สัมภาษณ์ผู้กำกับบูม พลัฏฐ์พล มิ่งพรพิชิต จาก “ประโยคสัญญารัก”

present perfect continuous tense 01ประโยคสัญญารัก” ที่เข้าฉายพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคมนี้ เป็นผลงานแรกของพลัฏฐ์พล มิ่งพรพิชิต หรือ “บูม” ผู้กำกับใหม่สดๆ ซิงๆ ที่เพิ่งเรียนจบจากสาขาบริหารงานภาพยนตร์ ภาควิชาภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ ครับ ซึ่งเพิ่งเรียนจบมาก็ได้มีโอกาสสร้างหนังจากบทหนังที่เขาเขียนเลย แถมเป็นโครงการหนังน่าสนใจในแง่นักแสดงด้วย เพราะได้คุณหมิว ลลิตา ปัญโญภาส และเศรษฐพงศ์ เพียงพอ มารับบทนำเป็นคู่รักต่างวัยในหนัง และเพื่อให้เพื่อนผู้อ่านเว็บได้รู้จัก “ประโยคสัญญารัก” มากขึ้น เราได้ขอสัมภาษณ์ผู้กำกับบูมทางอีเมลครับ

ประโยคสัญญารัก” เป็นหนังที่ได้แรงบันดาลใจจากคนใกล้ตัวของผู้กำกับ และเราได้คุยถึงการเอาแรงบันดาลใจมาเขียนเป็นบทหนัง การพัฒนาโครงการหนังเรื่องนี้ ความยากในการทำงานครั้งแรกและต้องร่วมงานกับนักแสดงใหญ่อย่างคุณหมิว และความเห็นต่อนักแสดงนำอย่างเต๋า เศรษฐพงศ์ และความเห็นต่องานกำกับครั้งแรกของเขาครับ น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนผู้อ่านที่เป็นนักทำหนังรุ่นใหม่ในการได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้กำกับบูม และน่าจะมีประโยชน์ในการเตรียมตัวผู้ชมก่อนดูหนังเรื่องนี้ครับ

ผมได้ชมหนังแล้ว และคงจะมาเขียนวิจารณ์ให้อ่านทีหลังครับ ใครที่กำลังชั่งใจเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ว่าจะไปชมดีไหม ลองคลิกอ่านบทสัมภาษณ์ได้ที่ด้านในเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจดูครับ

เจไดยุทธ: จำได้ว่าบูมเคยบอกว่าเรื่องราวใน “ประโยคสัญญารัก” ได้แรงบันดาลใจมาจากคนใกล้ตัว มีความประทับใจอะไรเป็นพิเศษครับจนถึงกลับอยากเอามาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ คิดยังไงกับเรื่องรักต่างวัยครับ และใช้เวลาในการพัฒนาบทหนังนานไหมครับ

ผมรู้สึกว่ารักต่างวัยมีอยู่รอบๆตัวเราครับนะ ซึ่งพอได้ลองรีเซิร์ชและสังเกตคนรอบข้าง ก็รู้สึกว่ามีเยอะ และแต่ละคู่ก็น่าสนใจมากด้วย ด้วยวัยวุฒิที่ต่างกัน ทำให้แต่ละคู่แต่ละคนก็มีทัศนคติที่ต่างกันไป นี่ยังไม่รวมถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ คนเราเวลาบทจะรักกัน อายุ หน้าตา ฐานะ ไม่ใช่ปัญหาหรอกถ้าคนจะรักกัน แต่สิ่งที่ทุกคู่ต้องเจอและเรียนรู้ คือ ทำยังไงจะประคับประคองความรักให้ดำเนินต่อไปด้วยความเข้าใจและกัน

ดูผิวเผินหนังเรื่องนี้อาจจะเป็นแค่หนังรักต่างวัย แต่จริงๆแล้วนัยสำคัญของเรื่องคือ “สัญญา” การตีความเรื่องคำสัญญาของแต่ละคน เป็นสัญญาที่มีสัญญะ บางตัวละครละเลย บางตัวละครหลีกหนี บางตัวละครผูกมัด บางตัวละครกลัว

ถามว่าพัฒนานานไหม เขียนๆหยุดๆอะครับ เขียนตอนปี4 กะจะทำเป็นแต่ธีสิส แต่ก็ไม่ได้ทำ

จริงๆแล้วผมอยากเป็นผกก.ตั้งแต่เด็กแล้วนะ ตอนเด็กชอบดูหนัง ชอบดูละคร ตอนม.1เคยไปแนะนำตัวหน้าชั้นเรียน ประโยคหนึ่งพูดว่า “I want to be a director”

ผมอยากเรียนนิเทศมาก แต่คะแนนไม่ติดนิเทศจุฬาฯ ก็ไม่สนที่อื่นเลย ทั้งๆที่คะแนนก็ไม่น้อย ก็มุ่งตรงมาม.กรุงเทพเลย ซึ่งพอได้มาเรียน ก็รู้สึกว่าการจะทำงานในวงการนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องใช้ศักยภาพ และจังหวะโอกาสสูงมาก เห็นหลายคนที่จบไป ได้ไปทำในสายงานอื่น ก็เลยรู้สึกไม่อยากต้องดิ้นรนขนาดนั้น จึงเลือกไปทำงานแฟชั่นที่คิดว่าถนัดกว่า แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ง่ายเลย ไปทำงานที่เราไม่ได้เรียนมา ก็เหมือนต้องนับหนึ่งใหม่ ไปฝึกงาน สะสมพอร์ต รับจ๊อบเล็กจ๊อบน้อย กว่าจะได้ตำแหน่งานที่มั่นคง ก็ใช้เวลาอยู่ครึ่งปีได้

พอมาช่วงๆหลังเวลาแฟนชวนดูหนัง ก็จะรู้สึกไม่ค่อยอยากดู จนมารู้สึกว่าเวลาดูหนัง เราเหมือนกำลังนั่งดูความฝันของคนอื่น เรารู้สึกว่าอยากให้คนอื่นมาดูความฝันของเราบ้าง

ก็เลยเอาบทที่เขียนเคยเขียนมาปรับและต่อยอด เขียนๆหยุดอยู่หลายเดือน

เจได้ยุทธ: หลังจากเขียนบทหนังแล้ว เอาไปนำเสนอที่เลิฟติจูดยังไงครับ คุยกันอยู่นานไหนกว่าจะได้สร้างเรื่องนี้ และได้ไปเสนอที่อื่นบ้างไหมครับ

จริงๆตอนแรกว่าจะทำเป็นอินดี้ด้วยซ้ำ ตอนไปชวนเพื่อนๆกลับมาทำหนังกัน ทุกคนตื่นเต้นและดีใจมาก แต่ก็มีบ้างที่ไม่แน่ใจว่ามันจะทำได้เหรอ จนผมวางแผนหาเงินทุนเอง ติดต่อเสนอโครงการไปที่ฮอนด้า ฮอนด้าเรียกเข้าไปนำเสนอ เค้าได้ฟังเรื่องราว ประเด็น แล้วสัญญะที่เค้ารู้สึกว่าน่าสนใจและสัญลักษณ์ที่เราแฝงก็เข้าใจง่าย น่าติดตาม เขาจึงตอบตกลงเป็นสปอนเซอร์ ซึ่งพอเพื่อนๆเห็นความมุ่งมั่นและจริงจังของเรา ก็เลยรวมตัวกันจริงจังขึ้น เปิดเป็นเลิฟติจูดขึ้นมา ซึ่งผมดีใจตรงที่ว่าทีมงานทุกคนมาเพราะเป็นเรา เขาเชื่อในเรา เขามั่นใจในการเขียนบทของเรา เขาศรัทธาในความพยายามทุ่มเทดิ้นรนของเรา

แต่กว่าหนังจะสำเร็จเสร็จลุล่วงเป็นรูปเป็นร่างมันไม่ง่ายเลย กว่าจะได้เปิดกล้องนี่ ท้อและร้องไห้มาไม่รู้กี่รอบ ทุกวันนี้เวลาเจอปัญหาอะไรก็เลยเริ่มเฉยๆละครับ มีปัญหาก็แก้ อันไหนที่แก้ไม่ได้นั่งก็แปลว่ามันไม่ใช่ปัญหา ทางเจอทางตันก็ทุบทางตัน ก็เจอทางออก

หลายๆปัญหาทำให้เราได้เจอสิ่งที่ใช่และดีกว่าเสมอ

เจไดยุทธ: ชื่อหนัง “ประโยคสัญญารัก” และ Present Perfect Continuous Tense มีที่มายังไงครับ ทำไมลงเอยที่ชื่อนี้

ปกติเป็นคนไม่ค่อยอยากเคลมตัวเองเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ผมกล้าพูดเลยว่าทุกคนที่อ่านบท ชอบทุกคน นักแสดงบางคนอยากเล่นมาก อ่านบทแล้วร้องไห้ แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างทำให้เราไม่ได้ร่วมงาน ทีมงานแต่ละคนอ่านบทแล้วก็อิน เพราะมันมีประเด็นหรือประโยคที่จริง ผมเชื่อเลยว่าคนที่ไปดู อย่างน้อยจะโดนชีวิตตัวเองซักจุด

ประโยคสัญญารัก มาจาก ประโยคสัญลักษณ์ บังเอิญผมเห็นลูกชายของพี่ผู้หญิงที่อายุ40คนนั้น ถ่ายรูปการบ้านเลขลงเฟซบุ๊ค ผมก็รู้ชอบมาก รู้สึกว่าใช่เลย ประโยคสัญญารัก

ส่วน Present Perfect Continuous Tense เพราะพี่ผู้หญิงคนนั้นและเอี๊ยมในเรื่องเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ Tenseนี้จะเป็นประโยคที่กล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต สืบเนื่องจนมาถึงปัจจุบัน และดำเนินต่อไปในอนาคต ดังเช่นภาพยนตร์เรื่องนี้

เจไดยุทธ: การทำงานกับคุณหมิว ลลิตา เป็นยังไงบ้างครับ การที่เป็นผู้กำกับใหม่แล้วได้นักแสดงระดับพี่หมิวมาเล่นเลย ทำให้เกร็งไหมครับ แล้วพี่หมิวช่วยให้บทของเอี๊ยมมีมิติขึ้นยังไงบ้างครับ

เกร็งครับ เกร็งมาก กลัวว่าเราจะประดักประเดิก แต่ด้วยความเฟรนด์ลี่และความไนซ์ของพี่หมิว ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมีแต่คนรักพี่หมิว ทุกคนในกองรักพี่หมิวกันมาก ผมบอกได้คำเดียวว่า เอี๊ยม คือ ตัวตนจริงๆของพี่หมิวเลย น้อยคนที่จะได้สัมผัส แต่ถ้าได้มีโอกาสจะรู้ว่าพี่หมิวงุงิเหมือนเอี๊ยมเลยครับ น่ารักมาก

เจไดยุทธ: แล้วเต๋า เศรษฐพงศ์ เป็นอย่างไรบ้างครับในการเล่นหนังครั้งที่ 2 ของเขา

แว๊บแรกผมรู้สึกว่าเต๋าดูดื้อ แต่เป็นความดูดื้อที่น่าค้นหา ซึ่งมันคือตัวจิ้งเลย และพอได้ร่วมงานกับน้องจิ้งๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าน้องมีของ ดูมีอะไร สามารถพัฒนาไปได้อีกไกลเลยครับ

present perfect continuous tense 06เจไดยุทธ: บทหนังที่เขียนเอาไว้ พอถ่ายทำจริงแล้วพบว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนอะไรเพิ่มเติมไปตามสถานการณ์ของกองถ่ายแต่ละวันไหมครับ หรือบางครั้งได้อะไรจากนักแสดงหรือสถานการณ์ในแต่ละวันที่รู้สึกว่าอยากเอามาใส่แทนในบทที่เคยเขียนไว้ไหมครับ เล่าให้ฟังหน่อยครับ

เยอะแยะเลยครับ ทำงานแข่งกับเวลา เรามีเวลาน้อย เพราะเรามีคิวนักแสดงน้อย เรามีงบน้อย เรามีคนน้อย ปัญหาเรามีทุกวัน ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า ผมเกิดมาจนอายุ24 ผมเพิ่งได้รู้จักความหมายจริงๆของคำว่า “เพื่อน”ก็งานนี้ ทุกคนซัพพอร์ทผมเต็มที่ โดยเฉพาะครอบครัว แฟน ครอบครัวแฟน และหุ้นส่วนของผม เพื่อนฝูงหลายคนรู้ว่าเราตังค์ไม่เยอะ มาฟรีก็มา มาด้วยใจจริงๆ ความพีคมีอยู่ทุกวัน เงินจะหมด อุปกรณ์เสียงพัง โลเคชั่นมีปัญหา พรอพชำรุด คนไม่พอ อะไรทำเองได้ก็ทำครับ

การทำหนังเรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นAcademyชีวิตจริงของทุกคนเลย ถ้าถ่ายไม่ทัน ส่วนใหญ่เค้าจะรวบช็อตกัน ผมรวมช็อตได้นะ แต่ผมไม่ยอมตัดประโยค เพราะทุกประโยคมีความหมายและสำคัญกับเรื่องจริงๆ ผลที่ออกมาก็คือใช้เวลาไม่ต่าง เพราะ เป็นลองเทค ไดอะล็อคและอารมณ์จึงต้องแม่นต้องเป๊ะมาก ซึ่งผมไม่ยอมปล่อยให้นักแสดงดิ้นประโยคเลย

มีออกกองโหดสุด ก็คือ วันแรกตีห้าถึงตีห้า วันถัดมาเก้าโมงถึงตีสาม วันต่อไปเจ็ดโมงถึงสามทุ่ม(ที่เจเจด้วย ร้อนมาก) ปิดท้ายด้วยอีกวันคือหกโมงถึงสองทุ่ม จริงๆเราก็ไม่อยากให้คิวถ่ายเป็นอย่างนี้หรอกครับ แต่ด้วยคิวนักแสดง ด้วยคิวสถานที่ ด้วยความบีบกระชับของเวลา ทำให้เราต้องลุย นักแสดงและทีมงานทุกคนทรหดกันมาก เราผ่านมาด้วยกันจนได้

เจไดยุทธ: ผมเป็นคนบ้า long take พอสมควร ได้เห็นคลิปวิดีโอ “มหาวิทยาลัยของคุณแจวเรือได้เจ๋งแค่ไหน?” ที่ใช้ประชาสัมพันธ์หนัง ที่เอาเพลงเชียร์มาทำคล้ายละครเพลงแบบ long take นั่นแล้วชอบมากครับ เป็นคลิปที่สนุก เก๋และสร้างสรรค์มาก ในหนังจะมีฉาก long take คล้ายแบบนี้ไหมครับ แล้วสนใจทำหนังเพลงบ้างไหมครับ

ลองเทคในเรื่องมีเยอะอยู่นะครับ ยิ่งลองเทค โดยใช้สเตดี้แคม มันโหดมากสำหรับผู้กำกับภาพ

มีแฮนด์เฮลด์ด้วยครับ ผมได้มีโอกาสแฮนด์เฮลเอง สนุกดีครับ
แรงบันดาลใจลองเทคอันนี้ มาจาก lipdub emerson college ลองเซิรร์ชดูในยูทูบ เรื่องหน้าไงครับ

เจไดยุทธ: ในการคิดช็อตหรือซีนต่างๆ มีการอ้างอิงจากหนังเรื่องไหนไหมครับ หรือคิดว่ามีหนังเรื่องไหนแบบไหนมีอิทธิพลต่อการสร้างช็อตหรือซีนในหนังของเราไหมครับ

ผมไม่ใช่คนเก่งนะครับ แต่ผมพร้อมที่จะเรียนรู้ จากที่ตอนเรียนงูๆ ปลาๆ เรื่องไฟและช็อตมาก แต่ก็ได้การครูพักลักจำจากผู้กำกับภาพของผม ด้วยงบที่จำกัด สุดท้ายก็สั่งไฟเอง ด้วยขนาดของSettingที่มีพื้นที่น้อย ก็ต้องดีไซน์ช็อตให้เอื้อต่อการถ่ายทำที่สุด โชคดีที่ผู้กำกับภาพของผม เราเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ตอนอยู่อัสสัมธน เราเลยจะเห็นอะไรคล้ายๆกัน เวลาเค้ามีไอเดียอะไรเค้าก็จะมาขายผม ผมชอบตอนเค้าขายงาน เค้าจะรู้วิธีการคุยกับผม

สำหรับเรื่องที่เป็น Reference ของเราสองคน คือ Revolutionary Road, เบนจามิน บอททอน

เจไดยุทธ: หลังจากเสร็จสิ้นการทำงานทุกขั้นตอนแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างครับที่ได้เห็นงานกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของตัวเองเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และพอใจกับงานในระดับไหนครับ

ความกลัวและความตื่นเต้น มันต่างกันอยู่นิดเดียวครับ
เป็นธรรมดาของทุกคนเวลางานเสร็จ ก็มักเสียดาย ว่าเราน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ความสมจริง งบ การเล่าเรื่อง ตรงนี้น่าจะได้อีก ตรงนั้นน่าจะได้อีก

สิ่งที่ผมแอบกลัวคือเรื่องเสียง เพราะระหว่างถ่ายทำเรามีปัญหาขัดข้องเรื่องเทคนิคเสียงบ่อยมาก ตอนตัดต่อก็ใจไม่ดี แต่พอได้เข้าแล็บที่กันตนา สุดยอดมาก ออกมาดีมาก

ภาพ,เสียง,บท,การแสดง,เซ็ทติ้ง ทุกอย่างช่วยเสริมซึ่งกันและกันจริงๆ

เจไดยุทธ: สุดท้าย อยากบอกคนดูว่ายังไงบ้าง เกี่ยวกับหนัง “ประโยคสัญญารัก” ครับ

ถ้าคุณเป็นคนที่มีความรู้สึก คุณไม่ควรพลาดประโยคสัญญารักครับ

………………………..

present perfect continuous tense 03

Leave a Reply