กว่าจะเป็น “รักโง่ๆ” จากคำบอกเล่าของผู้กำกับพันธุ์ธัมม์ ทองสังข์

love syndrome articleรักโง่ๆ” (LoveSyndrome) ของผู้กำกับพันธุ์ธัมม์ ทองสังข์ จะเข้าฉายรอบทั่วไปในบ้านเราสุดสัปดาห์นี้ครับ เป็นหนังไทยแนวรักปนตลกที่ผมชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่งใน 1-2 ปีมานี้ มันยังมีความบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็มีความพิเศษมากพอที่ทำให้กล้าแนะนำให้ใครๆ ลองพิจารณาไปดูหนังเรื่องนี้กัน และบทหนังคือสิ่งที่ผมเห็นว่ามีความเก๋อยู่หลายอย่าง (เคยเขียนความเห็นสั้นๆ พร้อมความเห็นอื่นๆ จากผู้ชมในรอบเดียวกันมาให้อ่านไปแล้วที่นี่ครับ)

เพื่อให้ทุกท่านได้รู้จักความเป็นมาของหนัง “รักโง่ๆ” มากขึ้น มีบทสัมภาษณ์ที่ทางทีมงานของหนังได้สัมภาษณ์ผู้กำกับพันธุ์ธัมม์ ทองสังข์ แล้วส่งมาให้ครับ ผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์เป็นอย่างดีในแง่ที่ว่าจะทำให้ท่านได้เข้าใจที่มาของหนังมากขึ้นครับว่าเริ่มต้นอย่างไร แนวความคิดของหนังมาจากไหน ทำไมผู้กำกับอยากลองทำหนังรักดูบ้าง จึงลองนำมาเรียบเรียงให้เหมาะสมแก่การอ่านในเว็บมากขึ้น ลองอ่านกันดูครับ

ทำไมมาทำหนังรัก
หลังจากที่เคยกำกับหนังที่แตกต่างๆ หรือไม่ค่อยจะมีใครคิดจะทำอย่างดราม่าหนัก ๆ ใน”ไอ้ฟัก” หรือ หนังที่เหล่าน้องหมาแสดงใน”มะหมา“แล้ว คราวนี้เลยอยากท้าทายตัวเอง มาทำหนังที่ไม่แตกต่างเป็นหนังที่ผู้กำกับหลายๆ คนชอบทำกัน อยากท้าทายตัวเองว่าเราทำหนัง ที่ไม่แตกต่างได้ไหม ทำหนังแบบที่คนอื่น ๆ เขาทำมาเยอะแล้ว คนดูมาเยอะแล้ว เราจะทำให้เขาสนุกได้ไหม นั่นคือความท้าทาย จากความท้าทาย นี้เราก็ต้องมาคิดให้เป็นตัวเรามากที่สุด ถ้าจะเป็นหนังรักก็ต้องเป็นเรื่อง ความรักที่เรารู้จักดีที่สุด คิดอยู่นานว่าเรื่องจะเป็นยังไง

แล้วทำไมเป็น “รักโง่ๆ”
วันหนึ่งได้คุยกับเพื่อนสมัยเรียน กินข้าว กินเหล้าคุยกัน ก็เริ่มฟื้นความหลังเรา ความรักของแต่ละคนมาอำกัน พอขุดออกมาแต่ละเรื่อง เรื่องที่อำกันมัน ฮาสุด ๆ ก็คือเรื่องที่แต่ละคนเคยทำอะไรโง่ๆ เพื่อความรักทั้งนั้น ก็เลยได้ไอเดียว่า ความรักที่เรารู้จักดี และนำมาเล่าเป็นหนังได้สนุก ควรเป็นเรื่องที่คนเรายอมทำอะไรโง่ๆ เพื่อความรัก มันไม่ใช่แค่ขำสนุก แต่มันซึ้งด้วย เพราะแต่ละคนตอนที่มีความรักและทำอะไรโง่ๆ คนๆนั้นมักจะโรแมนติคสุดๆ เชื่อมั่น บูชาความรักสุดๆ

เช่น ตอนมัธยมเราแอบหลงรัก สาวต่างโรงเรียนที่มาเรียนพิเศษที่เดียวกัน เราก็เชื่อวิธีปลากัด เราใช้วิธี ส่งสายตาให้เขา เดินสวนกันก็มอง เขาเดินผ่านก็มองตามรอเขาหันมา ถ้ามีโอกาสจะไปนั่งตราข้ามแล้วพยายามมองเค้า เราคงมองเค้าเอาจริงเอาจังมากจนเพื่อนๆ เตือนว่ามึงจ้องขนาดนั้นเดียวเค้ากลัวนะโว้ยเราก็เถียง “พวกมึงไม่เคยมีความรัก พวกมึงไม่รู้หลอกว่า ดวงตา เป็นหน้าต่างของหัวใจ” แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยแอบมอง แอบส่งสายตาให้เขา จนเรียนไปได้ 2-3 คลาส เธอก็ย้ายไปเรียนห้องอื่น แอบรู้มาว่าเธอขอย้ายเอง เพื่อนๆ เลยอำขำ สงสัยเขากลัวโดยจ้องมากแล้วท้องในวัยเรียน เลยย้ายหนี

หรือ เรื่องของเพื่อนรุ่นน้อง สมมุติชื่อไอ้ม้า ที่หลงรักเพื่อนที่เป็นดาวคณะ สาวฮ็อทสมมุติชื่อ “จอย” ปีหนึ่งมันก็ลองๆ จีบ ด้วยความที่เธอเป็นสาวสวย ก็มีหนุ่มนอกคณะเป็นแฟนอยู่แล้ว แต่มันก็ยังคบยังคุย เพราะหวังจะชนะใจ และแล้วช่วงรับน้อง สาวเค้าโดนแฟนทิ้ง ส้มเลยหล่นใส่มัน เค้าคบมันเป็นเพื่อนสนิทมาก มันเชื่อว่าแบบนี้คือ แฟน แต่พอผ่านไปสัก 2-3 เดือน เค้าก็มีแฟนใหม่เป็นนักรักบี้ต่างคณะ มันก็อึ้ง แต่ก็ยังรักและรอ เหตุการณ์กลายเป็นวงจรรักของไอ้ม้า “พอเขาอกหักก็มาซบไหล่มัน ซบได้ไม่กี่วันเขาก็ไปมีแฟนตัวจริง มันก็เศร้าและเฝ้าคอย” เพื่อนบอกอีจอยมันเอาเปรียบมึงมั้ยอยากไปก็ไปอยากมาก็มา มึงจะรักมันทำไม ไอ้ม้าตอบ “กูจริงจังเรื่องความรัก กูเกิดมาเพื่อรักจอยคนเดียว ไม่ได้เกิดมามีรักทิ้งขว้างอย่างพวกมึง”

โคตรซึ้ง โคตรโรแมนติก

แล้วการเอาเรื่องยุคตัวเองมามันจะไม่เชยไม่ OUT สำหรับคนยุคนี้หรือ
ก็กลัวเหมือนกัน แต่เชื่อว่าแม้รายละเอียดการกระทำไม่เหมือนกัน แต่อารมณ์และอินเนอร์ แรงจูงใจของความโง่ในความรัก ไม่ต่างกัน เราเข้าใจแก่นเข้าใจหัวใจมันแต่อาจไม่รู้รายละเอียด ก็เลยคิดว่าคนเขียนบทจะช่วยได้ จึงเริ่มทำโครงการ Writer Leb เพื่อหาคนเขียนหารุ่นใหม่ เพื่อมาเขียนบทให้เรา ประกาศหาจากคนที่อยากเขียนบท แล้วคัดเลือกมาเขียน จนในที่สุดจากหลายร้อยคัดเหลือ 4-5 คน ที่เราเชื่อว่าเค้ามีศักยภาพที่จะเขียนบทหนังรัก จากนั้นก็เขียนกัน LoveSyndrome นี่เขียนกันสัก 2 ปี แก้กันถึงเปิดกล้องก็เขียนปรับ แก้กันไปเรื่อยๆ

เราเลยไม่กลัวว่ามันจะ Out จะเฉย เพราะน้อง ๆ ที่เขียนทันสมัยมาก ๆ และที่สำคัญแม้แต่ละคนมีภูมิหลังชีวิตที่ต่างกัน แต่ก็มีนิสัยช่างประชดประชันแดกดันความรักเหมือนกันเพราะพวกเขายังโสด

เท่านั้นไม่พอเรายังทดสอบหนังเรื่องนี้ ทดสอบกับกลุ่มคนดูอายุ 18-30 ปี บ่อยมาก ทดสอบตั้งแต่เป็นบท เขียนเสร็จพอใจกันก็เรียกคนมาฟังการอ่านบทเหมือนมาฟังหนังทั้งเรื่อง พอฟังเสร็จก็ขอความเห็นแล้วก็เอาไปปรับ ทำแบบนี้หลายครั้ง เพื่อให้รู้ว่าสนุกไหม มุกไหนเวิร์ค มุกไหนไม่เวิร์ค แล้วเราก็ปรับบทสัก 20 ร่าง

พอถ่ายหนังเสร็จ ตัดต่อร่าง 1 พอใจก็เอามาฉายให้คนดู พอมีคนดูแล้วเราได้นั่งอยู่ด้วยเราก็จะเข้าใจอารมณ์ การตอบสนองคนดู เพราะเราจะได้ยินได้เห็น พวกเขาขำ หัวเราะ อิน ร้องไห้ ในตรงที่เขาชอบ และถ้าตรงไหนน่าเบื่อเขาหาว,จะเกาก้น,ขยับตัว,ลุกไปห้องน้ำ เราจะรู้เลย จากนั้นก็มาตัดต่อ แก้และถ่ายซ่อม จนถึงตอนนี้ฉายให้คนดูไปแล้วสักเกือบ 20 ครั้ง จนได้ Final อันนี้ที่เราและคนดู OK กันที่สุด เป็นหนังรักที่มีทั้งยิ้ม ขำ หัวเราะ ซึ้ง เศร้า แบบที่เขาเรียก หัวเราะทั้งน้ำตา ตอนนี้เราเลยเชื่อว่าไม่เชยแน่นอน

ปีที่ผ่านมามีหนังรักเยอะมากหลายๆคนถึงกับเบื่อหนังรักไม่กลัวหรือ
ก็กลัวนะ เพราะ คนจะรู้สึก แม้แต่เราก็รู้สึกว่า โห หนังรักเยอะมาก และที่สำคัญ หลายๆเรื่องก็โหน กระแสตีหัวเข้าบ้าน ทำให้คนดูผิดหวังบ่อยมากจนกลัวคนจะเหมาเบื่อหนังรัก ทั้งหมด แต่เราก็ยังมีความเชื่อว่าความน่าเบื่อนั้นมันเกิดขึ้นเพราะสองส่วนคือ

1.) ความซ้ำซากจำเจ เรื่องราวแบบเดิมๆมุกตลกแบบเดิมๆ เคยดูเคยเห็นมาเยอะแล้ว

2.) การทำแบบสุกเอาเผากิน ไม่ตั้งใจ ไม่ทุ่มเทโปรดักชันเล็ก เน้นงบน้อย เขียนบทกันเดือน 2 เดือน รีบเขียน รีบถ่าย รีบฉาย

สรุปคืองานไม่มีคุณภาพ ไม่ได้หมายถึงคุณภาพเอารางวัลนะ แต่เป็นคุณภาพต่อคนดูคือหนังมันไม่สนุก คนก็ไม่อยากดู เราก็เลยทุ่มเท ที่จะแก้ไข 2 สิ่งนี้ให้ได้ พยายามทำไม่ให้ซ้ำ และ พิถีพิถัน ให้เวลากับงานเต็มที่ เราอยู่กับหนังเรื่องนี้กันมา เกือบ 3 ปี ตั้งแต่ยังไม่เปิดกล้องมะหมา 2 เริ่มทำบท กุมภาพันธ์ 2011 เริ่มถ่าย ตุลาคม 2012 เริ่มตัดต่อ กุมภาพันธ์ 2013 เสร็จกันยายน 2013 เราไม่เร่ง พยายามหาจุดบกพร่องและแก้ไขให้ดีที่สุด

จนถึงตอนนี้หลังจากฉายทดสอบ และแก้ไขมา เกือบ 20ครั้ง ก็เชื่อมั่นว่าหนังเราดูสนุก คนดูจะได้ทั้ง ยิ้มขำ หัวเราะ ซึ้ง ร้องไห้ ครบรสหนัง Romantic Comedy แต่ก็จะแตกต่างกับหนังรักทั่วไปตรงที่จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้เป็น “หนังไม่รัก”คือเป็นหนังที่พระเอกนางเอก ไม่ต้องสมหวังความรัก ก็มีความสุขได้ คนดูหลายๆคนจะชอบจุดนี้มาก

พอเรามั่นใจหนัง ความกลัวก็ลดลง แต่ก็ยังหวั่นๆ ว่าคนดูเขาไม่ได้ดูเขาจะรู้เหรอว่าสนุก เขาจะเหมารวมหนังเราไปกับหนังรักที่เขาผิดหวังเหล่านั้นมั้ย อันนี้การ PR โฆษณา ก็ต้องคิด ต้องพยายามบอกให้ได้ เราจะจัดให้มีการฉายแคมปัสทัวร์สักเกือบ 10 แห่งในช่วงเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้คนได้ชิมได้ทดสอบว่าหนังเราเป็นไง และเชื่อว่าจะมีผลตอบรับที่ดี ที่จะพูดถึงหนังเรื่องนี้กันก่อนวันหนังฉาย 10 ตุลาคม

รู้มาว่าในเรื่อง Love Syndrome นี่ต้องทำหน้าที่หลายอย่างมาก อะไรบ้าง ทำไมต้องทำเยอะขนาดนั้น
ทำเยอะจริง ตั้งแต่คิดไอเดียหนัง สอนน้องเขียนบท ร่วมคอมเมนต์บท แคสติ้งหานักแสดง กำกับ อำนวยการสร้าง วางแผนโฆษณา ดูแลการทำโปสเตอร์ การทำคัวอย่างหนัง และก็ร่วมลงทุนด้วย

ที่เราทำเยอะก็เพราะ เราไม่ใช่ค่ายหนังใหญ่โต เราทำหนัง 2 ปี เรื่อง จึงไม่มีทีมงานประจำมาช่วย และก็เช่นกันจึงไม่มีใครมาควบคุมเราว่าหนังเราจะเป็นยังไง เราเป็นคนทำหนังอิสระ หนังรักเรื่องนี้จึงเป็น หนังรักอิสระ

พอเป็นหนังอิสระ ก็ดีตรงที่เราไม่ถูกควบคุม แต่ไม่ดีตรงเราไม่มี Back- Up ซึ่งเราก็เลือกที่จะอยู่ตรงนี้ แบบได้ทำในสิ่งที่เรารักเราเชื่อเรามีความสุข และเราก็โชคดีที่มีพี่ๆเพื่อนๆ คอยช่วยเป็น Back -Up ด้วยความรัก อย่างนักแสดงก็ได้ คุณบอย ถกลเกียรติ ให้โตโน่ มาเล่นหนังเป็นครั้งแรก เพลงประกอบ พี่ตี่(กริช ทอมมัส) ก็ช่วยในส่วนเพลง Gmm และมีพี่สิทธิชัยรุ่นพี่นิเทศ ช่วยพาไปหาไปแนะนำ Small room คน Small room ก็แสนดี ช่วยเหลือทำดนตรีในเพลงให้ใหม่ และให้ Tattoo Color มาร่วมแสดง หรือ เพลงนำภาพยนตร์ ก็ได้คุณต่อ แสนคม มากำกับ Music Video ส่วนเส้นร้องของโตโน่ และดูแลทำเพลง LOVE ขึ้นใหม่ให้
ไม่แค่นั้นนะ เรายังได้คุณจอร์จเพื่อนเซนต์คาเบรียลที่เป็น CEO Leo Burnette แนะนำลูกค้าซัมซุง ให้จนได้เขามาเป็น Sponsor และมีเพื่อนที่เป็นเจ้าของกิจการอย่าง คุ๊กกี๊ Imperial และแป้งโกกิ มาช่วยเป็นSponsor รวมทั้ง Central และ โรงแรมแม่น้ำ ก็ให้ถ่ายฟรีไม่คิดเงิน

เราต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเหลือเรา เพราะเราทุนน้อยแต่เพื่อนๆพี่ๆเยอะ จริงๆยังมีอีกหลายคนที่เราไปรบกวน ต้องขอโทษบางคนที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ ขอบคุณมากๆ รวมทั้ง Pantner เรา ที่มีทั้ง เซียนหุ้น.นักธุรกิจที่ดิน และคนในวงการหนังเอง ทุกคนช่วยเหลือเรามาก และที่สำคัญ การทำหนังครั้งนี้ ทำโดยใช้ชื่อ บริษัท ที่ฟ้า ภาพยนตร์ จำกัด ซึ่งเดิมที่ฟ้า เป็น บริษัท ของ GMM GRAMMY ที่เราเคยบริหาร ตอนสร้างหนัง สัตว์ประหลาด, ล่าท้าผี, แสงศตวรรษ,มะหมา และโลง ต่อ ตาย เราเคยเป็น MD แต่บริษัท มันไม่มีกำไรก็ปิดตัวลงด้วยเหตุผลทางธุรกิจ เมื่อเราจะมาทำบริษัทหนังอีกครั้งด้วยตัวเองก็ขอชื่อนี้จากGMMมาใช้ เลยฝากพี่เล็ก (บุษบา ดาวเรือง) ไปขอพี่บูลย์ (ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม) พี่ทั้งสองก็เมตตา เราก็ได้ชื่อนี้มาใช้เป็นบริษัทหนังอีกครั้ง เป็นการกลับมาอีกครั้งของ ที่ฟ้า แต่ครั้งนี้ ที่ฟ้า ไม่ใช่ ของ GMM แล้วนะครับ แต่พี่ๆจาก GMM ช่วยเยอะมากเลยครับ

One comment

Leave a Reply