจากช่วงแรกแล้ว …รู้เลยว่า มาคลายๆกับ Transformer 2 ธีมพยามดึงนางเอกเข้าจักรวาลของ super hero พยามจะให้มากกว่าเรื่องรักๆใคร่ๆ
    แต่ผมก็ยังมองว่าบทของ peper ใน Iron-Man ยังน่าจดจำกว่านะครับ

  15. ผมชอบมากกว่าภาคแรกครับ และชอบมากกว่า iron man 3 ด้วย
    เหตุผลง่ายๆคือ มันส์คับ
    ส่วนเรื่องประเด็น ธีมต่างๆที่ไม่ชัดเจน ช่างมัน5555

Leave a Reply to Thitiwut PunsawattCancel reply