กิจกรรม: แจกเสื้อจากหนัง Butler

the butler activityแม้ว่าหนังเรื่อง The Butler ของแฮนด์เมด ดิสทริบูิวชัน จะเข้ามาเป็นสัปดาห์ที่ 2 แล้ว แต่เราก็ยังมีกิจกรรมต่อเนื่องครับ คราวนี้ผู้จัดจำหน่ายได้มอบเสื้อให้เรา 5 ตัว มาแจกให้ผู้อ่านเว็บ 5 ท่านครับ

กติกาง่ายๆ ครับ สำหรับใครที่อยากได้เสื้อ เพียงแค่ถ้าคุณได้ชมหนังเรื่องนี้แล้วก็มาใส่ความเห็นกันในกล่องข้อความครับ วิจารณ์สั้นๆ หรือให้คะแนนหนัง หรือบอกว่าชอบอะไรในหนังเรื่องนี้ หรือไม่ชอบอะไรในหนังเรื่องนี้ได้หมดครับ แล้วให้อีเมลตรงช่องกรอกอีเมล หรือใส่ทวิตเตอร์ตรงช่องกรอก URL ไว้เพื่อติดต่อกลับได้โดยสะดวกครับ

ผมจะให้เวลาสำหรับเขียนกันถึงก่อนเที่ยงคืนวันพรุ่งนี้ (วันอาทิตย์ที่ 20) หากมีคนมาเขียนข้อความเกิน 5 คน เราก็จะใช้วิธีจับฉลากครับ

จะประกาศว่าใครได้รับเสื้อวันจันทร์ครับ เริ่มกันเลย

ประกาศผลการสุ่มจับฉลากครับ ผลออกมาดังนี้

1. Billy

2. WertyOmy

3. teerachat

4. tsanprasert

5. biggame

ขอให้ทั้ง 5 ท่าน ส่งชื่อ-ที่อยู่ ที่จะให้จัดส่งมาให้ทาง jediyuth@yahoo.com ด้วยครับ

butler shirt

12 comments

  1. เรื่องราวของคนใช้ผิวดำที่เล่าผ่านยุคสมัยทางการเมืองของสหรัฐ สอดแทรกประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ปัญหาครอบครัว ปมการขัดแย้งทางความคิดของพ่อและลูกชาย ซึ่งครอบคลุมชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อยในไร่ฝ้าย จนมาถึงช่วงที่บารัค โอบาม่าเป็น ปธน.

    จากการเล่าเรื่องที่กินเวลายาวนานหลายทศวรรษ ทำให้มีจุดบกพร่อง ด้วยเส้นเรื่องที่ชูมาทั้งครอบครัวและการเมือง ทำให้ไปไม่ถึงจุดใดจุดหนึ่งเต็มที่ แต่กลบเกลื่อนกันไปด้วยฝีมือการแสดงของนักแสดงในเรื่อง ที่มาเต็มกับบทที่ตนได้รับ ทั้งในแง่พลังความดราม่าของเจ้าของออสการ์อย่าง ฟอเรศ วิคเทเกอร์ พร้อมเพลิดเพลินไปกับนักแสดงดังๆ ที่ผลัดกันมาแสดงเป็น ปธน.ของสหรัฐฯ และที่เป็นสีสันที่น่าจะไปได้ไกลถึงออสการ์ คือ บทสมทบหญิงของเจ้าแม่ทอค์กโชว์ โอปร่า วินฟรีย์ ที่เรียกเสียงหัวเราะได้อย่างเปี่ยมประสิทธิภาพ

    ให้ 7/10 จ้า

  2. ชอบที่หนังเล่าเรื่องออกมาได้น่าติดตาม ไม่น่าเบือ มีการสอดแทรกภาพเหตุการณ์จริงได้น่าเชื่อถือ นักแสดงนำทุกคนเรียกได้ว่าเอาอยู่ มีมุกสอดแทรกไม่ให้หนังหนักเกินไป แม้ไม่รู้จักการเมืองอเมริกาก็ไม่ถือว่างงอะไร สนุกชอบครับ เยี่ยม

  3. ต้องถือว่านี่เป็นงานหนังอวยโอบาม่าสุดฤทธิ์ จึงไม่เเปลกใจที่ทําไมหนังถึงโดนใจคนอเมริกาส่วนมาก หนังยังมีทีมนักเเสดงตัวพ่อตัวเเม่ระดับออสการ์สิบกว่าชีวิตมาร่วมอยู่ในหนังเรื่องเดียว เเต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นฟอร์เรส วิเทเกอร์ ที่ทรงพลัง ทั้งทางน้ำเสียง สีหน้า แววตา ทําให้ตัวเรื่องดูดีมีมิติขึ้นทันตา

    เอาไป 6/10 ครับ

  4. ความสนุกของหนังเรื่องนี้ คือ เล่าเกี่ยวกับอารมณ์ ปัญหาของตัวละคร ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกัน ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พร้อมๆกับหน้าประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนไป อารมณ์เหมือนได้เรียนประวัติศาสตร์อเมริกาไปด้วยในตัว ส่วนตัวชอบมาก ให้9/10 ครับ

  5. หนังพูดถึงประเด็นของการเรียกร้องสิทธิความเสมอภาคระหว่างเชื้อชาติและสีผิว โดยได้แรงบัลดาลใจมากจากเรื่องจริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ความโหดร้ายนั้นก็ของจริง ซึ่งนี้เป็นวัตถุดิบชั้นดีในการสร้างหนังเรื่องนี้ให้รู้สึกน่าติดตามและตระหนักถึงเสรีภาพของประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องของความเป็นเสรีนิยมแบบสุดขั้ว แต่หนังที่พูดถึงคนผิวสีและทำโดยผู้กำกับผิวสีกลับสร้างได้ไร้สีสันในเชิงของภาพยนตร์ หนังทำได้เพียงบอกเล่าเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจ วิบากกรรมที่ครอบครัว ซีซิล (ฟอเรสต์ วินสเทเกอร์) ต้องเผชิญ หลายๆฉากทำได้ดี ซึ้งอินจนน้ำตาปริ่ม โดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ แต่หลายๆฉากก็ปวกเปียกและไร้พลัง หากไม่มีการแสดงอันยอดเยี่ยมของ ฟอเรสต์ และ โอปรา วินสฟรีย์ บวกกับเพลงประกอบที่ชวนเคลิ้ม ก็เป็นไปได้ที่จะหลับคาเบาะแดงท่ามกลางแอร์เย็นๆ หากแต่จุดที่สำคัญที่สุดที่หนังควรไปให้ถึงซึ่งก็คือตัวพ่อบ้านทำเนียบขาว ที่เหมือนหนังปูมาให้เป็นวีรบุรุษหลังม่านที่แท้จริงก็ไปได้ไม่สุดทาง รวมถึงและการ Change ของตัวละครหลักอย่างซีซิล หรืออะไรที่เอาชนะการแบ่งแยกลงได้ เรารับรู้เพียงแค่ฉากหน้าและหลัง แต่มิติอื่นเหนือจากนั้นเรากลับซึมซับมันได้ยาก
    เสียดายที่หนังมีวัตถุดิบราคาแพง และปรุงอย่างพิถีพิถัน แต่ต่อให้คนเสิร์ฟที่เป็นพ่อบ้านจะบริการดีแค่ไหน แต่สำหรับบ้านหลังนี้ มันกลมกล่อมไม่พอที่จะบอกว่า”อร่อยจริงๆ”

  6. หนังเรื่องนี้ผมเข้าไม่ถึงครับ ไม่ถึงแก่น ไม่ถึงอารมณ์ ไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมอะไรไปกับตัวละครซักเท่าไร คงด้วยเพราะส่วนตัวไม่ค่อยสนใจและรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ประธานาธิบดีของอเมริกาด้วยแหละ ผมว่าถ้าเป็นคนชอบด้านนี้ จะดูแล้วอินตามได้ไม่ยาก เพราะหนังก็เก็บรายละเอียดดีนะครับ หยิบจับช่วงสำคัญของแต่ละประธานาธิบดีมาเล่าได้ตรงจุดของเรื่องดี (ส่วนอื่นตัดทิ้งหมด) เกี่ยวกับยุคสมัยที่กำลังเหยียดผิวแบบรุนแรง และก็เริ่มที่จะมีการต่อต้านและสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนกัน

    ในส่วนดราม่าชีวิตพระเอก ความสัมพันธ์พ่อลูก ภรรยา เพื่อน พี่น้อง อะไรพวกนี้ ผมโอเคเลยนะ มีโดนบ้างเหมือนกัน โดยภาพรวมคือ ดูได้เรือยๆ มีขำบ้าง บางฉากก็น่ารักดี ส่วนตัวคิดว่า การเล่าเรื่องมันราบเรียบไปหน่อย การบิ๊วอารมณ์คนดูน้อยไปหน่อย ซึ่งนั้นอาจจะเกิดจากผมไม่อินเรื่องแนวนี้ก็ได้ครับ

    การแสดงของ ฟอเรสต์ ผมว่าดีมากเลยนะ ลูกตาเค้านี้ บ่งบอกอารมณ์ข้างในใจเค้าได้ดีมาก ส่วน โอปร้า (แฟนพระเอก) ก็เล่นดี สมกันเลยคู่นี้ นักแสดงเยอะครับเรื่องนี้ ดังๆ คุ้นๆหน้ากันทั้งนั้น โผล่กันมาไม่เยอะฉาก แต่ก็ถือว่าเป็นตัวสำคัญกันทั้งนั้นเลย

    โดยรวมละกันนะ ในแง่การแสดงผมว่าดี เนื้อเรื่องทำให้ดูได้เพลินๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกมีจุดพลิกผัน หรือจุดพีคอะไร ไม่ได้รู้สึกว่า การเป็นพ่อบ้านในทำเนียบขาว มันเจ๋งยังไง “แต่” คนที่ชอบประวัติศาสตร์ คงชอบกว่าผมแน่นอนครับ

    (ลองดูตัวอย่างหนังดูสิ ผมว่าตัดต่อดูดีมากเลย เพลงก็โคตรเพราะ (หลายฉากไม่มีในหนังนะนั่น) คือตัวอย่างทำให้รู้สึกว่า “พ่อบ้านทำเนียบขาว” จะมีชีวิตที่น่าสนใจเพราะได้คำพูดและการช่วยเหลือ หรือรับรู้อะไรที่มัน เจ๋งๆ จากประธานาธิบดี แต่ก็นะ …. )

  7. ส่วนตัวชอบหนังประวัติศาสตร์ึครับ เรื่องนี้งานของ Lee Daniels ผกก.ผิวสีจาก Precious ที่มีดีกับความดราม่า ผมเคยมีโอกาสได้ดูเรื่อง The paperboy ซึ่งผมไม่ึค่อยถูกใจเืท่าไหร่ ผมไม่ได้หลับกับหนังแต่มันเหมือนขาดความน่าสนใจเลยดูเบื่อๆ ส่วนเรื่องนี้ได้นักแสดงอย่าง Forest Whitaker ทำให้ผมอยากจะดูนึกถึงเรื่อง The Last King of Scotland เลยทีเดียวการแสดงดีมาก แค่วัตถุดิบต้นทุนก็ทำให้วางใจได้ระดับหนึ่ง
    ด้วยความเป็นประวัติศาสตร์ทำให้เกิดความน่าติดตามของหนังคือมันสร้างจากเรื่องจริงเป็นเรื่องของสิทธิชนสีผิวอีกเช่นกันสะท้อนเรื่องราวสังคมการใช้ชีวิตเป็นอยู่ได้ไ่ม่เลว มีบุคคลทางประวัติศาสตร์หลายท่าน ตัวละครหลักพ่อบ้านทำเนียบขาวที่รับใช้ประธานาธิบดีสหรัฐ Cecil Gaines แรงบันดาลใจในการสร้างจากชีวิตของ “Eugene Allen” พ่อบ้านในทำเนียบขาวตัวจริงที่รับใช้มาหลายช่วงอยู่ แต่อาจจะไม่ละเอียดนักเพราะเวลาในการเล่าเรื่องที่มี ในการดูยังเป็นหนังที่หนัง ที่ดูได้เรื่อยๆ มีฉากหดหู่ครียดบ้าง หนังพยายามเก็บเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ทำในทางตัวละครอาจจะไม่ผูกพันนักในการเล่าดำเนินเนื่อง
    ข้อดี สำหรับคนชอบหนังจากเรื่องจริงประเด็นของการเหยียดผิวสมัยก่อน ได้รู้ประวัติศาสตร์เพิ่มขึ้นอีกครับ
    6.5/10 ละกันครับ ชอบประวัติศาสตร์ให้่0.5ไปครับ

  8. ข้อวิจารณ์สั้นๆแล้วกันคับ โดยส่วนตัวผมชอบคับ ถึงแม้จะไม่ค่อยอินกันประเด็นเรื่องผิวสี แต่ประเด็นเรื่องครอบครัวทำได้ดี โดยรวมนักแสดงแสดงได้ดีคับ ดูได้เพลินๆ

  9. ผมยังไม่ได้ดูเลยอ่ะครับแต่ดู Trailer แล้วก็เหมือนความอดทนของชายผู้นี้เกียวกับคนดำที่โดนดูถูกเหมือนหนังเรื่อง Django Unchained กับ Australia (เห็นเสื้อสวยดีอยากได้บ่างอ่ะ ^_^a )

  10. ดูเรื่องนี้แล้วครับ ชอบมากตรงที่เห็นได้ชัดเจน ความรักของพ่อที่มีต่อลูกๆและภรรยา ตัวเองยอมทำงานหนักแม้ว้าจะขัดต่อความรู้สึกนึกคิดและสายตาที่ถูกมองอย่างดูถูกจากคนผิวขาว เขายอมทำเพื่อให้ครอบครัวไม่ลำบาก มีชีวิตอยู่สุขสบาย จะได้ไม่ลำบากเหมือนที่เขาเคยเป็นมา จนกระทั่งได้รับการยอมรับจากประธานาธิบดีคนแล้วคนเล่าที่ผ่านมาให้เขาได้รับใช้ ชื่นชมในความอดทน แต่เรื่องของการแบ่งแยกสีผิวก็ทำให้หนังเรื่องนี้มีสีสันต่างออกไป และในที่สุดเขาก็ค้นพบได้ว่า เขาควรจะทำอย่างไรกับช่วงเวลาที่เหลือ
    ชอบมากครับ แนะนำให้ไปดูกันแล้วจะรู้สึก ว่าคนผิวดำในแต่ก่อนนั้นมีชิีวิตที่ลำบาก รันทดทรหดอดทนแค่ไหน

  11. ดูเรื่องนี้แล้ว ชอบมากครับ สะท้อนให้เห็นความแบ่งเเยกทางชนชั้น
    ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เหยียดผิวแบบเขา แต่เราก็เข้าใจได้ครับ
    หนังเล่นประเด็นของสองพ่อลูกที่สู้เพื่อสิ่งเดียวกัน แต่ว่ามีทางเดินที่แตกต่างกัน
    อยากให้ทุกคนได้ดูครับ

Leave a Reply