The Hobbit: An Unexpected Journey – ความเห็นหลังชม

hobbit 1 reader reviewsThe Hobbit: An Unexpected Journey ได้เข้าฉายในบ้านเราพร้อมกับในสหรัฐ และหลายส่วนของโลกในสัปดาห์นี้ครับ และดูเหมือนว่าได้รับการต้อนรับจากหมู่นักวิจารณ์น้อยกว่า The Lord of the Rings มากทีเดียว คะแนนจากนักวิจารณ์ชั้นนำที่ Metacritic รวบรวมมานั้นอยู่ที่ 58/100 ส่วนคะแนนเฉลี่ยจากการประเมินของ Rotten Tomatoes ก็อยู่ที่ 6.4/10 มีนักวิจารณ์ชอบเพียง 66% จาก 187 บทวิจารณ์ในตอนนี้ครับ

ความเห็นด้านลบส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นกับหนังมาจากการที่ไม่ชอบเทคโนโลยี 48เฟรม/วิ ที่ใช้ในการฉายหนัง และอีกส่วนก็มาจากการนำเสนอหนังของปีเตอร์ แจ็คสันเอง ที่ทำแตกต่างจากฉบับนิยาย เพระาขณะที่ The Lord of the Rings ซึ่งเป็นนิยายที่มีความหนามาก และยาวถึงสามภาค แจ็คสันได้พยายามลดทอนเนื้อหาลง ต่างจาก The Hobbit ที่บางกว่า กลับถูกขยายเป็นสามภาค ทำให้นักวิจารณ์บางส่วนเห็นว่าเนื้อหาในหนังนั้นยืดเยื้อเกินไป

สำหรับผมแล้ว ได้ชมหนังในระบบ IMAX จึงไม่มีความเห็นเรื่อง HFR แต่จากที่อ่านคำวิจารณ์จากนักดูหนังคนไทยก็ดูเหมือนว่าจะเสียงแตกพอสมควร บางคนบอกว่าชัดเกินไป ปวดตา และเหมือนดูทีวีจอยักษ์เกินไป ส่วนอีกกลุ่มก็บอกว่าภาพคมชัด ดูสวย สมจริง ซึ่งอาจเป็นที่ความชอบส่วนบุคคลจริงๆ ว่าอยากให้หนังออกมาในรูปแบบไหนครับ

ส่วนตัวหนังนั้น ผมให้คะแนนอยู่ที่ 7.5/10 ครับ ผมไม่คิดว่า The Hobbit ภาคแรกเป็นหนังที่แย่ แต่ก็ยังสู้ภาคใดภาคหนึ่งของ LOTR ไม่ได้อยู่ดี หนังมีงานสร้างที่ยิ่งใหญ่ มีฉากเทคนิคที่สมจริง และน่าตื่นตา มีลูกเล่นที่น่าสนใจโดยเฉพาะฉากในโพรงกอบลินใต้ดิน การเคลื่อนไหวของกล้องที่เลื้อยมาจากด้านบนแล้วตามตัวละครไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง เป็นอะไรที่ตะลึงพรึงเพริดมากครับ อดคิดไม่ได้ว่าผู้กำกับถ่ายทำฉากเหล่านี้ได้ยังไง

อย่างไรก็ดี หนังโดยรวมสร้างความสนุกให้ได้เพียงในระดับพอใช้ หรือพอดูได้เพลินๆเท่านั้น ทั้งนี้เพราะเนื้อเรื่องของหนังมีความเข้มข้นและมีพลังน้อยไปหน่อย เรื่องราวไม่ต่างจาก The Fellowship of the Ring เท่าไหร่ เป็นการออกเดินทางเพื่อทำภารกิจ ระหว่างทางก็เจออสุรกายต่างๆ แต่ The Hobbit ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกถึงความน่ากลัวของภัยร้าย และความยากลำบากของภารกิจได้ถึงครึ่งเลย ไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงการแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่ของคนตัวเล็กที่ทำให้เราทั้งลุ้น ทั้งสงสาร ทั้งอยากเอาใจช่วยได้เท่า มันให้อารมณ์เหมือนเป็นการออกเดินทางผจญภัยตามแบบฉบับหนังผจญภัยทั่วไป จึงยิ่งทำให้หนังมีความพิเศษน้อยลงไปอีก

ขณะเดียวกัน ตัวละครของ The Hobbit ก็ขาดเอกลักษณ์ ขาดเสน่ห์ และขาดพลังแบบเหล่าพันธมิตรแห่งแหวน ผมจำตัวละครคนแคระได้แค่บางตัวเท่านั้น และไม่ได้รู้สึกได้เข้าถึงจิตใจของตัวละครเหล่านั้นจนเกิดความสงสารหรือหลงรักตัวละครสักเท่าไหร่ มีเพียงบาลิน ตัวละครของเคน สต็อตต์ เท่านั้นที่ดูมีอะไรให้แสดงเยอะ ที่เหลือส่วนใหญ่ดูเป็นตัวละครโหลๆ สิ่งเดียวที่ทำให้การชมหนังเรื่องนี้ได้เพลินๆ คงเป็นที่งานสร้างเป็นส่วนใหญ่ครับ

เพื่อนๆ มีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ ทั้งหนังและเทคโนโลยีใหม่ เชิญใส่ความเห็นกันเลย

24 comments

  1. ถ้าด้านเนื้อเรื่อง ความสนุก ผมให้ 8 …
    ช่วงแรกแม้จะเอื่อยๆเต็มไปด้วยบทสนทนา แต่ด้วยความที่ผมว่า pj แกเล่าเรื่องได้กำลังดี ไม่ถึงขนาดเวิ่นเว้อ แค่ดูเห็นได้ชัดว่ายืดเนื้อหา แต่ก็ทดแทนด้วยบุคคลิกของคนแคระแต่ละตัว กลิ่นอายเก่าๆที่ชวนนึกถึงของ LOTR พักด้วยความตื่นเต้นจากการผจญภัยเล็กน้อยเรื่อยๆ จนช่วงท้ายที่ผมว่า หนังเล่าเรื่องได้สนุกและลุ้นมากๆ…

    ส่วนด้านภาพ 3D HFR ผมให้ไปเลย 100/10 คมชัด ใสกริ๊ง เหมือนถูกดึงเข้าไปนั่งดูตัวละครใกล้ๆเลยทีเดียว ในขณะที่ฉากแอ็คชั่นที่เคลื่อนไหวเร็วๆ และความยาวของหนังขนาดนี้ ก็ไม่ได้ทำให้ปวดตาอะไรเลย ดูสบายตามากๆ และนับตั้งแต่เคยร้องว้าวกับภาพ 3D ของ Avatar ผมก็เพิ่งจะอ้าปากค้างในช็อตแรกที่เห็นภาพของหนังเรื่องนี้นี่แหละ ….

      • เพราะว่าภาคนี้มันกินเนื้อหานิยายไป 3/4 แลังง่ะ เลยงงๆว่ามันน่าจะขยายส่วนที่เกี่ยวกับ LOTR ให้มากขึ้นนั้นเอง…!?

      • ไม่นะครับ ถ้าคุณเป็นแฟนหนังจริงๆ ความจริงแล้ว ฮอบบิท ถูกเขียนก่อน เดอะรอท นะครับ แค่คนสร้างเค้าไปสร้างเดอรอทก่อน จริงๆแล้วควรจะสร้าง ฮอบบิทก่อน (อ่านมาจากหนังสือแล้ว
        )

  2. ผมให้8/10นะครับ…เพราะเป็นหนังในรอบหลายเดือนเลยที่ผมเข้าไปดูแล้ว ไม่หลับ…
    เข้าใจเรื่องขยายความของเรื่องราวเนื้อเรื่องนะครับ เพราะหนังสือเล่มเดียวและเล่นเล็กซะด้วยย..
    แต่ถึงจะขยายความแต่ก็ไม่ได้ ขาดใจความสำคัญอะไรลงไปแต่อย่างใด……
    ส่วนเรื่องภาพ 3d นั้น ผมไม่ได้ดูน่ะครับ ผมดูแบบธรรมดา เพราะผม รับ 3d ไม่ค่อยได้ ดูนานๆจะอ้วกเอา
    แต่มันคงเป็นอะไรที่เจ๋งมากก…..แน่นอนน
    หัก ออกสองคะแนน เพราะเนื้อเรื่องที่อย่างที่คุณเจไดบอก ความกดดัน และความหนักหน่วงของภาระ
    มันดูเบาๆไป อาจจะเพราะว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องราวก่อนที่แหวนจะมีพลังอำนาจ สูงสุดละมั๊ง
    แต่ที่สำคัญสำหรับผม…คือมันทำให้ผมไม่หลับ ในโรง…ขนาด แบทแมน ผมยังมีเผลอหลับไปบางช่วง -*-

  3. ถึงจะสู้ LOTR ไม่ได้เลยในทุกๆทาง (ซึ่งผมก็ไม่เคยคิดตั้งแต่แรกแล้วว่ามันจะดีเทียบเท่ากันได้) และดำเนินเรื่องตามสูตรเดียวกันเปี๊ยบ แต่ผมก็ยังเห็นว่านี่เป็นหนังผจญภัยที่สนุกมากๆเรื่องหนึ่งอยู่ดีครับ แม้คะแนนความคิดสร้างสรรค์และความเป็นต้นฉบับจะแทบไม่ได้ไปเลยก็ตาม ส่วนเรื่องความยาวและยืดเยื้อนี่ผมก็ว่าไม่เท่าไหร่นะ เนื้อหาของหนังก็เดินหน้าตลอด เพียงแต่ไม่ได้เดินไปอย่างรวดเร็วแบบพวก the dark knight rises ก็เท่านั้น และหนังแบบ LOTR เท่าที่ผมจำได้มันก็ไม่ได้ดำเนินเรื่องรวดเร็วขนาดนั้นอยู่แล้ว อย่างไรก็ดีผมก็ยังเห็นว่าหลายๆส่วนสามารถเก็บเอาไปใช้ใน bluray ฉบับตัดต่อยาวพิเศษได้ ซึ่งสำหรับแฟนตัวจริง (อย่างเช่นผม) ยินดีอยู่แล้วที่จะได้เห็นหลายๆฉากถูกเอามาขยายความเพิ่มเติม แต่กับผู้ชมทั่วไปคงอยากให้หนังกระชับกว่านี้มั้งครับ
    ผู้สร้างคงตั้งใจสร้างโดยคิดเหมาเอาเองว่าคนดูส่วนใหญ่เป็นแฟนจาก LOTR มาแล้ว ซึ่งถ้าคิดว่า the hobbit เป็นเพียงภาคพิเศษหรือภาคเสริมของ LOTR ที่เนื้อหาไม่ได้หนักหนาอลังการเท่า…ผมว่ามันก็ตอบโจทย์เรื่องความบันเทิงได้ดีในระดับหนึ่งครับ
    …อ๋อ ผมดูแบบระบบปกติที่สกาลาครับ แต่ก็ยังได้อรรถรสจากหนังเต็มเปี่ยมเหมือนกัน …พอดีชอบภาพแบบที่ใช้ฟิล์มฉายมากกว่าครับ

  4. อันนี้ ในฐานะเป็นแฟนหนังสือ ผมคิดว่าที่คุณ Jediyuth รู้สึกว่ามันเบากว่า ไม่เข้มข้นกว่า นั่นถูกต้องแล้ว เพราะถ้าลองได้อ่านหนังสือจริงๆ เราจะรู้สึกเลยว่านี่มันคนเขียนเดียวกันหรือเปล่า เพราะตีมมันแตกต่างกันมากๆ LOTR จะเน้นเครียดจริงจัง กอบกู้โลก แต่ Hobbit จะเน้นสนุกสนาน ยึดเมืองคืนจากมังกรเท่านั้น ที่เราเห็นในหนังนี่คือเขาทำให้ dark ขึ้นแล้ว แล้วก็เพิ่มเนื้อเรื่องเพื่อจะได้ไปสอดรับกับตำนานแหวนที่จะตามมา ซึ่งเนื้อเรื่องที่สอดแทรกมาคือการเข้าไปสืบค้นในโดล กูดูร์ ซึ่งผมคิดว่ามันยังทำได้ไม่ดี ไม่ดึงดูดพอ เลยทำให้มันดูเป็นการยืดไป แต่เล่มมันเล็กขนาดนั้นถ้าแบ่งเป็น 3 เราก็หนีปัญหายืด เอื่อย ไม่พ้นอยู่แล้ว

  5. ไปดู IMAX มาต้องบอกว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าเก็บใน BD 3D (แต่ดูในโรงรอบเดียวก็เกินพอ) เพราะฉากสวย ดูสมจริง แม้ว่าจะเนื้อเรื่องจะยืดเยื้อเผลอหลับไปบ้างในช่วงแรกๆ และไม่ถึงประทับอกประทับใจอะไร แต่ก็มีหลายส่วนที่ทำได้ดี คนแสดงนำก็สวมบทได้ดีพอสมควร ให้ 7/10 ครับ (แต่ตัวอย่างหนังทั้ง Star Trek Into Darkness, Man of Steel และ OZ: The Great and Powerful .ให้ 9/10 เพราะน่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง)

    • ผมดูสองรอบ รอบพารากอนเจอตัวอย่าง Star Trek ส่วนรอบที่เซ็นทรัลเวิลด์เจอตัวอย่าง Man of Steel

      เนื้อเรื่องอาจจะดูอ่อนในภาคแรก แต่จะทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะภาคสามที่ว่ากันว่าจะเอาสงครามห้าทัพมาใส่ครับ

      ส่วน HFR ผมดูแล้วลื่นสบายตาดี แต่ส่วนสามมิติทะลุจอไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เน้นแต่พวกความลึกของฉากมากกว่า

  6. ภาคนี้ดูแล้ว ผมยังไม่รู้สึกว่าดีเท่า LOTR ภาคไหนๆ แต่ผมก็รู้สึกว่าผู้สร้างเขาตั้งใจทำเต็มที่คับ ต้องขอบคุณพวกเขาด้วย ที่ทำผลงานแนวนี้ออกมาให้ได้ดูกันอีก ยังไงดูแล้วก็ยังเพลิดเพลินอยู่ และคิดว่าภาคต่อๆ ไป น่าจะเข้มข้นกว่านี้แน่ๆ (แอบติ ตอนรถลากกระต่ายกับหมาปีศาจ วิ่ง ดูไม่เนียนเท่าไหร่เลย – -”)

  7. คือ จะมาบอกว่า the hobbitเนีย แต่งก่อนแล้วก็พิมพ์ก่อนLOTRเกือบยี่สิบปี และเน้นไปเป็นแบบนิยายให้เด็กนะครับ เนื้อหาไม่หนัก เล่าถึงการผจญภัยในโลกแห่งจินตนการอันกว้างใหญ่ที่มีทั้งคน ฮอบบิท เอล์ฟ ออร์ค ก๊อบลิน โทรล มังกร พ่อมด นู่นนี่นั่น ถ้าผมจำไม่ผิดเนี่ย เหมือนTolkienจะแต่งให้ลูกตัวเองตอนเป็นเด็กด้วยซ้ำ แล้วพอเวลาผ่านไป ก็เอาโลกของ”There and back again”มาขยายจนกลายเป็นmiddle earthอันแสนจะยิ่งใหญ่

  8. จำได้ว่าผมได้ดู The Lord of the Ring ภาคแรก ตอนเรียนอยู่ ม.3 และตกหลุมรักทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมิดเดิ้ลเอิร์ธทันที

    ปีเตอร์ แจ็ค ถือเป็นผู้กำกับที่ทำให้ความแฟนตาซีที่อยู่ตรงหน้า สมจริงอย่างเหลือเชื่
    อ จนแทบจะเอื้อมมือไปสัมผัสได้ จากการผสมผสานศิลปะการสร้างภาพยนตร์ และเทคโนโลยีได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    ไม่แปลกที่หนังจะได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมคลาสสิคระดับโลกได้ยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องนึง และได้รับผลตอบแทนด้วยการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมครบถ้วนทั้ง 3 ภาค และเป็นผู้ชนะในภาคสุดท้าย โดยกวาดออสการ์มากมายถึง 11 ตัว (สถิติผู้ชนะรางวัลออสการ์สูงที่สุดร่วมกับ Ben-Hur และ Titanic) ซึ่งทั้งหมดเป็นปรากฏการณ์ที่ “มหัศจรรย์” สำหรับวงการภาพยนตร์ในต้นยุคศตวรรษที่ 21

    หลังจาก The Lord of the Ring ลาจออย่างยิ่งใหญ่ในปี 2003 ผมก็รู้สึกใจหาย เหมือนประตูวิเศษที่เชื่อมต่อโลกแห่งความเป็นจริงอันแสนน่าเบื่อหน่าย กับโลกมิดเดิ้ลเอิร์ธถูกปิดตาย เราจะไม่สามารถหวนกลับไปผจญภัยกับเหล่าฮอบบิทและพันธมิตรแห่งแหวนอีกแล้ว

    ปีเตอร์ แจ็คสัน คงรู้ข้อนี้ดี จึงได้เตรียมเอาใจสาวก (ที่มีมากมาย ขนาดที่ทำให้ LOTR กลายเป็นหนังเรื่อง 2 ของโลก ที่ทำรายได้รวมระดับ 1,000 ล้าน) จึงได้นำหนังสืออีกเล่มที่ถือเป็นเหมือนภาคก่อนหน้ากลายๆ ของ LOTR นั่นก็คือ The Hobbit มาสร้างเป็นหนัง และจัดเต็มด้วยการตัดแบ่งเป็นไตรภาคซะเลย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังได้แบกรับความคาดหวังอันสูงลิบลิ่วจากผู้ชม และนักวิจารณ์

    สำหรับผมแล้ว The Hobbit : An Unexpected Journey เป็นผลงานที่ค่อนข้างหน้าผิดหวังในแง่ของการเล่าเรื่อง ที่อืดอาดยืดยาด ขาดความกระชับรัดกุม เรื่องราววนเวียนอยู่กับเรื่องเดิมๆ ไม่ไปไหนเสียทีทั้งๆ ที่หนังมีความยาวถึง 2.45 ชั่วโมง หากใครเป็นแฟนหนังของ ปีเตอร์ แจ็คสัน จะเห็นได้ชัดว่ามีหลายฉากที่แสนคุ้นตาจากผลงานเก่าๆ ของเขาทั้งสิ้น แทบไม่มีความสร้างสรรค์แปลกใหม่เพิ่มขึ้นเลย

    หากจะมีสิ่งที่ช่วยตรึงผู้ชมให้อยู่กับหนังได้ ไม่ง่วงหงาวหาวหลับไปเสียก่อน คงเป็นอภิมหาโปรดักชั่นระดับ 200 ล้าน และเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ปีเตอร์ แจ็คสัน เจ้าแห่งมิดเดิ้ลเอิร์ธตัวจริง ยังเป็นเลิศในการเนรมิตโลกแฟนตาซียิ่งใหญ่ อลังการ มีรายละเอียดสมจริง ไร้ที่ติ ความใหญ่โอฬารของฉากแอคชั่น และภูมิประเทศเป็นความน่าตื่นตาตื่นใจสูงสุด ชนิดที่หาดูไม่ได้ง่ายๆ นัก เท่าที่เห็นก็คงจะมีแต่ แจ็คสัน และ คาเมรอน เท่านั้น ที่สร้างความรู้สึกเช่นนี้ได้

    สิ่งที่น่าชื่นชม และเป็นจุดเด่นของหนัง The Hobbit อีกประการคือ การสร้างคาแรคเตอร์ตัวละครที่น่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าคนแคระ, พ่อมดแกนดาล์ฟ, ฮอบบิท บิลโบ แบ็กกินส์, เอลฟ์ และโดยเฉพาะการปรากฏตัวอีกครั้งของ กอลลัม ตัวละครในดวงใจของหลายๆ คน ในรูปลักษณ์ที่สมจริงยิ่งกว่าเดิม นักแสดงทุกคนสามารถทำหน้าที่มอบชีวิตจิตใจให้ตัวละครได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

    แม้ว่าการกลับสู่โลกมิดเดิ้ลเอิร์ธของผมในคราวนี้จะไม่เต็มอิ่มนัก และความศรัทธาต่อ ผกก.ปีเตอร์ แจ็คสัน จะลดลงนิดนึง แต่ไม่มีทางพลาดภาค 2 อย่าง The Hobbit: The Desolation of Smaug อย่างแน่นอน ไหนๆ เจ้ามังกรสม็อกก็อุตสาห์ลืมตามาจ้องหน้าท้าทายเราขนาดนั้นแล้ว

    คะแนน 7.5/10

  9. ผมให้ 9/10 ครับ แม้ว่าหนังจะดูไม่หนักแน่นหรือขาดพลังอย่าง LOTR แต่การไล่อารมณ์ของหนังจากชิลๆ กลายเป็นตื่นเต้น จนในที่สุดกลายเป็นความระทึกขวัญสุดๆ และโดยรวมหนังก็ยังสนุก และมีคำคมให้ขบคิด แต่ข้อเสียอย่างนึงที่เห็น คือหัวหน้ากอบลิน ดูไม่มีความร้ายกาจเลย (ผมว่ามันดูอ้วนเทอะทะ และไม่น่าเกรงขามเลย) แถมยัง….ง่ายจัง

  10. คนแต่งเริ่มมาจาก เล่านิทานให้ลูกฟัง จนมาเป็นนิยายสำหรับเด็ก ย้ำนะครับนิยายก่อนนอนสำหรับเด็ก แล้วเด็กๆก็ชอบจนขายดิบขายดีที่อังกฤษ สำหนักพิมพ์ เลยไปบอกโทลคีนคนแต่งเลย แต่ง The Lord ตามมา พีปีเตอร์ทำได้ขนาดนี้บอกตรงๆผมว่าเก่งมากมากแล้วครับ

  11. ผมมีความสุขมากกับ The Hobbit มากๆ ครับ แต่ก็อยากเห็น ตอนสู้กับมังกร เพื่อทวงคืนบ้านของคนแคระด้วย… คุ้มกับการรอคอย จนผมมองไม่เห็นข้อเสียเลยครับ ติดอยู่แค่จำคนแคระทั้งหมดไม่ได้ครับ นอกจากเจ้าชาย ธอริน และมองไม่เห็นดราม่าเท่ากับ TLTR ครับ เป็นหนัง แอดเวนเจอร์สนุกๆ มากกว่าครับ…

  12. สำหรับผมให้ 95/100 ครับ ผมเป็นแฟนทั้งหนังและหนังสือ จะพบว่าเนื้อหาบางฉากที่ถูกเอามาเล่านั้นเป็นการเสริมเรื่องราวให้มิดเดิ้ลเอิร์ทถูกขยายมากขึ้น เพราะถ้าอ่านหนังสือจะรู้ว่าเล่มสาม ภาคผนวกยาวมากกก และไม่ได้ถูกกล่าวถึงใน rings เท่าใดนัก ผมรู้สึกได้ถึงความคิดสร้างสรรค์ที่ปีเตอร์ แจ็คสันจะหยิบเอาส่วนนั้นมาใส่ เพราะมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนไม่ได้ดูแค่เพียงเรื่องฮอบบิท แต่กำลังดูประวัติมิดเดิ้ลเอิทไปด้วย งานด้านภาพไม่ขอพูดถึง(เพราะไม่มีความรู้ด้านนี้) แต่ในความคิดผม ผมว่าสวยดีน่ะ อีกอย่างคนแคระในเรื่องเท่กว่าที่ผมจินตนาการไว้เสียอีก นับเป็นหนังไม่กี่เรื่องใน 2012 ที่ทำให้ผมรู้สึกเพลิดเพลินไปกับความบันเทิงเต็มขั้นขนาดนี้ ไม่ว่ากันครับถ้าใครจะเห็นต่าง เพราะส่วนใหญ่เห็นเฉยๆกัน ฮุๆๆ

  13. มันมีบางฉากที่เราดูไตรเติลเเล้วเเต่มันไม่มีในหนังจริงๆอ่ะครับ

    เช่น ตอนที่เเกรนดาฟไปที่ป้อมปราการล้างอ่ะครับไตรเติลมันมีเเต่ในหนังไม่เห็นมีเลยมีเเต่พ่อมดน้ำตาลที่ไป

    เเล้วเราเเอบเห็นในไตรเติลสั้นๆตอนนึงมันมีที่เเกรนดาฟสู้กับใครซักคนนี่เเหละที่เอาไม้เท้าฟาดกันอ่ะ

    มันมีในไตรเติลนะเเต่ไม่มีในหนังเเบบเต็ม เซงเลย

  14. ผมให้ Lotr ดีกว่าเพราะ ฉากดูสงจริงสุดๆเนื้อเรื่องดูแล้วไม่หลับ ส่วน the hobbit ภาพยังกะวีดีโอเกม ใครที่ดูLotrก่อนจะรู้ว่าพวกgoblinใส่เสื้อผ้าวาวุธเต็มตัว ผิวหนังสมจริงสุดๆ แต่ใน the hobbit ยังการ์ตูนชีเปลือย
    ดูแล้วผิดหวังสุดๆ

  15. มันคงเป็นธรรมดาค่ะ ที่ความเข้มข้น the hobbit แตกต่างกับ the lord of the ring เพราะ the hobbit ถูกเขียนขึ้นก่อน เหมือนเป็นการโหมโรงและเป็นจุดเริ่มต้นของหนังภาคต่ออย่าง the lord เลยยังไม่เข้มข้นเท่าไหร่

    จะเป็นไปไม่ได้ที่มาถึงก็ตื่นเต้นเลย มาถึงก็ถึงจุดคายแม็กเลย เป็นเรื่องธรรมดาของหนังค่ะ ที่เค้าต้องโหมโรงก่อนแล้วค่อยถึงจุดคายแม็ก ค่อยๆเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แต่ผู้สร้างเคา้ดันทำ the lord ออกมาก่อน คงเป็นเพราะการตลาด แล้วคิดว่า ปีเตอร์ แจ็คสันเค้าก็คงไม่ได้คิดจะทำ the hobbit ต่อหรอกค่ะ พอดี the lord มันออกมาเวริคร์ ที่ถูกแล้วเราคนดูหนัง ก็ต้องเข้าใจในข้อนี้ด้วยนะค่ะ

  16. เอาง่ายๆนะค่ะ โครงเรื่องโครงสร้างของหนัง นิยาย ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างของบทเพลง เหมือนกันหมด จู่ๆ คุณจะเอาท่อน โซโล่มาใส่ในท่อน intro เลยมั้ยค่ะ the hobbit ให้ 9/10 ค่ะ

Leave a Reply to Manachai SaedanCancel reply