Star Trek Into Darkness: ความเห็นหลังชม

star trek into darkness new pic 02หนัง Star Trek Into Darkness ภาคต่อของสตาร์เทร็คฉบับรีบู๊ทที่หลายคนรอคอยได้เข้าฉายในบ้านเรามาตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาครับ ในแบบโรงทั่วไป หนังจะมีรอบมิดไนท์ที่โรว IMAX ของพารากอน และรัชโยธิน วันที่ 15 นี้ด้วยครับ ก่อนที่จะเปิดฉายแบบเต็มๆ ให้ชมในโรง IMAX ปลายสัปดาห์นี้ หนังถ่ายทำด้วยกล้อง IMAX ราว 30 นาที อรรถรสแบบเต็มร้อยตามความตั้งใจของผู้สร้างก็คงต้องเป็นโรง IMAX นี่แหละ

หนังจะเข้าฉายในสหรัฐสุดสัปดาห์นี้เช่นกัน หลังจากฉายในตลาดอินเตอร์ก่อนหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งตามรายงานของเดอะ ฮอลลีวู้ด รีพอร์เตอร์ บอกว่ารายได้เปิดตัวจาก 7 ประเทศรวมกัน 31.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เปิดตัวสูงกว่าภาคปี 2009 ถึง 70% หนังจะเข้าฉายในตลาดใหญ่อย่างจีนและรัสเซียในสัปดาห์นี้พร้อมสหรัฐ ซึ่งดูแล้วก็มีทีท่าว่าจะทำเงินสูงกว่าภาคที่แล้ว ส่วนรายได้ของบ้านเรานั้น อ่านจากกระทู้ของคุณ Ba-Yan-Tree ในพันทิป บอกว่ารายได้ตอนนี้แตะ 16 ล้านบาทแล้ว มีแววว่าน่าจะทำเงินเกิน 29 ล้านบาท ที่ภาคปี 2009 เคยทำไว้

ในแง่คำวิจารณ์ ประเมินจาก Rotten Tomatoes ที่ตอนนี้รวบรวมมา 71 บทวิจารณ์แล้ว แม้จะยังไม่ถึงครึ่งของนักวิจารณ์ส่วนใหญ่ แต่ก็พอสรุปได้ว่าความเห็นออกไปในทางบวกเป็นส่วนใหญ่ครับ หนังมีนักวิจารณ์ชอบ 87% และคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 7.5/10

สำหรับความเห็นของผม บอกได้ว่าเป็นหนังที่สนุก ตื่นเต้น และชวนลุ้นมากๆ และยังเป็นหนังที่ซาบซึ้งในแง่ความสัมพันธ์ของตัวละครด้วย ทั้งยังมีการสร้างฉากหรือใส่ลูกเล่นบางอย่างที่ทำให้เรานึกถึงภาคเก่า ที่ส่วนตัวมองว่าใช้ได้อย่างสร้างสรรค์ครับ แต่ถ้าบอกในฐานะแฟนหนังชุดนี้ที่ดูมาทุกภาคก็คงบอกว่าหนังยังไม่ครบรส เพราะสตาร์เทร็คจะต้องมีองค์ประกอบทางเนื้อเรื่องที่เป็นไซไฟปรัชญา พวกนิยามความหมายของคำว่า “สิ่งมีชีวิต” หรือโลกใหม่ พรมแดนใหม่ ที่ทำให้เราได้มาสำรวจ “ความเป็นมนุษย์” ของตัวเราเอง หนังเน้นไปที่การผจญภัยและความสัมพันธ์ของตัวละครแค่นั้น หนังสตาร์เทร็คภาคที่ดีที่สุด (ซึ่งในความเห็นของผมยังเป็น Star Trek II: Wrath of Khan) สามารถเอาองค์ประกอบทางเนื้อเรื่องเหล่านี้มาเล่าได้อย่างกลมกลืน กลมกล่อม และเสริมกันหมด

ผมให้คะแนนหนังที่ 8/10 ครับ เพื่อนผู้อ่านเว็บชอบหนังเรื่องนี้แค่ไหน ยังไงกันบ้างครับ และให้กี่คะแนนกัน และถ้าสามารถให้ความเห็นได้มากกว่านั้น อยากให้ลองเปรียบกับภาคที่แล้วว่าชอบมากหรือน้อยกว่ากัน และถ้าเปรียบกับภาคเก่าๆ ทั้งหมด ชอบในระดับไหนครับ สุดท้ายก็คือถ้าได้ชมในระบบ IMAX ด้วย รู้สึกว่าอรรถรสเป็นอย่างไรบ้างครับ

ใส่ความเห็นกันมาได้เลย อนุญาตให้สปอยล์ ดังนั้นผู้ที่ยังไม่ได้ชมไม่ควรอ่านครับ

20 comments

  1. ส่วนตัวชอบภาคนี้มาก
    การแคสต์ของนักแสดงที่มารับบท khan ก็ดีมากเช่นกัน
    Benedict ทำให้เห็นถึงความรู้สึกของตัวละครนี้จริงๆยิ่งทำให้น่ากลัวก็น่ากลัวมากจริงๆ 555
    เจ๋งมากครับ อยากให้ไปชมกันเยอะๆ
    เอาไปเลย 8.5 / 10

  2. ผมให้ 9/10 ประทับใจตัวร้ายมากๆ ดูมีพลัง ทั้งการพูด การแสดงสีหน้า เนื้อเรื่องงานสร้างสุดๆ ถ้าเทียบกับ ตัว ร้าย เตารีดแมนละก็ นะความประทับใจต่างกันมาก 55

  3. ส่วนตัวผมดันติดภาพ sherlock ที่ทั้งเก่งและฉลาดมากๆ เลยดันกลายเป็นคิดว่า ข่านน่าจะเจ๋งกว่านี้น่ะครับ แต่โดยรวมก็สนุกดีครับ

    • รู้สึก tracker หลายคนยังฟินไม่สุดกับภาคนี้ครับ ส่วนตัวผมเองติดภาพเบเนดิคเป็น sherlock มากกว่าเหมือนกัน แล้วก็ยังติดภาพข่านคนเก่าที่โหดและดิบสุดๆ เลยดูแล้วแอบตะขิดตะขวงเล็กน้อย

      แต่หากตัดอคติเล็กๆนี้ไปโดยรวมเบเนดิคทำหน้าที่ตัวเองได้ดีมากครับ หนังโดยรวมดูดีมาก เอฟเฟคโดดเด่น ตัดต่อเยี่ยม ผมให้ 8.5/10 (หักคะแนนคิดว่าติดภาพ sherlock มากเกิน)

  4. ชอบครับ ให้ 9/10 .. ชอบที่หนังช่างพยายามหาอุปสรรคมาให้ตัวละครต้องฝ่าฟันไปได้ตลอด ให้บรรยากาศแบบหนังผจญภัยสนุกๆ ที่ดูแล้วลุ้นไปด้วยตลอด
    (คนละบรรยากาศกับแนวดาร์ไนท์ของโนแลน อันนั้นลุ้นแบบ “เครียดโว้ย” — ไม่ได้จะเปรียบเทียบ และไม่ได้เกี่ยวกันเลยนะครับ แค่อยากบอกเฉยๆ แหะๆ)
    ซึ่งหายากมากขึ้นทุกทีในหนัง พ.ศ.นี้ ที่มักจะขายความตูมตาม ตื่นตา มากกว่าความตื่นเต้นที่แท้จริง

    วัดจากแฟโนมิเตอร์แล้ว ถามท่านว่าเทียบกะ Iron Man เป็นไง? ท่านรีบร้อง “โอ้วว… เทียบกันไม่ได้!!” (อันนี้สนุกกว่าเยอะ!! โหะๆๆ)

    ^_^

  5. เทร็คกี้อย่างผมไม่มีผิดหวังเลยครับ …อันนี้ขอพูดส่งไปถึงเทร็คกี้ทุกคนเลยว่า คุณต้องไปดูในโรงให้ได้เลยสำหรับหนังภาคนี้ ไม่งั้นก็เรียกตัวเองว่าเป็นเทร็คกี้ไม่ได้แน่นอน! เอาไปเหอะ 10 คะแนนเต็ม!!!!

  6. มันส์มาก สนุกมาก ลุ้นมาก เหมือนภาคนี้ธีมหลักจะอยู่ที่เรื่องความสัมพันธ์ มิตรภาพ ที่จะช่วยส่งให้เกิดทิศทางของตัวละครในภาคต่อๆ ไป ได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้เคียงกับซีรี่ย์ต้นฉบับ

    ปล. เสียดายที่คุณยุทธไม่ได้แปลซับของภาคนี้ครับ ส่วนตัวแล้วรู้สึกชอบการแปลของคุณยุทธในภาคที่แล้วมากกว่า

    • ภาคที่แล้วก็ไม่ได้แปลครับ ^^

      ผมทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านศัพท์สตาร์เทร็คกับช่วยเกลาให้นิดหน่อยเท่านั้นเอง

  7. กำลังรอความเห็นของพี่ยุทธอยู่พอดีครับ แม้จะได้เห็นไปบ้างในทวิตเตอร์แล้วก็เถอะ

    สำหรับผม ชอบภาค Into Darkness เป็นรองจาก Star Trek ฉบับ 2009 ที่เจ.เจ. อับรามส์รีบูตแฟรนไชส์นี้ขึ้นมาใหม่นั่นเอง

    ส่วนตัวรู้สึกว่าในภาคแรกทำให้เรามีอารมณ์สนุกสไตล์วัยรุ่นค้นหาคำตอบในชีวิตที่ทำให้เราประทับใจได้มากกว่า เพราะว่ามันแปลกใหม่มากๆสำหรับหนังไซไฟที่เคยได้ดูมา

    เหมือนว่า Into Darkness ยังไม่ได้ ‘มืดหม่น’ เสียขนาดนั้น แต่มันก็เป็นบททดสอบจิตใจตัวละครที่สาหัสพอสมควร สิ่งหนึ่งที่แอบผิดหวังอาจเป็นเพราะจอห์น แฮร์ริสันมีปมขับเคลื่อนซ้ำกับนีโรในภาคที่แล้ว นั่นก็คือ “แค้น” และตัวตนที่แท้จริงของจอห์น แฮร์ริสัน มันดันไม่ผิดไปจากข่าวที่ลือๆมา (แต่ก็ยอมรับว่าร้องอั้ยย่ะออกไปในโรงเหมือนกัน)

    แต่อย่างไรก็ตาม Star Trek Into Darkness คือหนังที่ดูแล้วรู้สึกชอบมากถึงที่สุดในรอบสี่ปีนับตั้งแต่ Star Trek เมื่อปี 2009 ที่ผ่านมา

    Star Trek Into Darkness เดินเรื่องด้วยความไวและกระชับตามแบบฉบับภาคแรก และทำให้เราเซอร์ไพรส์ได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง เพราะจากที่ได้ดูคลิปและตัวอย่างมา สถานการณ์ที่สปอคอยู่ในปล่องภูเขาไฟนั่นเรารู้สึกได้เลยว่ามันหนักและเข้มข้นมาก คงต้องเป็นฉากที่อยู่ตอนท้ายๆเรื่องแน่ เพื่อให้เราลุ้นว่าสปอคจะอยู่หรือจะไป

    แต่มันกลับตาลปัตร! เพราะฉากนี้เกิดขึ้นก่อนไตเติ้ลหนังด้วยซ้ำ เราก็ชักเริ่มคิดไม่ถูกแล้วว่าคราวนี้เจ.เจ.จะพาเราทะยานไปไกลถึงบ้าง ด้วยความไม่รู้นี้เองทำให้ตื่นเต้นและลุ้นไปได้ตลอดเรื่อง

    ชอบการออกแบบฉากแอ็คชั่นล้ำๆหลายฉาก และชอบตรงฉากที่เคิร์คและจอห์นต้องพุ่งออกจากยานเอนเตอร์ไพรส์ ร่อนในห้วงอวกาศผ่านซากปรักหักพังต่างๆเพื่อไปยังยาน USS Vengeance รู้สึกว่ามันเป็นการเอาลูกเล่นใหม่ของการกระโดดชูชีพจากอวกาศมาต่อยอดอีกครั้ง และครั้งนี้ทำได้เสียวไส้มากกว่าเดิมอีก

    หนังภาคนี้สอดแทรกอะไรบางอย่างเข้ามาเรื่อยๆนอกเหนือไปจากงานด้านภาพที่แสนจะอลังการ(แสงแฟลร์)

    ตัวละครของเคิร์คกับสปอคแสดงให้เห็นกลายๆว่า ต่อให้รักกันจนตายแทนกันได้ แต่การที่ยึดติดในความเชื่่อแบบสุดโต่งกันคนละขั้วก็ทำให้เกิดความไม่เข้าใจขึ้นได้ เคิร์คก็หวังที่จะให้สปอคพูดมันออกมา ในขณะที่สปอคก็รู้ดี แต่เพราะการยึดมั่นในหลัก ‘ตรรกะเหตุผล’ เฉกเช่นชาววัลแคนทำให้เอ่ยปากออกมาไม่ได้

    ประโยคที่แทงใจจี๊ดคือตอนที่เคิร์คพูดกับสปอคว่า ‘ฉันถามส่วนที่เป็นมนุษย์ของนาย’ (ประมาณนี้หรือเปล่านะ)

    นอกจากนี้บรรดาลูกทีมของเคิร์คเองก็มีปมที่โยนใส่ให้ทดสอบแบบไม่ปล่อยให้ตัวละครแบนราบ ทั้งอูฮูร่าที่สับสนกับความรักอันซับซ้อนกับชาววัลแคนผู้มักไม่แสดงความรู้สึก คุณหมอแมคคอยที่เป็นกังวลกับความบ้าระห่ำของเคิร์คและสปอคผู้ไม่ค่อยแสดงออกทางอารมณ์ ซูลูกับภาระความรับผิดชอบในฐานะของ ‘รักษาการกัปตัน’ เชคอฟกับการสับเปลี่ยนไปทำงานในแผนกวิศวกรรมที่ตัวเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญถึงขนาดนั้น รวมไปถึงสกอตตี้ที่ถึงกับมีการแตกหักกับกัปตันเคิร์คด้วยการขอลาออกไม่ไปร่วมภารกิจล่าตัวจอห์น แฮร์ริสัน

    จะว่าไปแล้วภาคนี้มันก็คือ The Wrath of Khan อีกหนึ่งเวอร์ชั่น ในภาคต้นฉบับนั้น ถ้าคนที่ไม่เคยดูหรือรู้เรื่องในซีรีส์มาก่อนเช่นผม ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักว่าข่านเป็นใคร แล้วทำไมถึง ‘แค้น’ ซึ่งใน Into Darkness มันขับเน้นให้เห็นได้อย่างชัดเจนมากกว่า โดยเลือกที่จะตัดให้เหลือข่านเพียงคนเดียวที่ถูกปลุกขึ้นมา ในขณะที่ภาคต้นฉบับ ลูกน้องหรือครอบครัวที่ข่านเรียกนั้นได้ตื่นมาอยู่ด้วยกันเพื่อต่อสู้เคียงข้าง ทำให้รู้สึกว่าแรงกดดันของความแค้นมันแผ่วไป

    และเพราะความสดใหม่ของ Into Darkness ทั้งในแง่ของเทคนิคการถ่ายทำและการแสดงเบเนดิคต์ คัมเบอร์แบทช์เอง ทำให้ตัวละครของข่านที่มีนิยามว่า เป็นผลผลิตจากการตัดต่อพันธุกรรม มีความไร้เทียมทานทั้งด้านร่างกายและสติปัญญาที่ขับเคลื่อนด้วยความแค้นมันเป็นเช่นไร

    หนังเรื่องนี้พาเราทะยานเข้าสู่ห้วงมืดที่มีพลิกไปมาอยู่หลายตลบ โยนดราม่าและความสูญเสียกับสถานการณ์ที่บีบคั้นเข้าใส่ตัวละครและคนดูอยู่เป็นระยะ แล้วไหนจะปริศนาที่ทำให้คนดูอยากรู้ใจจะขาด นี่เป็นลูกเล่นสมฉายาผู้กำกับอัจฉริยะของเจ.เจ.จริงๆ

    และอีกอย่างหนึ่งที่รู้สึกชอบ อย่างที่พี่ยุทธบอกไว้ Into Darkness นำเอาองค์ประกอบบางอย่างของ Star Trek รุ่นเก่ามาใส่และเล่นได้อย่างลงตัว

    ซึ่งการนำเอาฉากบางฉากมาทำใหม่นี้ แม้จะเป็นสถานการณ์เดียวกัน แต่กลับพลิกผันไปแบบเกินความคาดหมาย

    แอบเห็นในตัวอย่างแล้ว ฉากที่ฝ่ามือของสปอคแตะอยู่ตรงกระจกน่ะ จากภาค The Wrath of Khan นั่นคือการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของสปอค ทำให้เราคิดว่าเราเดาออกแล้ว เจ.เจ. ต้องให้สปอคตายเพื่อบีบน้ำตาคนดูแน่ๆ

    แต่ที่ไหนได้…

    เฮียพลิกฝ่ามือนิดเดียว ความคาดหวังที่ว่าคงจะเป็นลูกเล่นเดิมๆที่มีก็พังทลายลงไปทันที

    เพราะหนนี้คนที่อยู่ข้างในห้องปฏิกรณ์…กลับกลายเป็นกัปตันเคิร์ค!!!

    คราวนี้ล่ะคุณเอ๋ย น้ำตาไหลพรากๆแบบไม่ทันตั้งตัวเลย แถมยังขนลุกและประทับใจถึงที่สุดเมื่อสปอคกรีดร้อง ข่าาาานนนน!!! ออกมา จากในภาค The Wrath of Khan ที่เรามองว่าเคิร์คพูดแล้วดูแปร่งๆตลกๆ ใน Into Darkness นี่มันวาบไปทั้งหัวใจเลย ได้ทั้งความไม่ซ้ำเดิม และได้ทั้งการระเบิดอารมณ์ที่เก็บกดไว้มานานของสปอคให้ออกมาจนหมดสิ้น

    มันเป็นการเอาฉากเก่า มาทำใหม่ ที่สุดยอดที่สุดเท่าที่เคยได้ดูมาเลย

    Star Trek ฉบับของเจ.เจ.อับรามส์ กลายเป็นทั้งหนังรีบูต และภาคต่อจากฉบับดั้งเดิมไปในเวลาเดียวกัน เพราะการใช้ลูกเล่นของการเดินทางข้ามเวลาในภาคแรก ที่ทำให้ชะตากรรมของทุกตัวละครใน Trek ชุดนี้ไม่สามารถคาดเดาได้ จะซ้ำเดิม หรือแตกต่าง ก็สามารถพลิกผันไปโดยอิสระ ทั้งในด้านเนื้อเรื่องในจักรวาลของมันเองและบทที่ผู้เขียนจะวางให้

    ฉลาดล้ำจริงๆครับ เจ.เจ. อับรามส์

    แอบชอบฉากที่ยาน USS Vengeance ใช้เทคโนโลยีทรานส์วอร์ปไล่ตามเอนเตอร์ไพรส์ในอุโมงค์มิติ ขนลุกจริงอะไรจริง เพราะในหนังต้นฉบับภาคสาม; The Search for Spock นั้นนำเอาทรานส์วอร์ปมาแบบฟอร์มดีทีเหลวจนกลายเป็นเรื่องขำขันไป (อาจจะเพราะทุนกับเทคโนโลยีไม่เอื้ออำนวย) ทำให้เราต้องมานั่งจินตนาการเองเองว่าถ้าคราวนั้นมันสามารถทราส์วอร์ปได้จริงๆล่ะ อะไรจะเกิดขึ้นกับเอนเตอร์ไพรส์?

    และเจ.เจ.ก็ได้ให้คำตอบกับผมได้อย่างยิ่งใหญ่เต็มเปี่ยมใน Into Darkness แล้ว

    นอกจากนี้ก็ยังมีเผ่าพันธุ์ที่เป็นคู่ปรับอมตะกับสหพันธรัฐดวงดาวมาช่วยเสริมความน่าสนใจและเอาใจเทรคกี้กันอีกต่างหาก ซึ่งแน่นอนว่าเป้นเวอร์ชั่นใหม่ ก็ต้องเปลี่ยนให้ดูแปลกใหม่ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความดุดัน สมกับเป็นเผ่าพันธุ์นักรบของชาวคลิงออน

    แล้วไหนจะการต่อสู้ระหว่างยานของสหพันธ์ฯด้วยกันเองอีก ทั้งดนตรีประกอบชั้นครู แล้วก็อะไรอย่างอื่นอีกหลายๆอย่างที่ทำให้เราตกหลุมรัก Into Darkness เข้าอย่างจัง

    เสียดายที่ไม่ได้ดูในระบบ IMAX 3D คิดว่าจะหาเวลาไปยลโฉมสักที แต่ก็เป็นประสบการณ์กับ Star Trek Into Darkness ที่ดี เพราะยังเป็นครั้งแรกที่ได้ฤกษ์ไปดูที่โรงหนังคลาสสิคอย่างสกาล่า รอบเช้า 80 บาท ระบบดิจิตอลจอใหญ่บิ๊กบึ้มขนาดนี้หาที่อื่นไม่ได้อีกแล้วล่ะ ได้ยินคนเขาเชียร์มานานว่าให้ลองไปดู ไม่ผิดหวังจริงๆ มัน ใหญ่ มากๆๆ

    สรุป Star Trek Into Darkness เราให้ 8.5 / 10

    ยังชอบฉบับปี 2009 มากกว่า (เป็นเหตุผลส่วนตัวที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่อยากเชื่อนะ แต่คิดยังไงก็รู้สึกสนุกกับภาคก่อนมากกว่าจริงๆ)

    และถ้าเทียบกับภาคเก่าๆ ยังไงความสนุกของภาคนี้ก็กินขาด แต่ความคลาสสิคใน Into Darkness ดูจะแผ่วไปหน่อย ชอบกลิ่นอายอย่าง The First Contact, Nemesis, The Wrath of Khan อะไรแบบนี้มากกว่าครับ ถึงจะไม่เน้นมันส์จนอิ่มฟิน แต่ก็กลมกล่อมจนเราอยากกลับไปดูอีกครับ

    และขอบคุณพี่ยุทธที่เปิดพื้นที่ให้เราเวิ่นเว้อยาวเสียจนขนาดนี้ด้วยครับ

  8. ผมให้ 8/10

    ส่วนตัวผมคิดว่่าตัวหนังสามารถทำได้พีคกว่านี้

    สำหรับ ข่าน ผมคิดเอาเองว่า อับราม น่าจะเก็บตัวละครนี้ไว้ เพื่อใช้ในภาคต่อไป เพราะข่านถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งของ Kirk

    การตีความตีละครของข่าน โดยให้ Benedict รับบท นั้น ผมคิดว่าเป็นอะไรที่เหมาะสมเลยทีเดียว เพราะ Benedict จะแสดง อารมได้ชัดเจน ไม่ว่าจะ เสียใจ โหดเหี้ยม
    และให้ความรู้สึกของความเป็นผู้นำ

    ส่วนที่ชอบในภาคนี้อีกอย่าง คือได้เห็น มิติตัวละครของ Spock มากขึ้น ได้เห็นอารมณ์ของ Spock มากขึ้น
    รวมถึงความสามารถในการแก้ปัญหา รับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ทักษะในการต่อสู้ที่เรียกได้ว่า สูสีกับข่านเลยทีเดียว

    ตัวละครของ Kirk ในภาคนี้คือรู้สึกได้ว่า เป็นผู้ใหญ่มากกว่าภาคที่แล้วมาก เสียดายที่บทของKirkในภาคนี้ดูด้อยลงไป
    แม้ว่าจะมีไหวพริบที่เฉียดขาด แต่โดนความฉลาดของข่าน ข่มอยู่ดี เป็นตัวละครที่พร้อมจะตัดสินโชคชะตาด้วยความรู้สึกและสัญชาตญาณล้วนๆ

    น่าเสียดายที่อับราม จะต้องไปกำกับ Star Wars

    ถ้า Star Trek จะมีภาคต่อ
    ผู้กำกับคนต่อไปที่จะกำกับคงเจองานยากไม่ใช่น้อย เพราะ อับรามเคยทำไว้ดีมาก

  9. สงสัยหวังไว้เยอะ เลยไม่ค่อยประทับใจ ยิ่งดูตัวอย่างของตัวร้าย ยิ่งคาดหวังไว้เยอะ ถ้าจำไม่ผิดในตัวอย่างจะมีแผนทำให้พวกของพระเอกแต่ละคนแตกแยก แต่ดูเหมือนหนังมันสั้นไป ทำให้ยังดึงแนวคิดแผนการร้ายออกมาไม่หมด ยอมรับว่าฉลาด เก่งโครต แต่…(ไปดูเอง) ทำให้นึกถึงโจ๊กเกอร์ อยากให้ตัวหนังยาวกว่านี้เหมือน the dark knight
    เสียดายอย่างมากอยากให้ตัวหนังยาวกว่านี้อีก ให้ฉลาดเก่งเหนือโครตจยังไงแต่ถ้าความยาวหนังไม่เอื่ออำนวย ตัวร้ายก็จะกลายเป็นตัวร้ายธรรมดาไปในบันดล

  10. ไม่ใช่เทร็คกี้ แต่ก็ตามดู Star Trek มาบ้างทั้งในซีรีย์และหนัง ถูกใจกับ Star Trek รีบู๊ทที่ทำให้คนที่ไม่ใช่แฟนก็สนุกได้ แต่ถ้าวัดกับความรู้สึกโดยรวมแล้วจะชอบ Into Darkness มากกว่าเพราะมันลื่นและสนุกกว่า ถ้าคนที่ไม่มีข้อมูลหนังแล้วไปดูคิดว่ายังไงก็สนุกอยู่ ส่วนใครที่เป็นแฟนก็ไม่ผิดหวัง ถึงอยากยกเครดิตให้ ผกก ที่ทำได้ทั้งสองทาง เยี่ยมมาก ปล. มึนกับแสงแฟลร์ อิอิ

  11. สนุกมากครับ 9/10 เลยหละ เป็นหนังที่ทำให้นั่งไม่ติดเก้าอี้เกือบทั้งเรื่องในรอบหลายปีทีเดียว

    ผมว่าน่าจะถูกจะสาวกนะ มันมี กิมมิค ให้สาวกอมยิ้มได้ตลอดเรื่องทีเดียว การเกลี่ยบทก็ค่อนข้างดี คริส ไพน์ ก็เล่นได้เหมือน วิลเลี่ยม แชทเนอร์ มากขึ้นกว่าภาคก่อน โดยเฉพาะสายตา และการอมยิ้ม เสียดาย บท หมอ โบนส์ น้อยไปหน่อย

    ส่วนเรื่องปรัชญาผมเฉยๆ นะ ผมชอบ Trek ที่ความเป็นมิตรภาพระหว่างลูกเรือมากกว่า ภาคนี้ก็ทำได้ดีทีเดียว (เหมือนภาคเก่าๆ ภาคไหนลูกเรือคนไหนบทน้อยผมจะแอบเซ็งทุกที)

    พูดตรงๆ อยากให้ เจเจ กำกับ Trek ให้จบไตรภาคก่อนค่อยไป กำกับ Star Wars จริงๆ (ถึงผมจะเป็นสาวก Star Wars ก็เถอะ) อุตส่า ปั้น Trek มาได้ขนาดนี้แล้ว

  12. หนังเริ่มต้นได้น่าสนใจ และมีพลัง การเปิดตัว ข่าน ทำได้น่าสนใจมาก แต่กลับมาแผ่วลงเอาดื้อๆตอนกลางเรื่อง เมื่อตัวร้ายของเรื่องคลายปมออกมา และหลังจากนั้นก็ไม่สามารถหวังอะไรที่เป็นที่สุดได้อีกเลย บทของลูกเรือเองที่พยายามใส่เข้ามาก็ดูไม่สมเหตุสมผลในหลายๆฉาก
    หนังเพียงพอให้ดูไปแบบเพลินๆเท่านั้น หนังไม่สามารถเรียกอารมณ์ร่วมของคนดูไปกับตัวละครได้เลย
    และทุกฉากที่ดูน่าตื่นเต้นมันก็ได้ผ่านตามาแล้วในหนังตัวอย่างนอกเหนือจากนั้นแทบจะไม่มีอะไรอีกเลย
    ส่วนตัวแล้วคิดว่าภาคที่แล้วดีกว่ามากครับ ให้ 7.5/10

  13. มันมาก ใ้ห้ 8/10เลย เหมือนจะน้อย แต่ผมมาตรบษนสูง แหะๆ
    เนื้อเรื่องอาจจะไม่เด่นมาก แต่จังหว่ะหนัง มุกตลก ความเท่ ความฉลาด
    มันเป็นอะไรที่ แน่นออก ยกออก ล้อเล่นครับ คือมันสุดยอดมาก
    ผมเพลินมาก ดู เรื่อยๆ ลุ้นตลอด ฉากลุ้นนี่ ลุ้นแบบ เหมือนเราอยู่ในยานกับเค้าด้วย
    ช่วยยานจะตก นี่โห ทำดีมาก ใจผมอยู่กัยหนังอย่างเดียวเลย
    ไม่มีตจุดให้ขัดใจ หนังนะ ถ้าดูแล้วขัดใจมันจะไม่อิน ไม่อินแล้วก็ พาลหมดสนุกไปเลย
    แต่เรื่องนี้โคตรมัน ตอนท้ายๆ ผมดันเดาออก เลยหมดหนุกไปนิดนึง แต่คุ้มมาก
    คิดว่าน่าจะมีรอบ 2 ไปเก็บลายละเอียด ถ้าเทียบกับหนังที่ลงโรงช่วงนี้ ความคิดผมนะ เรื่องนี้กินขาดยาวๆเลยไป จนกว่า คลากเค้น จะถอดแว่นนั่นแหละ แหมะ อินไม่หาย ไปหาอ่านในพันทิปต่อดีกว่า

  14. ส่วนตัวผมชอบมาก เพราะพยายามไม่ติดตามข่าวอะไรของหนังเลย ไปลุ้นเอาหน้างานเลยครับ จึงไม่ผิดหวังสักนิดเดียว เดิมเคยดูแต่ Next generation กับ Wrath of Khan มาเท่านั้น แต่ตอนนั้นเด็กครับเลยเบื่อง่าย (ถึงกับร้องเฮ้ย!เลยตอนที่เอาฉากคลาสสิคของภาค Wrath of Khan มาทำใหม่) ผมชอบมุมมองใหม่ที่เจเจเสริมให้กับหนังชุดนี้มากครับ ในแง่ของการพจญภัยหรือมิตรภาพของลูกเรือที่เปรียบเสมือนครอบครัว เพราะมันดูง่ายแล้วก็อินได้ไว การกระจายบทก็ทำได้ในระดับที่ดี มุขตลกของหนังชอบมาก การแสดงไม่ต้องพูดถึง ผมไม่รู้นะครับว่าเบนนาดิกเขาพยายามปรับมุมมองตัวร้ายใหม่ให้มาเป็นในสไตล์นั้นหรือปล่าว แต่ผมกลับชอบที่ตัวร้ายดูนุ่นนวลขึ้น และน่าสงสาร ดูเป็นคนที่ไม่ได้บ้าอำนาจ แต่พร้อมจะบีบหัวคนให้เละคามือแบบในหนังนั้น และล้ำหน้ากว่าพระเอกก้าวนึงตลอด ผมว่าสุดยอดมากๆ ดูเป็นแบบอย่างของตัวร้ายที่เป็นสมัยใหม่แต่มีกลิ่นอายของตัวร้ายในสมัยก่อนอยู่อย่างแนบเนียนมาก ถ้าจะมีไม่สบอารมณ์อยู่อย่างบ้างคือ หนังมันเดินทางเร็วมาก บางฉากมันเลยยังขยี้อารมณ์ได้ไม่พีคเท่าที่ควร แล้วก็ด้วยสาเหตุเดียวกันอาจจะทำให้บางจุดของหนังมันไม่เคลียร์เท่าที่ควรสำหรับคนที่เพิ่งเคยดูเป็นภาคแรก แล้วก็เห็นด้วยครับกับเรื่องไซไฟปรัชญาว่ามันน่าจะทรอดแทรกอะไรได้มากกว่านี้ อย่างเช่นฉากเปิดตัวของหนังเป็นต้น สำหรับผม Into Darkness นั้นครบรสแล้วก็ปรุงออกมาได้แซ่บดีใช้ได้เลย แต่อาจจะติดเปรี้ยวมากไปซักนิดนึง แต่โดยส่วนตัวชอบทานเปรี้ยวครับ ไม่ผิดหวัง สนุก และรักเลยครับ…
    8.5/10

Leave a Reply to ajanabureeCancel reply