โครงการ”ปั้นน้ำเป็นเงิน”มูลนิธิเกียรติ-เจริญฯ เปิดอบรมเขียนบทหนังฟรี หมดเขตรับสมัคร 30ก.ย.
ถ้าคุณอยากเป็นคนเขียนบทหนัง โครงการนี้น่าสนใจมากๆ ครับ เพราะมูลนิธิเกียรติ-เจริญ เอี่ยมพึ่งพร เปิดอบรมอาชีพเขียนบทภาพยนตร์ ชื่อว่า “โครงการปั้นน้ำเป็นงิน” มีวิทยากรระดับพระกาฬทั้งนั้น อาทิ เป็นเอก รัตนเรือง, จิระ มะลิกุล, โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล, คงเดช จาตุรันต์รัศมี, อาทิตย์ อัสสรัตน์, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, วิทยา ทองอยู่ยง, อมราพร แผ่นดินทอง, เป็นต้น
โครงการเปิดรับสมัครมาสักระยะแล้ว แต่ผมเพิ่งว่างเอาข่าวมาลงครับ และก็ยังพอมีเวลาอยู่ เนื่องจากจะปิดรับสมัคร 30 กันยายนนี้ รายละเอียดทางการของโครงการอยู่ตามด้านล่างนี้เลย
โค้งสุดท้าย ของคนมีฝัน มีไฟ!!!
มูลนิธิเกียรติ-เจริญ เอี่ยมพึ่งพร เปิดอบรมอาชีพเขียนบทภาพยนตร์
หลักสูตรข้น อาจารย์เข้ม เนื้อหาเปรี๊ยะ!!!
มูลนิธิเกียรติ-เจริญ เอี่ยมพึ่งพร ก่อตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึง 2 ผู้บุกเบิกวงการภาพยนตร์ไทย “คุณเกียรติ เอี่ยมพึ่งพร และ คุณเจริญ เอี่ยมพึ่งพร” ผู้สร้างผลงานภาพยนตร์ไทยมากว่า 260 เรื่อง สนับสนุนวงการภาพยนตร์ไทยมายาวนานกว่า 40 ปี มาวันนี้เจตนารมณ์ที่ดีที่เคยมีต่อวงการของทั้งสอง ได้รับการสานต่อโดยทายาทตระกูลเอี่ยมพึ่งพร และเพื่อนพ้องในวงการภาพยนตร์ ร่วมกันก่อตั้งมูลนิธิฯ นี้ขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของคนในวงการภาพยนตร์ไทย ประเดิมโครงการแรก “ปั้นน้ำเป็นเงิน” โครงการที่อบรมการเขียนบทภาพยนตร์ เพื่อสนับสนุนคนเขียนบทภาพยนตร์ไทย ให้เติบโตและแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมโค้งสุดท้ายของคนมีฝัน มีไฟ มีความตั้งใจอยากเป็นนักเขียนบทภาพยนตร์มืออาชีพ กับ โครงการ ปั้นน้ำเป็นเงิน ที่อัดแน่นไปด้วย การสอน การเรียน และ การฝึกฝน ในหัวข้อสำคัญสำหรับการเป็นนักเขียนบทอาชีพ ตั่งแต่ พื้นฐานการดูหนังแบบคนทำหนัง, เรื่องเล่าที่ดี, การสร้างตัวละครที่คนดูมีความรู้สึกร่วม, การพล็อตเรื่องแบบ 3 องก์, การเขียนจากเรื่องใกล้ตัว, การเขียนด้วยวิธีตั้งสมมติฐานจะเกิดอะไรขึ้นถ้า, การเขียนบทโดยมีโลเคชั่นเป็นแรงบันดาลใจ, การเขียนบทดัดแปลงจากนวนิยาย จนถึงการเขียนบทเป็นทีมแบบปฏิบัติได้จริง โดยอาจารย์ผู้ที่จะมาให้ความรู้ เป็นผู้เขียนบทและผู้กำกับภาพยนตร์ ที่กวาดทั้งรางวัลและรายได้จากในประเทศและต่างประเทศ อาทิ เป็นเอก รัตนเรือง, จิระ มะลิกุล, โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล, คงเดช จาตุรันต์รัศมี, อาทิตย์ อัสสรัตน์, นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์, วิทยา ทองอยู่ยง, อมราพร แผ่นดินทอง เป็นต้น
เริ่มอบรมตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม ถึง 23 กุมภาพันธ์ 2557 ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ตลอดทั้งวัน รวม 8 สัปดาห์ ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดวัย ขอแค่คุณสนใจ และอยากเป็นนักเขียนมืออาชีพ
วิธีการสมัครก็แสนง่ายเพียงแค่เขียน “ขายตัวคุณเองให้เราซื้อ” ขนาดความยาว 1 หน้ากระดาษ A4 ด้วยการเล่าเรื่องราวชีวิตคุณช่วงใดช่วงหนึ่ง โดยเลือกจากเรื่อง :-
ก. สุดมัน (แอ็คชั่น)
ข. สุดฮา (คอมเมดี้)
ค. สุดซึ้ง (ดรามา)
ง. สุดหลอน (ฮอเรอร์)โดยส่งเป็นไฟล์พีดีเอฟ (.pdf) อีเมล์มาที่ info@kiat-chareon.com สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 กันยายน 2556 และจะประกาศผลผู้ได้รับการคัดเลือก 30 คน ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2556 ทาง www.kiat-chareon.com
โครงการ”ปั้นน้ำเป็นเงิน” เนื้อเรื่องแนวคอมมีดี้
ชื่อเรื่อง
มุมมองเรื่องของความคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้มีความสุข
“เรามามองเรื่องร้ายๆให้มันเป็นเรื่องขำๆกันดีกว่ามั๊ย คิดมากไปจะทำให้เป็นทุกข์ไปเปล่าๆ ” คำๆนี้รู้สึกว่าจะเป็นคำพูดของหนังหรือว่าละครเรื่องไหนก็ไม่รู้อ่ะ แต่ผมเคยได้ยินมาว่างั้น 55 คำนี้แหละที่มันเป็นจุดเริ่มต้นของการมองโลกในแง่ดีของผม แต่ใครจะคิดล่ะครับว่า ในชีวิตจริงของกระผมนั้น “ไม่เคย” เจอเรื่องที่มันจะทำให้มองในแง่ดีได้เลย ลองมาอ่านกันดูนะครับว่าผมมองเรื่องร้ายๆเหล่านั้นให้มันเป็นเรื่องตลกขำๆได้ยังไง
เริ่มตั้งแต่เด็กๆเลยดีกว่าก่อนที่ผมจะได้รู้จักกับสารพัด “ความซวย” ผมนั้นมีชีวิตที่แสนสุขสบายเสียนี่กระไร ก็วันๆมีแต่ กินกับเรียน เรียนรู้ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆ (แต่ตอนโตเสือกไม่กระดิก 555) นั่งทานข้าวบนโต๊ะหลุยส์ นอนดูการ์ตูนบนเตียงขนาดใหญ่หนานุ่ม มีคนเล่านิทานให้ฟังก่อนนอนทุกคืน แถมยังเคยได้ไปเที่ยวต่างประเทศที่เด็กๆทุกคนใฝ่ฝัน “ดีสนี่แลนด์” นั่นเอง แต่แล้ว “ความซวย” ก็เริ่มเข้ามาในชีวิตผมตอนอายุประมาณได้ 5 ขวด เอ้ย ขรวบ เอ้ย ขวบ เอ้ย (ถูกแล้วไอ้บ้า) เมื่อบิดาของผมที่ยังอยู่ครบ (ผมบนหัวนะ) เกิดอยากจะรับผิดชอบในตัวผมขึ้นมา (จะมาอยากอะไรตอนนี้ ตอนแรกดันไม่คิดถึงกัน ชิๆ) พอพ่อผมรับผมกลับมาอยู่ด้วยไม่นาน ก็ออกอาการ “ทิ้งขว้าง” เอาแบบง่ายๆ เอาล่ะสิตรู ผมต้องกลายเป็นเด็กหัวเน่าที่ไม่มีคนในบ้านอยากจะสนใจ ไม่มีบทบาทอะไรนอกจาก ตื่นเช้ามาอาบน้ำ ทานข้าว ไปโรงเรียน ซึ่งมีคนไปส่งแค่ตอนปฐมนิเทศเท่านั้น จากนั้นไปเองกลับเองตลอด เอาล่ะ อย่าน้ำเยอะ เอาเข้าเรื่องเลย คือว่าไอ้การที่ผมไม่มีคนสนใจนี่แหละ ทำให้ผมมีความคิดเเละมุมมองไม่เหมือนกับคนอื่นๆ คือจะเป็นคนเก็บกด แต่ไม่ฟุ้งซ่าน ชอบระบายโดยการหาอะไรที่พิเรนท์ๆทำ ให้มันเกิดเรื่องที่ทำให้ชาวบ้านเค้าต้องปวดหัวไปตามๆกันกับการกระทำที่ไม่เหมือนใครของผม เช่น ชอบหนีออกจากบ้าน ไปไหนมาไหนคนเดียว (ตอนเด็กนะนี่) ไม่ชอบอยู่ในบ้านสักเท่าไหร่ ไปนั่งโล้ชิงช้าหน้าหมู่บ้านเป็นประจำคนเดียว อะไรประมาณนี้ แต่สิ่งที่ผมชอบทำมากที่สุดคือ การหนีออกจากบ้าน ถึงกับต้องแจ้งความกันเลยทีเดียว 55 ไม่คิดมาก่อนเลยว่าสิ่งต่างๆที่ผมทำในตอนเด็กๆนั้น มันทำให้ผมได้เห็นอะไรๆหลายสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ภายนอกอยู่บ่อยๆ ผมได้ซึมซับมันไปทีละน้อย ทีละน้อย จนทำให้ได้ความคิดและมุมมองที่แตกต่างจากเด็กในวัยเดียวกัน ที่ต้องทำหน้าที่แค่ เรียน เล่น พักผ่อน แค่นั้น ผมเริ่มมองโลกในแง่ดีตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะ (แต่ผมยังไม่รู้เท่านั้นเอง อิอิ) ผมได้เห็นครอบครัวของหลายๆคนใช้ชีวิตในแบบต่างๆ ทั้งแบบที่เรียบง่าย อบอุ่น เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ แล้วก็แบบที่โดดเดี่ยว มีปัญหา ขาดความสามัคคีปรองดองกันภายในครอบครัว (ซึ่งนั่นก็รวมถึงครอบครัวของผมด้วยนั่นเอง ฮือๆเศร้า) กับครอบครัวที่ยากจน ปากกัดตีนถีบ ต้องใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดบ้าง ปะบ้าง อดมื้อกินมื้อ แต่เค้าก็อยู่กันได้เนอะ ผมเลยเกิดความสงสัยว่าทำไมคนเราถึงมีไม่เท่ากันทั้งๆที่เป็นคนเหมือนๆกัน ถ้าเราเกิดเป็นแบบอย่างหลังนี่ ผมจะทำยังไง จะอยู่ยังไง จะได้เรียนหนังสือมั๊ย จะมีข้าวกินทุกมื้อหรือเปล่า แล้วจะมีวิธีที่จะทำให้เค้ามีชีวิตที่ดีขึ้นมั๊ย ผมเฝ้าแต่คิดวนอยู่อย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา ทุกครั้งที่เกิดความคิดนี้ผมจะต้องมานั่งคิดอยู่ตรงบ้านสังกะสีผุๆ ของครอบครัวที่ยากจนที่กล่าวมาตรงนี้ประจำ ผมเฝ้าสังเกตุการณ์เหตุการณ์ของครอบครัวนั้นทุกวันๆ จะว่าผมสงสารก็ได้มั้ง แต่เรายังเป็นเด็กๆอยู่นี่นา จะไปช่วยอะไรเค้าได้ แต่สิ่งที่ผมเห็นว่ามันผิดแปลกไปจากปกติที่คนที่ยากจนจะพึงปฏิบัติ นั่นก็คือ “รอยยิ้ม” ผมเห็นพ่อที่กลับมาจากไปหาปลา เอามาให้แม่บ้านที่กำลังพับถุงกระดาษอยู่กับลูกชายสองคน แม่ลูกคู่นั้นจะรีบวางมือจากการพับถุงกระดาษนั้นทันที แล้วคนเป็นลูกก็จะรีบไปเอาน้ำจากตุ่มที่รองจากน้ำฝนตักมาให้พ่อดื่มแบบรู้งาน ส่วนแม่ก็นำปลาที่พ่อหามาได้นำไปเข้าครัวเพื่อทำกับข้าวทานกัน ข้าวที่หุงแบบเช็ดน้ำ ไม่มีเตาแก๊สหรือว่าหม้อหุงข้าว มีแต่ตะเกียงเจ้าพายุเก่าๆอยู่สองดวงเท่านั้นที่ใช้เป็นแสงสว่างภายในบ้านสังกะสีเก่าๆหลังนั้น ผมเห็นว่าเค้าไม่เห็นจะมีความทุกข์ตรงไหนเลย ทำไมเค้าเหล่านั้นถึงยิ้มอย่างมีความสุขได้ ผมนั่งดูอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีก็มีมือที่หยาบกร้านของเด็กชายที่อายุประมาณรุ่นราวคราวเดียวกับผม ใช่แล้ว เค้าคือลูกชายของครอบครัวนั้นนี่นา เด็กคนนั้นจับที่ไหล่ผมเบาๆแล้วพูดว่า “นายๆ แม่กับพ่อเราเค้าเรียกไปทานข้าวด้วยกันแน่ะ เค้าเห็นมานั่งหลายวันแล้ว เราก็เห็น มาสิมาทานข้าวด้วยกัน” พูดเสร็จเด็กคนนั้นก็ส่งยิ้มให้ผมแบบที่ผมรู้สึกได้ว่าเคยได้รับเมื่อตอนที่ผมยังอยู่สบายๆที่บ้านญาติของผม ผมเดินตามเด็กคนนั้นไปแบบไม่รู้ตัว ถ้าเป็นเด็กคนอื่นๆคงจะรังเกียจหรือไม่ก็คงไม่มานั่งดูอะไรแบบนี้เหมือนผมแน่ๆ ผมเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น เห็นพ่อกับแม่ของเด็กชายคนนั้นกำลังตักข้าวใส่จานกับเตรียมน้ำฝนใส่ขันไว้ที่วงข้าวกลางบ้าน เสียงไม่กระดานดังออดแอดๆทุกครั้งที่เท้าน้อยๆของผมเหยียบลงไป เอ๊ะ ทำไมเค้าเดินกันไม่ดัง แต่เราเดินดังอยู่คนเดียว ทุกคนส่งยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร แม่ของเด็กคนนั้นส่งจานข้าวมาให้ผม มีข้าวสวยร้อนๆเรียงกันเป็นเม็ดๆอยู่บนจานใบนั้น รู้สึกหิวขึ้นมาทันทีเลยเรา (จะหน้าด้านก็คงด้านตั้งแต่เดินตามเค้าไปแล้วล่ะครับพี่น้อง 555) กับข้าวนั้นมีผักต้ม กับปลานึ่ง แล้วก็น้ำจิ้มแจ่วอิสาน ที่สีสันชวนให้แสบท้อง (น่าจะเผ็ดเอาการ ผมไม่ทานเผ็ดซะด้วยสิ ตอนเด็กน่ะ) ผมรับจานนั้นมาแล้วก็กล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ลงมือทานข้าวกันสี่คน พ่อแม่ลูก (กับ”แขกดอย” ไปผวนกันเอาเอง อิอิ) ไม่น่าเชื่อ อร่อยอ่ะ ผมนั่งทานได้ทุกอย่างยกเว้นน้ำพริก ผักต้มนี่มันช่างหวานนุ่มลิ้นดีจัง ส่วนปลาก็ไม่แข็งนึ่งไม่เปื่อยเกล็ดก็ไม่มีติดหนังปลาให้ต้องเขี่ยเล่นเลย ผมพยายามจะตักปลาตรงกลางเพื่อที่จะได้เนื้อเยอะๆ (ตามสันดานตะกละของผม อิอิ เป็นมาตั้งแต่จำความได้) ซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยโดนที่บ้านตัวเองด่าประจำเรื่องกินแบบไม่เกรงใจคนที่เค้าทานด้วยกัน แต่ที่บ้านเก่าๆหลังนี้ ไม่มีใครว่าในความตะกละของผมเลยสักคน แถมยังช่วยผมตักปลาให้ด้วย ผมรู้สึกอบอุ่นยังไงไม่รู้ เป็นความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับมาก่อน จากครอบครัวคนแปลกหน้า จริงๆแล้วผมนี่แหละเป็นเด็กแปลกหน้า อิอิ ระหว่างที่ทานข้าวกัน พ่อของเด็กคนนั้นก็ได้พูดคุยกับเมียและลูกของเค้าอย่างมีความสุข ประโยคที่สนทนากันนั้นเป็นเรื่องของการทำมาหากินล้วนๆ มันเป็นเรื่องที่น่าเครียดนี่นา ทำไมครอบครัวนี้่ถึงนำมาพูดคุยกันได้อย่างสนุกสนาน เค้าถามผมว่า “อยู่แถวนี้หรือไอ้หนู ลุงเห็นมานั่งคนเดียวแถวนี้หลายวันแล้ว หนีออกมาจากบ้านหรือเปล่า เดี๋ยวลุงไปส่งให้เอามั๊ย ออกมาคนเดียวอย่างนี้ไม่กลัวมีคนมาจับตัวไปเหรอ?” น้ำเสียงที่เอ่ยถามผมนั้นรู้สึกได้เลยว่าเป็นคำถามที่ถามด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง ผมบอกว่า “อ๋อ ผมอยู่ในหมู่บ้านนี้เองครับ อยู่เกือบๆท้ายหมู่บ้านครับ” (ผมชอบออกมาเดินเล่นที่สนามเด็กเล่นหน้าหมู่บ้านประจำ อ้อ ลืมบอกไปว่าบ้านโทรมๆของครอบครัวนี้ คนที่เป็นพ่อนั้นทำงานเป็นยามของหมู่บ้านข้างๆหมู่บ้านที่ผมอยู่นี้เอง แต่ว่าได้ปลูกกระต๊อบอยู่ตรงกลางระหว่างทางที่จะไปอีกหมู่บ้านนึงนี่เองครับ ซึ่งจะอยู่ใกล้ๆกับสนามเด็กเล่นหน้าหมู่บ้านของผมนี่เอง) ผมนั่งคุยกับครอบครัวนั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าชีวิตของครอบครัวนี้ช่างแตกต่างกับครอบครัวของผมโดยสิ้นเชิง “ผมขอมาบ่อยๆนะครับข้าวที่นี่ทานแล้วอิ่มดีจัง ผมชอบ” “ได้สิหนูมาได้ทุกวันเลยจ๊ะ ป้าจะหุงข้าวเผื่อนะ ดีใจที่มีคนมานั่งทานข้าวเป็นเพื่อนลูกของป้า” ผมงงกับคำพูดของป้าที่ว่า มานั่งเป็นเพื่อนของลูกป้า ก็เลยถามออกไปแบบไม่คิดว่าคำตอบที่ได้ฟังมันจะสะเทือนใจผมเหลือเกิน ป้าบอกว่า “ก็ลูกของป้าน่ะ ไม่มีใครเค้าอยากเป็นเพื่อนด้วยเลยสักคน เค้าว่าลูกของป้าจน แต่งตัวก็สกปรก ผมเผ้าก็ไม่ได้หวีไม่ได้ตัดบ่อยๆเหมือนคนอื่นเค้า ขนาดเรียนโรงเรียนวัดนะ ยังรังเกียจกันได้ เฮ้อ” คนเป็นแม่เล่าให้ผมฟังแล้วน้ำตาคลอนิดหน่อย ส่วนผมนั้นไม่ต้องสืบครับ ตาแดงกล่ำคลอไปด้วยน้ำตาเลยทีเดียว ตัวผมน่ะก็ไม่ต่างจากเด็กคนนี้หรอก ถึงจะอยู่ในครอบครัวที่มีอันจะกิน แต่ที่โรงเรียนผมก็ไม่ค่อยมีคนอยากจะเป็นเพื่อนกับผมสักเท่าไหร่ เป็นเพราะผมนั้นไม่ค่อยสุงสิงหรือพูดคุยกับใครสักเท่าไหร่ ผมคิดว่านี่คงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ลองมีเพื่อนกับเค้าดูมั่ง ผมบอกชื่อของผมให้ครอบครัวนั้นรู้จักแล้วก็ถามชื่อของทุกคนในครอบครัวนั้น สรุปผมได้ที่สิงสถิตใหม่แล้ว เย๊ 555+ ลุงคนนั้นชื่อ ประกาย ส่วนป้าชื่อ ป้าวิไล ส่วนลูกชายนั้นชื่อ ป้อม ผมพูดคุยได้อีกสักพักใหญ่ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเราออกจากบ้านมานานแล้วน่าจะกลับบ้านได้สักที พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนอีกนี่นา ดูนาฬิกาที่ข้อมือตัวเองเป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆแล้ว “ชิหาเลี้ยวว” ป่านนี้คงจะออกตามหาเรากันอุตลุตเหมือนเดิม เฮ้อเซ็ง โดนด่ายกบ้านอีกแล้ว ผมเลยรีบขอตัวกลับบ้านก่อน ป้อมเดินมาส่งผมที่หน้าหมู่บ้าน เป็นอย่างที่ผมคิดไว้เป๊ะเลย ทุกคนในบ้านของผมยืนออกันอยู่ที่หน้าป้อมยามหน้าหมู่บ้าน มีสายตรวจอยู่สองนายกำลังพูดคุยกับคนที่บ้านของผมอยู่ ผมจะทำไงดี โดนห้ามออกจากบ้านยาวๆแน่เลย ผมหันไปถามป้อมเพื่อนใหม่ของผมว่า “เราคงไม่ได้ออกจากบ้านสักพักใหญ่เลยแหละ ถ้าไม่กลับบ้านให้ถึงก่อนพวกเค้า ” ป้อมบอกกับผมว่า “เราช่วยนายได้นะ มีทางลัดไปออกตรงข้างๆหมู่บ้านพอดี มาสิ จะพาไป” ผมรีบเดินกึ่งวิ่งตามป้อมไปทางข้างหมู่บ้านอีกหมู่บ้านนึง จนมาถึงประตูที่กั้นระหว่างหมู่บ้าน “ประตูปิดอยู่” ทำไงดี ป้อมบอกว่า นายปีนเป็นมั๊ย คงต้องปีนข้ามไป ไม่งั้นก็กลับไปไม่ทันแน่ๆ ผมก็เรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมี เพราะว่าเป็นคนตัวเล็ก ผอมแห้งแรงน้อย มีทางเดียวก็ต้องปีน เลยรวบรวมความกล้าปีนข้ามไป ผมเป็นโรคกลัวความสูงซะด้วยสิ เอาวะ ปีนก็ปีน ผมปีนขึ้นไปช้าๆ ขาผมสั่นมาก แต่ป้อมก็ช่วยผมอีกแรงเอามือดันตัวดันขาผมไว้ ก็เลยปีนขึ้นไปได้ไม่ยาก แต่ตอนลงนี่สิ ทำไงดีเนี่ย ป้อมเห็นว่าผมอยู่บนประตูไม่ยอมลงไปสักที ก็เลยปีนขึ้นมาช่วยพาผมลงอีกฝั่งนึง ป้อมปีนเก่งมากเหมือนลูกลิง แปปเดียวอยู่อีกฝั่งนึงแล้ว ป้อมบอกให้ผมอย่ามองลงมา แล้วค่อยๆหันหลังหย่อนขาลงมาตรงเหล็กประตูช้าๆเดี๋ยวพอใกล้ถึงจะช่วยจับให้ เฮ้อ ปีนข้ามได้แล้วเว้ย ดีใจสุดๆ ผมขอบใจป้อมที่ช่วยผมให้ปีนข้ามมาได้อย่างปลอดภัย ป้อมบอกว่าอย่าลืมไปหากันบ้างนะ ผมบอกว่าไม่ต้องห่วง จะไปแย่งกับข้าวนายทานแน่ๆ เสร็จแล้วก็แยกย้ายกัน ผมรีบวิ่งกลับมาถึงที่บ้านก่อนตามที่คาดไว้ พอมาถึงแล้วผมก็แกล้งทำเป็นหลับอยู่ในหลังห้องพระที่อยู่ในตัวบ้านแต่สร้างแยกออกมาต่างหาก ผมนอนอยู่ตรงนั้นประมาณ 20 กว่านาทีได้ ก็ได้ยินเสียงรถที่บ้านขับกลับเข้ามา เสียงพูดคุยดังมากจนผมได้ยิน “ใครไปว่ามันหรือไปตีมันหรือเปล่า ทำไมไม่พูดคุยกันดีๆ นี่ถ้าหลานมันหายไปจริงๆ พ่อมันคงเอาเรื่องน่าดู สงสัยต้องสนใจมันบ้างแล้ว ท่าทางคงไม่อยากอยู่ล่ะมั้งบ้านนี้ แหงล่ะ พ่อไปทาง แม่ไปทางนี่ เด็กมันก็ต้องมีปัญหาเป็นธรรมดา” แต่ผมกลับไม่รู้สึกดีใจกับคำพูดของคนในครอบครัวผมเลย อ้อ ผมอยู่กับ ปู่ ย่า แล้วก็อาผู้หญิงอีกสองคน คนหนึ่งเป็นทอม มีนิสัยห้าวๆ แต่อีกคนอ่อนโยน แต่ว่าไม่ค่อยมีเวลาว่างสักเท่าไหร่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมหรอก แต่คนที่เกี่ยวกับผมก็คือ ปู่กับย่า ของผมเอง แต่ว่าท่านรับพวกผมสามพี่น้องเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่พวกผมเกิดกันแล้วล่ะ พวกผมก็เลยเรียกปู่กับย่าผมว่า พ่อกับแม่ ผมมีพี่น้อง 3 คน ผมเป็นคนสุดท้อง แต่พอผมเกิดมาพ่อกับแม่ก็แยกทางกันพอดี (เค้าคงคิดว่าเราเป็นตัวซวยล่ะมั้ง มิน่า ถึงไม่ค่อยมีคนสนใจเอาใจใส่เหมือนกับพี่สาวและก็พี่ชายของผม) ผมแกล้งทำเป็นเสียงดังให้พวกอาๆได้ยิน สักพักก็มีเสียงเดินมาทางผม ผมแกล้งหลับตา “ตายแล้ว มานอนอะไรตรงนี้ ทำไมไม่ไปนอนในบ้าน รู้มั๊ยเค้าตามหาแกกันให้วุ่น ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ จะไม่มีใครไปตามแกบ่อยๆหรอกนะ ไปๆเข้าไปในบ้านแล้วก็อาบน้ำนอนซะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนอีก แย่จริงๆพี่ๆแกไม่เห็นเป็นเด็กมีปัญหาแบบแกเลยนะ น่าตีจริงๆ” ผมแกล้งงัวเงียเดินเซๆเข้าบ้านไปนอน ไม่อาบน้งอาบน้ำมันหรอก เพลียจริงๆขอนอนก่อน ตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น ผมก็ไม่คิดที่จะหนีออกจากบ้านอีก (ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นนะ ยังมีหนีช่วงโตอีก อิอิ) ทุกวันพอหลังจากเลิกเรียนแล้วผมจะรีบกลับบ้านมาทำการบ้านให้เสร็จเร็วๆเพื่อที่จะได้ไปหาเพื่อนใหม่ของผม ผมไปคราวนี้ไม่ได้ไปแบบไม่บอกที่บ้านนะ ผมบอกย่าว่าไม่ต้องตามนะครับผมไปแค่สนามเด็กเล่นหน้าหมู่บ้านนี่เอง เดี๋ยวสองสามทุ่มก็กลับเองไม่ต้องเป็นห่วง ย่าพยักหน้ารับรู้แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เหมือนเค้าไม่ค่อยสนใจผมอยู่แล้วนี่ (น้อยใจ) ผมไม่เคยเกลียดที่บ้านผมนะ แต่น้อยใจล่ะมั้งที่ไม่มีคนสนใจเหมือนกับพี่สาวกับพี่ชายของผม สองคนนั้นเป็นคนโปรดของบ้านนี้เลยทีเดียว อยากได้อะไรก็ได้ ย่าผมจะรักพี่ชายผมมาก ถึงขนาดไปดูหมอมา หมอร่างทรงบอกว่าพี่ผมเป็นลูกชายของย่าที่มาเกิดกับย่าไม่ทัน ย่าเค้าก็เลยรักพี่ชายผมเป็นพิเศษ ส่วนพี่สาวผมพวกอาๆผู้หญิงเค้ารักเพราะว่าเป็นหลานสาวคนแรกของบ้านนี้ ตายล่ะสิ แล้วเราล่ะเป็นอะไรเนี่ย เป็นแค่ลูกที่เกิดมาเป็นตัวแถมเท่านั้นเองเหรอ ไม่มีบทอะไรเลย ต้องทำอะไรแปลกเพื่อที่จะเรียกร้องความสนใจไปวันๆ แต่ก็เปล่าประโยชน์ ช่างเหอะ เรามีเพื่อน มีครอบครัวของเพื่อนที่เค้าเห็นว่าเรามีค่า มีความสำคัญ ทั้งๆที่พวกเค้าไม่มีเหมือนครอบครัวอื่นเค้า แต่ก็มีสิ่งที่บางครอบครัวที่มีพร้อมก็ไม่สามารถมีได้ นั่นก็คือ “ความสุขในครอบครัว” เป็นความสุขที่หาซื้อจากที่ไหนไม่ได้ ต้องใช้ความรักที่มีต่อกันอย่างจริงใจในครอบครัวเท่านั้น ซึ่งเราไม่มี แป่วว ผมรู้สึกมีความสุขเมื่อได้มาที่บ้านซอมซ่อหลังนี้ มาชวนเพื่อนใหม่ ที่ไม่มีใครสนใจเหมือนกับเราไปวิ่งเล่นตามประสาเด็กๆ ผมลืมไปเลยว่าผมมีความคิดแล้ว แต่วิ่งเล่นมันก็สนุกกว่านี่นา เด็กๆก็คงคิดอย่างนี้ทุกคนเนอะ เรื่องของผมอาจจะยาวไปนิดนะครับ (ไม่นิดแล้วล่ะไอ้ทิด ยังไม่โตยังขนาดนี้ แล้วถ้าโตจะขนาดไหน) อ่ะ เข้าเนื้อๆเลยก้ได้ แหมๆต้องเล่าพื้นฐานของชีวิตผมก่อนสิ ใจร้อนไปได้ พี่หมา เอ้ย พี่มหา 555) ผมอิจฉาครอบครัวนี้จัง ได้แต่คิดอยู่ในใจ
ผมรู้จักกับครอบครัวของป้อมมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ลุงประกายได้สอนอะไรผมหลายอย่าง ทั้งการทำของเล่นเอง ใช้วัสดุจากธรรมชาติให้เป็นประโยชน์ มิน่าเล่าป้อมถึงได้ไม่เหงาไม่เศร้าทั้งๆที่ครอบครัวก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพื้นฐานที่ดีไว้ให้เลย ป้อมเรียนรู้เกือบทุกอย่างจากพ่อและแม่ตั้งแต่เด็กๆ แต่ผมก็ถือว่าโชคดีที่ได้รู้จักกับครอบครัวนี้ ก็เลยทำอะไรได้หลายอย่างเช่นกัน ขอบคุณลุงประกาย กับป้าวิไลไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ผมได้แนวคิดจากลุงประกาย ลุงบอกว่า “ลุงน่ะผ่านเรื่องร้ายๆมาเยอะ ตั้งแต่สมัยยังหนุ่มๆ ลุงไม่เคยพึ่งพาที่บ้านเหมือนคนอื่นๆเค้า ก็ลำบากมาเรื่อยจนมาเจอกับป้าเค้า ป้าวิไลเป็นคนขยัน ทำงานบ้านงานเรือนเก่ง แต่เสียอย่างเดียวที่ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน อยู่กับตายายตั้งแต่เด็ก ซึ่งตอนนั้นก็เสียไปทั้งคู่แล้ว ลุงกับป้าพอรักกันชอบกันก็อยู่ด้วยกันมาจนทุกวันนี้ ก็ประมาณ สิบกว่าปีได้แล้วมั้ง ตอนที่ลุงกับป้าลำบากน่ะ เชื่อมั๊ยไม่มีแม้กระทั่งข้าวสารกรอกหม้อกินกันด้วยซ้ำ (น่าสงสาร) แต่ก็อดทนฝ่าฟันอยู่ด้วยกันมาได้เพราะอาศัยความ “รัก” และ “ความเข้าใจ” ต่อกันเรื่อยมาจนถึงตอนที่มีเจ้าป้อมมันแล้วก็ยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ อาชีพกรรมกรก่อสร้างจากที่เคยหาได้สองคนก็ต้องมาเหลือแค่คนเดียว ตอนนั้นค่าแรงก็ยังไม่มากเท่าไหร่ ยิ่งดันมามีลูกอีกสงสัยคงจะลำบากกว่านี้อีกหลายเท่า มีคนบอกว่าให้ไปทำแท้งถ้าไม่พร้อมจะมีเดี๋ยวจะอดตายกันเข้าไปใหญ่ แต่ลุงกับป้าก็ไม่ยอมทำตาม ยังบอกเค้าไปด้วยซ้ำว่า “สุนัขมันยังรักลูกของมัน ถ้าผมยอมให้เมียทำก็เท่ากับว่า อายสุนัข แน่ๆ” ตอนนั้นลุงทำงานหนักมากเป็นสองเท่าเลยทีเดียว แต่ด้วยความรักที่มีต่อป้ากับลูกในท้อง ทำให้ตัวเองต้องมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ ลุงทั้งทำก่อสร้าง แล้วพอเลิกงานก็ไปรับจ้างโบกรถที่ร้านอาหารอีก บางวันฝนตกหนักก็ยังไม่เว้น ต้องทำเพื่อครอบครัว” ผมได้ฟังลุงประกายเล่าแล้วรู้สึกว่าลุงแกเป็นคนที่รักครอบครัวมากคนนึงเหมือนกัน ผมอยากมีพ่อแบบนี้จัง เฮ้อ คงต้องเกิดใหม่อย่างเดียว
ผมยกให้ลุงเป็นไอดอลของผมเลยทีเดียวในตอนนั้น แล้วผมก็ถามลุงว่า ทำไมถึงมีความสุขได้ ทั้งๆที่ยังไม่ได้มีหลายๆอย่างเหมือนครอบครัวคนอื่นเขา ลุงยิ้มอย่างเอ็นดูแล้วตอบผมว่า “ก็อย่าไปมองคนอื่นเค้าสิหลาน ถ้าเรามัวแต่มองคนอื่น แต่ไม่ยอมมามองตัวเอง เราก็จะได้ความทุกข์ของคนอื่นมา เราต้องมองตัวเองก่อน มองจนให้เรารู้จักตัวเราเองให้ได้ แล้วทำชีวิตให้ดีในแบบของเรา อย่าไปทำตามเขาเพราะว่าอะไรรู้มั๊ย เพราะว่าคนเราไม่เหมือนกันอยู่อย่างเดียวคือ ความคิด เราคิดไม่ดีเราก็จะได้สิ่งไม่ดี แต่ถ้าเราคิดดี ถึงแม้จะไม่ได้ในสิ่งที่ดี แต่เราก็ยังได้ ความดี ที่ออกมาจากจิตใจที่ไม่คิดเอาเปรียบหรือว่าเบียดเบียนใครให้ต้องเดือดร้อน เท่านี้เราก็จะได้ความสุขที่เป็นของเราแล้วไงหลาน ลุงบอกกับป้าเสมอว่าเราต้องคิดดีทำดีเท่าที่เราจะทำได้ ถึงทำไม่ได้ก็ยังถือว่าเราได้ความสุขจากการคิดดีของเราเอง ถึงแม้จะมีอุปสรรคสักเท่าไหร่ เราก็ต้องค่อยๆแก้ไขให้มันเป็นไปในทางที่ดีได้อย่างแน่นอน ขอแค่อย่าไปตื่นกลัวตามคนอื่นหรือแม้แต่กระทั่ง ความคิดของตัวเอง เราสามารถมองเรื่องร้ายๆต่างๆที่เข้ามาในชีวิตของเรา ให้มันกลายเป็นเรื่องตลกขบขันได้ อย่าไปเลือกที่จะโศกเศร้าไปกับสิ่งต่างๆที่เข้ามาก็เป็นพอ เห็นมั๊ยครอบครัวของลุงที่ยังยิ้มได้ทุกวันนี้เพราะว่า ไม่ได้มีความคิดอยากได้หรืออยากมีเหมือนคนอื่นเขา ความสุขเราสร้างเองได้อยู่ที่จะเลือกมองมันในมุมไหนแค่นั้นเอง เอาล่ะพูดมากไปแล้ว ชักเมื่อยปาก 555+” เชื่อมั๊ยครับว่าเด็กอายุประมาณหกขวบกว่าๆตั้งใจฟังเรื่องเล่าและแนวคิดของลุงประกายอย่างตั้งอกตั้งใจเลยทีเดียว (สงสัยจะบ้าเกินเด็ก อิอิ) พอได้ฟังลุงประกายเล่าจบแล้วผมก็นึกถึงประโยคในหนังหรือละครเรื่องไหนก็ยังจำไม่ได้ แต่ที่จำได้แม่นก็คือประโยคที่พูดเหมือนกับลุงประกายว่า เราอย่ามองเรื่องไม่ดีหรือว่าเรื่องร้ายๆต่างๆที่เราประสบพบเจออยู่ในขณะนี้ และในอนาคตข้างหน้า อย่าไปมองมันให้เราเกิดความทุกข์ ให้เรามองมันเป็นเรื่องที่ขำๆที่เข้ามาในชีวิตของเราดีกว่า อย่าไปยึดติดกับมันมาก เลือกที่จะจดจำ แล้วทำแต่ในสิ่งที่ดีๆเท่าที่เราจะคิดได้เพื่อตัวเราเอง (หรือคนที่เรารัก) จะได้มีความสุขในการใช้ชีวิตต่อไป ตอนนี้เหตุการณ์นั้นได้ผ่านมาถึง 30 ปีแล้ว ตอนนี้ผมได้เป็นคนๆนึงที่ได้ใช้ชีวิตแบบพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แต่สิ่งที่ตัวผมเองทำนั้นไม่ได้มุ่งหวังว่าจะทำให้ตัวเองต้องเป็นคนที่หยุดอยู่กับที่ ผมสร้างอนาคตไว้ในสมองอันน้อยนิดของผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่ ลงมือทำมันให้ได้ดีที่สุด อุปสรรคมันต้องมีมาเรื่อยๆแน่นอน แต่ผมจะไม่มองมันเป็นเรื่องที่จะทำให้ผมต้องท้อถอยเด็ดขาด มันก็เป็นแค่เรื่องตลกขำๆที่ทำให้ชีวิตของผมมันมีรสชาติขึ้นแค่นั้นเอง ถ้าวันหนึ่งวันใดผมทำสำเร็จขึ้นมาแล้วล่ะก็ ผมจะประกาศให้โลกได้รู้ดังๆว่า “ผมเป็นคนนึงที่จะไม่ยอมให้เรื่องร้ายๆ มาทำร้ายผมได้อีกแน่นอน มันก็เป็นแค่เรื่องขำๆเองไม่ใช่เหรอ” ทุกๆปัญหามันมีคำตอบของมันเสมอ เมื่อมีเข้ามา ก็ต้องมีออกไป ทุกอย่างก็เหมือนเหรียญ มันต้องมีสองด้านเสมอ อย่าให้ด้านใดด้านหนึ่งมาทำให้เหรียญนั้นต้องเอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ทำให้มันเป็นกลางให้ได้นานที่สุด แล้วเราก็จะกลายเป็นคนที่มีความสุขที่สุดแน่นอน
สุดท้ายนี้ผมต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านที่เสียเวลามานั่งอ่านเรื่องแนวคิดไร้สาระของผมในเพจนี้ เรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นกับผมนั้นมันมีเยอะมากจะผมไม่สามารถบรรยายได้หมดในพื้นที่ที่จำกัดนี้ แต่มันไม่สำคัญเท่าใจความของเรื่องที่ผมอยากจะสื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจในตัวเองมากขึ้น สนใจแต่เรื่องของความสุขมากกว่าการเก็บเอามาคิดให้เกิดทุกข์ เราไม่สามารถปล่อยวางทุกอย่างได้ แต่เราสามารถมองมันให้เป็นเรื่องขำขันได้ แล้วจะสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยปัญญาที่เปี่ยมด้วยความสุขอย่างแท้จริง ความสุขที่เกิดขึ้นในจิตใจของคนเรานั้นมีพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ สามารถนำพาให้เราเกิดปัญญาที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างคนมีสติสัมปะชัญญะ เปรียบดุจเสมือนผู้ประเสริฐถึงพร้อมด้วยปัญญาคุณากรเป็นแน่แท้ ขอบคุณความทุกข์และความสุขที่ทำให้เราได้รับรู้รสแท้ของการ “ใช้ชีวิต” อย่างแท้จริง ขอให้ผู้อ่านทุกคนจง “อย่าเชื่อ” ในแนวคิดต่างๆของเรื่องนี้ แต่จะขอให้ผู้อ่านทุกคนจงเชื่อในความคิด “ตนเอง” แล้วเลือกเอาเองว่าจะมองมันไปในทิศทางใด ขอให้พระเจ้าทรงอวยพรผู้อ่านทุกท่านให้มีความสุขความเจริญ มีอนาคตที่พรั่งพร้อมไปด้วยทรัพย์บริวารทั้งหลายถ้วนทั่วทุกท่านเทอญ
ขอบพระคุณครับ
จากใจผู้เขียน
ชัชวาลย์ มนเทียรทอง
29/84 ม.1 หอพักบ้านกีรติ ห้อง 302
ซ.ประชาชื่นนนทบุรี8 ถ.ประชาชื่น
ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
ส่งให้กับโครงการ “ปั้นน้ำเป็นเงิน” Info@kiat-chareon.com 30/09/2556
ส่งไม่ทันแต่อยากให้อ่านครับ จะอ่านให้มันเป็นคอมมิดี้ต้อง ใช้ข้อมูลในเรื่องนี้มาใช้กับความคิดของผู้อ่านเองนะครับ ผมเขียนให้ขำได้แต่เวลาไม่มีต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับผม