Argo: ความเห็นหลังชม

นักวิเคราะห์รางวัลออสการ์ทุกสำนักการันตีว่า Argo ผลงานชิ้นที่สามของเบน แอฟเฟล็ค จะได้เข้าชิงออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของปี 2013 แน่นอน และอาจมีโอกาสเข้าชิงในสาขาอื่นด้วย รวมถึงผู้กำกับ, บทดัดแปลง, งานสร้าง, นักแสดงสมทบชาย และนักแสดงนำชาย ซึ่งเหตุผลหลักมาจากการที่หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สนุก และมีความยอดเยี่ยมในหลายด้าน รวมถึงเป็นหนังที่ได้รับคำวิจารณ์ดีอย่างมากเรื่องหนึ่งของปี ซึ่งจาก 240 บทวิจารณ์ที่ Rotten Tomatoes รวบรวมมา หนังมีนักวิจารณ์ชอบถึง 95% และมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 8.4/10 ครับ

นอกเหนือจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว การที่หนังเข้าถึงผู้ชมจำนวนกลุ่มใหญ่ได้ก็ช่วยเป็นแรงผลักดันได้ดี หนังยังทำรายได้ในบ้านไปแล้วกว่า 98.5 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการฉายไปแล้วเกือบ 7 สัปดาห์ในตอนนี้ ซึ่งรายได้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่บอกถึงความสำเร็จของหนังอันเป็นองค์ประกอบสำคัญที่กรรมการออสการ์จะพิจารณา เหตุผลที่เหลือก็คือ Argo ยังเป็นหนังที่ยกย่องคนฮอลลีวู้ด ซึ่งเป็นหนึ่งในพลังสำคัญของปฏิบัติการช่วยเหลือตัวประกันสำรัฐในอิหร่านที่หนังเรื่องนี้ต้องการเอามาเล่า ทั้งเบน แอฟเฟล็คก็ได้เป็นหนึ่งในขวัญใจของคนในอุตสาหกรรม ซึ่งการพัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่องผ่านหนังมาสามเรื่องก็ยิ่งทำให้เขาเป็นที่รักมากขึ้นครับ

เหตุการณ์จับตัวเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐในอิหร่านเป็นตัวประกันที่เป็นเรื่องจริงที่หนังเอามานำเสนอนั้น เกิดขึ้นในปี 1980 ที่แม้ผมยังอยู่ในวัยประถม แต่ก็ยังจำภาพข่าวได้ติดตา ฉากจบของหนังในแคนาดาที่ผู้ที่หนีรอดออกมาได้ในหนังนั้น เป็นภาพข่าวที่ยังไม่ลืม และหนังเรื่องนี้ก็ถ่ายทอดออกมาได้แทบจะเหมือนลอกภาพข่าวเหล่านั้นออกมาเลย ซึ่งถือเป็นความละเอียดอย่างมากของการออกแบบงานสร้างที่ควรได้เข้าชิงรางวัลมากๆ ครับ และผมก็เข้าใจมาตลอดว่าเจ้าหน้าที่สถานทูตแคนาดาคือผู้อยู่เบื้องหลังสำคัญในการช่วยเหลือตัวประกันจนกระทั่งหนังเรื่องนี้ได้นำเสนอเรื่องจริงที่ดูเหลือเชื่อให้เราได้รับรู้ถึงแผนหลอกล่อที่ใช้กองถ่ายหนังไซไฟมาเป็นฉากตบตาปฏิบัติการ ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผยเป็นที่รู้จักผ่านบทความของนิตยสาร Wire ในปี 2007 ที่เจาะลึกเรื่องราวนี้ และแอฟเฟล็คได้อ่านก็ประทับใจ เอามาดัดแปลงเป็นหนังได้ยอดยอดเยี่ยม สนุก ตื่นเต้น ลุ้น ยกย่องวีรบุรุษ ยกย่องหนังไซไฟเกรดบียุค 70-80 และขณะเดียวกันก็แอบจิกกัดการเมืองกับวงการฮอลลีวู้ดได้อย่างแสบๆ คันๆ

หนังทำให้ผมรู้สึกเหมือนตอนดู Apollo 13 โดยเฉพาะช่วงท้ายของเรื่อง เพราะนี่เป็นหนังที่เรารู้ตอนจบดีอยู่แล้ว แต่การเล่าเรื่องของแอฟเฟล็คก็ยังทำให้เราลุ้นเกร็งไปกับแผนการเอาตัวรอดได้ แล้วอดเชียร์ตัวละครไปด้วยไม่ได้ บางฉากก็ทำให้น้ำตาซึมเลยครับเช่นตอนที่ตัวละครซึ่งไม่เห็นด้วยและคัดค้านแผนการนี้มาตลอด ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการสร้างหนังเลย แต่เมื่อจวนตัวก็สวมบทได้อย่างเนียนและช่วยเหลือปฏิบัติการนี้ไปได้จนรอด

เบน แอฟเฟล็คมีพัฒนาการอย่างมากในการกำกับหนัง จากหนังเล็กๆ ที่ไม่ซับซ้อนมากก่อนหน้านี้อย่าง Gone Baby Gone และ The Town เขาได้มาจับโครงการหนังที่ใหญ่ขึ้น ซับซ้อนขึ้น มีตัวละครมากขึ้น งานสร้างยุ่งยากขึ้น แต่ก็ยังทำได้เหนือกว่าสองเรื่องที่แล้ว ฉากหนึ่งที่ผมเห็นว่าเก๋เป็นพิเศษก็คือฉากเปิดเรื่องที่ใช้สตอรี่บอร์ดซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งของการทำหนังมาช่วยในการเล่าเรื่อง และช่วงกลางเรื่องที่ใช้การอ่านบทมาสลับกับการฉากของตัวประกันในอริหร่านครับ

เป็นที่รู้กันว่าหนังยุค 70 เป็นหนังยุคโปรดของแอฟเฟล็ค เหมือนที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร Details ว่ายุค 70 เป็น “ยุคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของภาพยนตร์อเมริกัน” และแอฟเฟล็คก็แอบบอกผ่านองค์ประกอบและวิธีการเล่าเรื่องต่างๆในหนัง ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย เพราะหนังฮอลลีวู้ดสำคัญหลายเรื่องได้เกิดขึ้นในยุคนี้ และกลายเป็นหนังที่มีอิทธิพลและเป็นแม่แบบต่องานของฮอลลีวู้ดในยุคหลังตามมา เป็นต้นว่า The Godfather ทั้งสองภาค, Star Wars, Alien, Taxi Driver, Annie Hall, Dog Day Afternoon, The Exorcist, Jaws, Halloween, Superman, Cabaret และอีกมากมาย ใครที่อยากศึกษาหนังฮอลลีวู้ดควรต้องหาหนังยุคนี้มาดูเยอะๆ รวมถึงพวกที่เป็นหนังคัลท์ไปแล้วที่อาจไม่ได้รับคำวิจารณ์ด้านดีก็ตาม จะเห็นว่าหนังอิทธิพลของหนังเหล่านี้ยังอยู่ในหนังยุคนี้อีกมากมาย

แอฟเฟล็คเองไม่ได้ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องอะไรที่ใหม่ใน Argo เขายืมองค์ประกอบ หรือเลียนแบบบางฉากมาจากหนังยุค 70 เกือบทั้งหมด ฉากใน CIA ได้รับอิทธิพลอย่างแรงมาจาก All the President’s Men ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมเคยดูและพบว่ามันมีความคล้ายอยู่มาก แต่แอฟเฟล็คเอามาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในการเล่าเรื่อง และเป็นตัวของตัวเอง เหมือนตัวละครที่แอฟเฟล็คแสดงในหนัง เป็นชายหนุ่มในยุค 70 แต่งองค์ทรงเครื่องและไว้ผมได้เหมือนคนยุคนั้นจริงๆ แต่ก็ยังดูออกว่าเป็นเบน แอฟเฟล็ค

อีกอย่างที่ผมชอบในหนังเรื่องนี้ก็คือการคัดเลือกนักแสดง ไม่ว่าบทจะเล็กน้อยแค่ไหน แอฟเฟล็คเลือกนักแสดงเก่งๆและมีคุณภาพมาเล่นหมดเลย ซึ่งยิ่งทำให้หนังน่าติดตามขึ้นไปอีกครับ

ผมให้คะแนนหนังที่ 8.5/10 ครับ เชิญเพื่อนๆให้ความเห็นและลงคะแนนกัน

5 comments

  1. มันเป็นหนังที่มีทุกรส ตื่นเต้นกว่าหนังแอคชั่นบางเรื่องอีก เข้าทางออสการ์อย่างแรงและกำกับโดยลูกหม้อฮอลลีวูดที่พัฒนาการฝีมือก้าวกระโดด ตอนนี้เชื่อว่า ปีนี้ best director เป็นของ เบน แอฟเฟลคแน่ เพราะถ้าสังเกตให้ดีหนังที่เต็งออสการ์มากๆ ตามที่อ่านข่าว เช่น Lincoln,Life of Pi,Zero dark thirty,Les miserables ล้วนเป็นหนังที่กำกับโดนผู้กำกับยอดเยี่ยมทั้งนั้น และครั้งนี้เบนก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมน้อยกว่าใคร

  2. สนุกมากๆครับ ตอนท้ายเรื่องขนาดรู้ตอนจบอยู่แล้วก็ยังอดลุ้นไม่ได้ อยากให้ได้ออสการ์จริงๆครับเรื่องนี้^^

  3. ผมชอบเพลงประกอบของเรื่องนี้มากๆ ผลงานของ Alexandre Desplat อยากให้ Desplat เข้าชิง และได้รับรางวัลออสการ์ (ซักที)

  4. เก่งที่ทำให้หนังแบบนี้ ออกมาสนุกได้มากๆ ยิ่งเรื่องโปรดักชั่นนี่ ยอมเลยจริงๆว่าทำได้น่าขนลุก

Leave a Reply to WoodyhanksCancel reply