The Great Gatsby: ความเห็นหลังชม

the great gatsby reader reviewThe Great Gatsby เพิ่งจะเข้าโรงในบ้านเราสัปดาห์นี้ ขณะที่เข้าฉายที่สหรัฐมาก่อนล่วงหน้า รายได้เปิดตัวในสหรัฐก็อยู่ในระดับดี เพราะทำรายได้ไปราว 50 ล้านเหรียญจากการเปิดฉาย 3 วันแรก ซึ่งแม้ไม่สูงมาก และไม่ได้เป็นแชมป์รายได้ประจำสัปดาห์ แต่ก็สูงกว่าที่สตูดิโอและนักวิเคราะห์ประเมินไว้

ในแง่คำวิจารณ์จากนักวิจารณ์ในสหรัฐ ดูจะไม่ค่อยได้รับการต้อนรับที่ดี หนังได้รับคำวิจารณ์ก้ำกึ่ง มีนักวิจารณ์เพียง 50 % ที่ชอบหนัง และคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 5.9/10 จากการประเมินของ Rotten Tomatoes

หนังเรื่องนี้ดัดแปลงจากงานเขียนของเอฟ. สก็อต ฟิทซ์เจอรัลด์ ที่แต่งเอาไว้ตั้งแต่ปี 1925 และเป็นวรรณกรรมที่ทรงอิทธิพลต่อสังคมอเมริกันเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวที่แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องราวความรัก แต่ที่จริงแล้วเป็นการสะท้อนและเสียดสีสังคมของยุคนั้น แก่นเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือการพูดถึงความเสื่อมของสังคมอเมริกันยุคนั้นที่ให้คุณค่าแก่เปลือกของความหรูหราฟู่ฟ่า ความร่ำรวย และชนชั้น มากกว่าความดีงามของจิตใจ และการมีศีลธรรม

นักวิจารณ์ชั้นนำอย่างท็อดด์ แม็คคาร์ธี จากเดอะ ฮอลลีวู้ด รีพอร์เตอร์ ที่ชอบหนังเรื่องนี้ บอกว่าแก่นเรื่องจากนิยายต้นฉบับยังติดอยู่เหนียวแน่น มีคณะนักแสดงที่ดี มีงานสร้างที่ยิ่งใหญ่ แต่เขาก็เชื่อว่าวิธีการนำเสนอของผู้กำกับบัซ เลอร์มานน์ อาจไม่ถูกใจทุกคน ส่วนเคนเนธ ทูแรน จาก LA Times ดูจะเห็นตรงกันข้าม บอกว่าแม้หนังจะมีการแสดงอันยอดเยี่ยม แต่หลายอย่างในหนังก็ผิดพลาด โดยเฉพาะแนวทางในการกำกับ “ผู้กำกับประกาศให้รู้กันโดยตลอดถึงความรักที่เขามีต่อนิยายเรื่องนี้ แต่หนังที่เขาสร้างขึ้นจากมันมีบ่อยครั้งที่ใช้เป็นข้ออ้างในการถ่ายทอดสไตล์อันบ้าคลั่งส่วนตัว” ขณะที่เอ.โอ. สก็อต จาก NY Times บอกว่า The Great Gatsby เป็นหนังที่สนุก ไม่ว่าเราจะเคยได้ยินมาอย่างไรก็ตาม “แต่หนทางที่ดีที่สุดที่จะสนุกกับหนังอันโฉ่งฉ่างและยิ่งใหญ่ของบัซ เลอร์มานน์ เรื่องนี้ ก็คือการปล่อยวางนัยแฝงอะไรก็ตามทางวรรณคดีที่คุณอาจถูกลวงให้พาไป” แต่อย่างหนึ่งที่แทบทุกนักวิจารณ์เห็นพ้องกันก็คือการแสดงของนักแสดง โดยเฉพาะลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ในบทเจย์ แก็ตสบี้ ครับ

ผมยังไม่ได้ดู The Great Gatsby เลยยังไม่มีความเห็นแก่ตัวหนัง ส่วนเพื่อนผู้อ่านเว็บที่ได้ดูกันแล้ว อยากชวนมาให้ความเห็นกันดูครับ ชอบหนังเรื่องนี้มากแค่ไหน และให้คะแนนเท่าไหร่ และถ้าสามารถตอบคำถามต่อไปนี้ด้วยได้ก็ลองตอบดูครับ 1. คุณคิดว่าแก่นของเรื่องจากฉบับนิยายยังอยู่ในหนังฉบับนี้ไหม และถูกนำเสนอออกมาได้ชัดเจนพอไหม 2.นักวิจารณ์หลายคนบอกว่าสไตล์ด้านภาพและงานสร้างของผู้กำกับบดบังแก่นของเรื่อง เลยกลายเป็นงานโชว์ภาพและงานสร้างเกินไป เห็นด้วยหรือไม่ครับ 3. งาน 3D ของหนังเป็นอย่างไรบ้างครับ ในแง่การเอามาใช้กับหนังชีวิต 4. ถ้าเทียบกับงานเก่าของบัซ เลอร์มานน์ ชอบเรื่องนี้มากกว่าหรือน้อยกว่าครับ และ 5.ชอบการแสดงของใครเป็นพิเศษครับ

 

 

13 comments

  1. เรื่องนี้อยากดูเพราะ ดิคาปริโอ เลยครับ จริงๆนะ ตัวอย่างหนังก็ตัดต่อได้น่าดูเหมือนกัน แต่ก็เกรงๆหนังเพลงอยู่ครับ ชั่งใจครับ ถ้าไม่ติดอะไร เวลาได้ ก็คงจะเข้าไปดู ดิคาปริโอ นี้แหละ แหะๆ

    • ตัวหนังไม่ใช่หนังเพลงนะครับ เล่าเรื่องปกติ แต่ใช้ซาวน์แทรคจัดจ้านตามสไตล์บาซ เลอห์มาน ครับ 🙂

  2. ส่วนตัวถ้าเทียบกับ Moulin Rouge ออกจะดูซ้ำๆทั้งมุมกล้องเทคนิค เนื้อเรื่องดูจะเน้นฉากงานปาร์ตี้มากเกินไป ผมดูที่ปารีส ฝรั่งที่ออกมาจากโรงก็ดูไม่คอยจะชอบซักเท่าไร

  3. ………สปอยล์เนื้อหา……….

    ผมยังคิดว่าแก่นหลักของเรื่องยังอยู่ครบถ้วนนะครับ
    ภาพที่แกสบี้ยืนเอื้อมมือคว้าแสงสีเขียวมันติดตามาก
    และผู้กำกับก็ย้ำเป้าหมายนี้ของตัวแกสบี้อยู่ตลอดเวลา

    องค์ประกอบศิลป์ทั้งหมดที่อยู่ในหนังเรื่องนี้
    มีเป้าหมายที่ชุดเจนมาก สะท้อนการก่อร่างสร้างตัว
    และความล่มสลายของเศรษฐกิจอเมริกันอยูู่ตลอดเวลา

    การใช้รถยนต์เป็นตัวเชื่อม 3 พื้นที่
    ตั้งแต่กลุ่มบ้านของเศรษฐี ไปยังไร่ขยะ และ เมืองนิวยอร์ค
    เป็นการเชื่อมโยงความหมายทั้งในระดับภาพรวมของสังคม
    และระดับปัจเจกของมนุษย์มากๆ

    ทางเลือกในไดเรคชั่นของบาส คือ การเล่าผ่านมุมมองของ
    คาราเวย์ ดังนั้นการรับรู้ถึงสภาวะของตัวละครทั้งหมด
    จึงเป็นการฉายภาพแบบด้านเดียวอยู่แล้ว

    ซึ่งในที่นี้นักแสดงทุกคนต่างเล่นกันได้เต็มที่
    ตามแนวทางที่บาซต้องการ

    แต่ปัญหาจริงๆ อยู่ที่บท กับ การกำกับการแสดงของบาสมากกว่าครับ
    การเล่าเรื่องผ่านมุมมองของคาราเวย์นั้น
    ในแง่ของโครงสร้างของบทนั้นต้องสามารถทำให้คนดูรับรู้ถึง
    สภาวะและการตัดสินใจของตัวละครนี้ผ่านการกระทำมากกว่า
    ที่จะปล่่อยให้ตัวละครเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ เพราะในฐานะผู้ชม
    ที่จะติดตามเรื่องนี้ไปได้มากขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับ
    ประสบการณ์ร่วมที่คนดูจะมีต่อตัวละครคาราเวย์เป็นหลัก

    ดังนั้นการแสดงของโทบีย์ แมคไกวร์จึงต้องอยู่ในระดับที่
    ละเอียดและทรงพลังมากกว่านี้ สภาวะของคนที่เรียนและใฝ่ฝันจะเป็น
    นักเขียน แต่กลับมาใช้ชีวิตในตลาดหุ้นนั้นน่าสนใจมาก

    แต่โทบีย์ ไม่สามารถทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็นจริงของตัวละครได้เลย
    การเล่นของโทบีย์จึงเป็นในระดับผิวเผิน ไม่สามารถพาเราไปสู่แก่นภายใน
    ของตัวละครนอกจากการเล่นเป็นภาพตามที่ผู้กำกับต้องการมากกว่า

    แม้กระทั่ง ตัวละครหลักๆ ทั้งตัวแกสบี้ หรือ เดย์ซี่
    นักแสดงสามารถแสดงภาพที่เป็นเปลือกของตัวละคร
    ได้อย่างเต็มที่และมีรายละเอียด แต่พอลงลุกไปถึงสภาวะจิตใจภายใน
    ยามเมื่อตัวละครถูกสถานการณ์ทำให้ต้องปอกเปลือกของตัวเองออกมา
    กลับไม่ทำให้ผมเชื่อได้เช่นกันว่าตัวละครเป็นอย่างนั้นจริงๆ

    ฉากที่น่าสนใจคือฉากเผชิญหน้ากันของตัวละครทั้งหมด
    ที่โรงแรมในนิวยอร์ค เป็นฉากที่สนุกมากเพราะนี่คือช่วงที่นักแสดง
    จับเอารายละเอียดที่สร้างไว้ในฐานะเปลือกของตัวละครมาปะทะกันอย่างเมามัน
    แต่เมื่อทุกอย่างเปิดออกมา กลับกลายเป็นความว่างเปล่า
    ซึ่งในฉากนี้ ตัวละครคาราเวย์คือผู้ที่ได้รับผลกระทบทังหมดในฐานะผู้สังเกตการณ์

    แต่สิ่งที่โทบีย์ เล่นในฉากต่อมา ตอนที่จอร์แดนชวนเข้าไปในบ้านของบูคาแนน
    แล้วโทบีย์เหวี่ยงใส่เธอว่า “พวกคุณทำกับผมมาทั้งวันแล้ว” ไทบีย์ไม่สามารถเล่นได้จริงๆ
    แต่คนที่เล่นแล้วเก็บเอาซีนทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องได้จริงๆ สำหรับผมคือ จอร์แดน
    ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเป็นตัวละครทีต้องรักษาสภาวะเปลือกของตัวเองไว้ให้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
    ซึ่งเธอก็เล่น “ภาพ” นั้นได้อย่างสนุกจริงๆ

    ฉากต่อมาคือ ฉากที่แกสบี้ คุย กับ คาราเวย์ ในสวนหน้าบ้านบูคาแนน
    การแสดงของลีโอนั้น อาจจะเป็นเพราะผู้กำกับต้องการให้เป็นไปตามมุมมองของคาราเวย์
    แต่จากที่เห็น นี่ไม่ใช่ผู้ชายที่ยึดมั่นในความรักต่อผู้หญิงและความฝันร่วมกัน แต่เป็นผู้ชาย
    ที่เสพติดอดีตที่แก้ไขไม่ได้ …. ซึ่งถ้าเป็นไปตามนั้น ผมว่าลีโอนาโด้ เล่นดีมาก
    แต่การรับส่งในทางการแสดงของโทบีย์นี่ไม่ทำให้เกิดแรงขับเคลื่อนใดๆ ได้เลย

    สำหรับผม เรื่อง The Great Gatsby ที่บาสกำกับนี้มีพลังและชัดเจนในสิ่งที่ต้องการจะเล่ามากๆ
    แต่ปัญหาอยู่ที่การกำกับทิศทางการแสดงของตัวละครที่จะเป็นผู้นำพาผู้ชมไปพบกับแกสบี้กับโลกของเขาและผองเพื่อน

    มันทำให่้โลกที่เราได้พบน้้นเป็นมโนของผู้ชมต่อภาพอลังการงานสร้างของโลกอันหรูหราที่แกสบี้ร่วมกับเหล่าผองเพื่อนวูลฟ์ไฮม์ ละเลงกันพาแมลงเม่าบินเข้ามา ก่อนที่จะอันตนรธานกลายเป็นแสงเขียวน้อยๆ ก่อนที่จะดับสูญไป … แต่ชีวิตของเราหลังจากนั้น

    ซึ่งก็น่่าจะได้ตามที่ผุ้กำกับต้องการ
    แต่ชีวิตของผู้นำพาเราเข้าไปเดินทางนั้นกลับไม่มีจริง
    ก็ไม่ต่างอะไรกับภาพลวงอีกชิ้นหนึ่ง
    ที่ผู้กำกับบรรจงสร้างขึ้นมา
    เพื่อเหตุผลอะไร
    ก็สุดแล้วแต่ใจปรารถนา

    / ต้นอโศกหน้าตึกแดง………….

  4. นักแสดงเล่นได้โอเคอยู่ครับ แต่ผมไม่ชอบสไตล์ของหนังเอาซะเลย มันทำให้หนังกลายเป็นเหมือน mv ที่เน้นความโฉบเฉี่ยวมากเกินไปครับ หนังมีลายเซ็นต์บาซเลอร์มันชัดเจนจริงๆ แต่ผมว่ามันมากเกินไปและไม่ได้เข้ากับเนื้อหาของหนังเลย ผมว่าประเด็นลุ่มลึกตามเนื้อหามันถูกลดลงไปก็เพราะสไตล์นี่ละครับ
    ผมว่าหนังเนื้อหาดีขนาดนี้จริงๆมันน่าจะเป็นของคลาสสิคแบบวิมานลอยได้เลยนะ แต่ฉบับนี้เหมือนหนังขายสไตล์อย่างเดียวอ่ะ ดูผ่านๆพอเพลินๆก็พอกล้อมแกล้มได้ครับ แต่ยังห่างจากความเป็นหนังเยี่ยมอีกเยอะ
    …และเอาจริงๆแล้วผมยังรู้สึกว่า Australia นั้นดูโอเคกว่าหนังเรื่องนี้เสียอีก (ทั้งที่มันก็ไม่ใช่หนังดีเด่อะไร)

  5. อ้าว ตอนแรกผมนึกว่าเป็นหนังเพลงสไตล์แบบ Les Miserables

    เพราะใน trailer มีรายชื่อนักร้องเยอะมาก Beyonce, Lana, Jay-Z, . . .

    กะว่าจะไปดูในสกาล่าเหมือนที่เคยประทับใจตอนไปดู Les Miserables ที่นั่น

  6. ผมไม่เคยอ่านนิยายเลยตอบไมได้ว่ามีแก่นสารอะไรมากไหม แต่สำหรับตัวผม ผมให้ 8/10 หรูหรา ฟู่ฟ่า เสียดสีชาวอเมริกันได้ใจ ที่สำคัญชอบการแสดงของลีโอมาก พี่แกทรงพลังมากในด้านการแสดง และที่สำคัญ เพลงประกอบที่กินใจมากๆ ฌดยเฉพาะเพลง young and beautiful ครับ

  7. สนุก // ลงตัว // ได้แง่คิด // ภาพสามมิติ ก็มาเรื่อยๆ เวลามีปาร์ตี้ เขาจะโปรย กลิตเตอร์ กันตลอดเวลา // โทบี้ สไปเดอร์แมน หน้าตาน่ารักมาก // ชอบเพลงประกอบตรงท่อนที่ว่า “ถ้าฉันไม่ได้ดูเด็กและงดงามแบบตอนนี้ เธอยังคงรักฉันไหม” พอมาถึงตอนจบ เลยคิดได้ว่า น่าจะสื่อถึง แกสบี้ บอกกับ เดซ๊่ // หักมุมซะงั้น

  8. The Great Gatsby (2013)
    คะแนน 5.5/10

    The Great Gatsby ของ เอฟ สก็อต ฟิตเจอร์รัลด์ ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดวรรณกรรมชิ้นเอกของชนชาติอเมริกัน ในฐานะที่มันถูกประพันธ์ขึ้นด้วยภาษาที่งดงาม เนื้อเรื่องลึกซึ้งกินใจ และที่สำคัญคือนำเสนอแนวคิดอันร่วมสมัยและเข้มข้นมากทีเดียว สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบันอย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือสังคมอันฟอนเฟะที่ปล่อยให้วัตถุ และเงินตรา มีอำนาจเหนือศีลธรรมและความรักอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง (เรื่องน่าคิดคือ วรรณกรรมถูกเขียนขึ้นในยุค 1920 แสดงว่าเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา สังคมมนุษย์แทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลย)

    ไม่น่าแปลกใจที่วรรณกรรมชิ้นเยี่ยม และได้รับความนิยมจากนักอ่านทั่วโลกอย่างนี้ จะกลายเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ซึ่งที่ผ่านมาก็ถูกนำมาขึ้นจอเงิน จอแก้วหลายต่อหลายครั้ง ครั้งที่โด่งดังที่สุดน่าจะเป็น The Great Gatsby ปี 1974 ที่ได้ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า มาเขียนบท และนำแสดงโดยดาราดังในขณะนั้นอย่าง โรเบิร์ต เรดฟอร์ด และ มีอา ฟาร์โรว์ แต่แล้วในปี 2012 ชื่อ The Great Gatsby ก็กลับมาได้รับความสนใจจากคนดูหนังรุ่นใหม่อีกครั้ง เมื่อผู้กำกับผู้มีสไตล์การทำหนังที่โดดเด่น และขึ้นชื่อเรื่องวิชั่นเว่อร์วังอลังการอย่าง บาซ เลอห์มาน ได้ตัดสินใจหยิบวรรณกรรมเรื่องนี้มาสร้างเป็นหนังอีกครั้ง และประกาศก้องว่าจะเป็นหนังดราม่าสามมิติเรื่องแรกของโลก ก่อนจะสร้างความฮือฮาด้วยภาพและตัวอย่างบางส่วนจากหนังที่เลิศหรูยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง

    เรื่องราวของ The Great Gatsby เวอร์ชั่นใหม่นั้น ยังคงเล่าเรื่องตามวรรณกรรมเกือบทุกกระเบียดนิ้ว โดยเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในยุค 1922 ยุคที่ถูกขนานนามว่า Jazz Age เศรษฐกิจเริ่มสู่ความเฟี่องฟูหลังยุคสงคราม ผู้คนใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ท่ามกลางดนตรีแจ๊สสุดสวิงริงโก้ นิค นักเขียนหนุ่มเพิ่งเดินทางมาอาศัยอยู่ในย่านเศรษฐีแห่งนครนิวยอร์ค ที่นี่เขาได้พบ เจย์ แก๊ทส์บี้ อภิมหาเศรษฐีผู้มีบุคลิกลึกลับ ซึ่งชอบเปิดคฤหาสถ์จัดงานปาร์ตี้สุดอลังการอยู่เนืองๆ แม้จะมีเงินทอง และผู้คนรุมล้อมมากมาย แต่ แก๊บส์บี้ ก็ไม่เคยหวังอย่างอื่น นอกจากความรักจาก เดซี่ บูคาแนน หญิงสาวอันเป็นสุดที่รักของเขาซึ่งมีสามีเป็นอภิมหาเศรษฐีเช่นกัน ความรัก ความหลอกลวง และการทรยศหักหลัง นำไปสู่โศกนาฏกรรมอันน่าสะเทือนใจ ที่สะท้อนถึงความพยายามไขว่คว้าความฝันอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์

    ด้วยความยอดเยี่ยมของวรรณกรรมต้นฉบับ และชื่อชั้นของผู้กำกับ น่าจะทำให้หนังเรื่องนี้ออกมาเป็นงานดราม่าย้อนยุครูปแบบใหม่ที่น่าพึงพอใจได้ไม่ยาก แต่กลับกัน The Great Gatsby กลับกลายเป็นงานที่ย่ำแย่ที่สุดในชีวิตของผู้กำกับ บาซ เลอห์มาน โดยภาพรวมทั้งหมดแล้วมันแย่เสียยิ่งกว่า Australia หนังเอพิคพล็อตเชยๆ ยืดยาดน่าเบื่อเสียอีก สไตล์การทำหนังที่มีความหวือหวาด้านภาพ ให้อารมณ์กึ่งเซอร์เรียล การซ้อนภาพ และการตัดต่อฉับไวอาจไปได้ดีกับหนังเพลงอย่าง Moulin Rouge! แต่ไม่สามารถรองรับการเล่าเรื่องราวดราม่าที่เต็มไปด้วยรายละเอียด และตัวละครที่เปี่ยมมิติของ The Great Gatsby ได้อย่างมีประสิทธิภาพนัก ซ้ำยังกลบแก่นสำคัญของเรื่องไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งนอกจากนี้ต้องติในส่วนของบทภาพยนตร์ และการลำดับภาพ ที่แม้จะเล่าเรื่องตามวรรณกรรมทุกกระเบียดนิ้ว แต่ก็ไม่สามารถเชื่อมต่ออารมณ์ และความหมายของแต่ละฉากได้อย่างลื่นไหล กลายเป็นความแห้งแล้ง ไร้พลัง และน่าเบื่อหน่ายไปในบัดดล ถึงจะได้การแสดงที่ยอดเยี่ยมของ ลีโอนาโด ดิคราปริโอ และ โทบี้ แม็คไกว ก็แทบช่วยอะไรไม่ได้เลย

    สำหรับแฟนคลับของ บาซ เลอห์มาน ที่ตั้งใจมาดูความเวอร์วังอลังการ และไอเดียร่วมสมัยที่เขามักสอดแทรก (หรือบางครั้งก็ไฮไลท์จนโดดเด่น) ในหนังของเขาทุกเรื่อง ก็คงตื่นตาตระการใจในงานโปรดักชั่นที่เรียกว่า จัดหนักจัดเต็ม ทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่ฉาก อุปกรณ์ตกแต่งฉาก เสื้อผ้าหน้าผม แต่หากเรามองอย่างเป็นศิลปะแล้ว จะพบว่าองค์ประกอบเหล่านั้นล้วนเกินพอดี ขาดทั้งความงาม และความหมาย เข้าทำนอง ทำมากแต่ได้น้อย น่าเสียดายงานออกแบบเครื่องแต่งกายที่ให้ความสำคัญกับความสวยแบบแฟชั่นมากเสียจนขาดความสิ่งที่คอสตูมควรมีนั่นคือความดรามาติก ชีวิต และคาแรกเตอร์ของตัวละคร ต้องยอมรับว่ามันสวยจัดเมื่อเป็นภาพนิ่ง หรือแฟชั่นเซ็ท แต่เมื่อปรากฏในหนังกลับแบนราบไม่มีความโดดเด่นน่าจดจำเลย ทั้งหมดทั้งมวลคือองค์ประกอบศิลป์ไม่สามารถสร้างบรรยากาศ และกลิ่นอายของยุคสมัยได้เลย นับเป็นความบกพร่องที่น่าผิดหวังยิ่งสำหรับผู้กำกับและทีมโปรดักชั่นที่เคยเป็นเลิศด้านวิชั่นอย่างนี้

    ดนตรี และเพลงประกอบร่วมสมัยทั้งหลายกว่า 10 เพลง จากหลากหลายศิลปินดังแห่งยุค 2000 ทั้ง เจย์ซี, บียอนเซ่, ลาน่า เดล เรย์ หรือ เอมี่ ไวด์เฮาส์ ที่ถูกรีมิกซ์ใหม่อย่างเก๋ไก๋เหมาะแก่การรวมในอัลบั้ม OST.ของหนังมากกว่าถูกใช้อย่างพร่ำเพรื่ออย่างที่เป็น นอกจากจะทำให้หลายฉากในหนังคล้าย MV แล้ว เพลงเหล่านี้ยังทำลายเสน่ห์ของยุค Jazz Age และกลายเป็นส่วนเกินที่แสนประดักประเดิดอีกด้วย

    ว่ากันตามตรงอย่างไม่เกรงใจ ผมว่าผลงานเรื่องนี้เป็นการตอกย้ำช่วงขาลงของ บาซ เลอห์มาน พลังความคิดสร้างสรรค์ของเขาเคยสดใหม่เฉิดไฉไลเมื่อช่วงยุค 90 และพีคสุดๆ กับ Moulin Rouge! ที่กลายเป็นหนังเพลงแห่งต้นศตวรรษที่ 21 แต่หลังจากนั้นเขาหันไปสร้างงานสเกลใหญ่ยักษ์ แต่ไม่สามารถควบคุมองค์ประกอบทั้งหมดให้ออกมาสมบูรณ์ได้ ทั้งบท เทคนิคภาพยนตร์ องค์ประกอบศิลป์ มันกะพร่องกะแพร่งงอนแง่นมาก ซึ่งจะว่าไปก็ขำนะเมื่อ The Great Gatsby หนังเรื่องล่าสุดของเขามันก็ไม่ต่างจากสังคมมหาเศรษฐีอเมริกันยุค 1920 ในเรื่อง คือ ภาพลักษณ์สวยงามเลิศหรู แต่เนื้อในกลับกลวงโบ๋ เฮ้อ!!! เศร้า!!!

    • ผมคิดว่าคำว่าขาลงของเลอห์มาน ดูจะเกินไปนะครับ ถ้าวัดจากรายได้ของหนังแล้ว หนังเรื่องนี้ทำรายได้มากที่สุดในเครดิตของเลอห์มานนะครับ และเราคงจะยิ่งได้เห็นความหนักข้อและความตระกาลตาของเขาให้หนังเรื่องได้ไปอีกเป็นแน่

Leave a Reply to Foxyladies DiarryCancel reply