JEDIYUTH’s Review: End of Watch
“เบื้องหลังตราตำรวจของผม ก็มีหัวใจเหมือนพวกคุณ ผมเลือดออก ผมคิด ผมรัก และผมก็ตายเป็นเหมือนกัน แต่แม้ว่าผมจะเป็นแค่คนคนหนึ่ง ผมก็มีพี่น้องอีกนับพัน ผู้ที่จะยอมตายแทนผม และผมก็พร้อมยอมตายแทนพวกเขา เรายืนหยัดเคียงข้างกัน เราฝากชะตาไว้ที่ตราและกระบอกปืน เป็นเส้นบางๆที่ปกป้องเหยื่อจากผู้ล่า ปกป้องคนดีจากคนร้าย เราคือตำรวจ” นั่นคือคำกล่าวเปิดเรื่องหนัง End of Watch ที่ตัวละครไบรอัน เทย์เลอร์ ของเจค จิลเลนฮอล บอกผู้ชม และน่าจะเป็นแทนแก่นสำคัญของหนังเรื่องนี้ได้ ที่ต้องการสะท้อนชีวิตการทำงานของตรวจสายตรวจ รวมไปถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาแบบที่ตายแทนกันได้ ซึ่งหนังก็ทำออกมาได้อย่างมีพลัง สดใหม่ และสมจริงมากๆ
ผมจำไม่ได้ว่าหนังแนวคู่หูตำรวจเรื่องแรกคือเรื่องไหน แต่เท่าที่จำความได้ เรื่องที่โด่งดังเป็นที่รู้ก่อนใครคือ Lethal Weapon และต่อมาก็ Bad Boys ซึ่งช่วงแรกของหนังแนวนี้ก็เป็นหนังบู๊ระเบิดภูเขาเผาตึกและเชิดชูตำรวจตามตำรับหนังฮอลลีวู้ดเพื่อความบันเทิง ช่วงหลังหนังเน้นเนื้อหาจริงจังสะท้อนชีวิตตำรวจมากขึ้น เช่น Training Day แต่เอาเป็นว่ามันมีหนังแนวคู่หูตำรวจสร้างกันมามากมายจนนึกว่าจะไม่มีอะไรใหม่แล้ว และก็เป็นอะไรที่เหมือนจะเชยไปแล้วกับยุคนี้ แต่ End of Watch ของผู้กำกับเดวิด เอเยอร์ ได้สร้างความต่างต่างจากหนังแนวนี้ที่ผ่านมาทั้งหมดครับ ด้วยการใช้เทคนิคการถ่ายทำและทิศทางที่ยังไม่เคยมีการใช้ในหนังแนวนี้มาก่อน ทำให้หนังไม่เพียงแค่ฉีกแนวจากหนังตำรวจทั่วไป แต่ยังทำให้ออกมาดูดิบและจริง ยิ่งได้การแสดงที่เข้าขากัน และเป็นธรรมชาติของเจค จิลเลนฮอล กับ ไมเคิล พีนา ยิ่งทำให้หนังน่าติดตาม และมีพลังอย่างมากในตอนจบของหนัง
หนังเป็นเรื่องราวการตามติดภารกิจตำรวจสายตรวจคู่หูสองนาย ไบรอัน เทย์เลอร์ (จิลเลนฮอล) และไมค์ ซาวาลา (พีนา) ที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการในท้องถนนของเขตเซาธ์เซ็นทรัลในลอส แอนเจลีส นายตำรวจไบรอันได้ซื้อกล้องแฮนด์เฮลด์กับกล้องสอดแนมเล็กๆมา เพื่อถ่ายทำหนังเรื่องราวของพวกเขาเล่นๆ แล้วทำให้เราได้ติดตามดูชีวิตทั้งการทำงานและส่วนตัวของทั้งคู่แบบเหมือนเกาะติด ได้เห็นมุมมองของชีวิตทั้งของพวกเขา และความสัมพันธ์ที่แนบแน่นของตำรวจทั้งสอง ทั้งยังสะท้อนภาพความลำบาก ความเครียด และปัญหาในการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวมถึงแอบบอกเล่ามุมมองของตำรวจไปพร้อมๆกัน
ทั้งคู่เป็นตำรวจไฟแรง และไบรอันก็อยากเลื่อนขั้นเป็นตำรวจนักสืบ จึงทำให้การปฏิบัติภารกิจหลายครั้งออกในแนวระห่ำไปสักหน่อย แต่ก็ทำงานลุล่วงและปราบปรามอาชญากรรมได้ทุกครั้ง ทั้งคดียาเสพติดและคดีค้ามนุษย์ จนทำให้มาเฟียเม็กซิกันไม่พอใจ ตั้งเงินรางวัลค่าหัวเพื่อเก็บทั้งคู่ จนนำไปสู่ฉากบู๊ท้ายเรื่องที่ผู้ร้ายล่อสองพระเอกไปติดกับ มีการยิงกันแบบหูดับตับไหม้และลุ้นระทึกแบบที่ต้องนั่งเกร็งจิกเก้าอี้ไปตลอดเหตุการณ์
เทคนิคการถ่ายทำให้ออกมาดูเป็นสารคดีด้วยกล้องแฮนด์เฮลด์คล้ายพวกรายการเรียลิตี้โชว์ที่หนัง The Blairwitch Project ทำให้โด่งดัง ได้ถูกนำมาใช้กับหนังหลายแนว โดยเฉพาะหนังแนวสยองขวัญ เป็นต้นว่า Paranormal Activity และ Cloverfield เป็นต้น และแม้ว่าก็เคยมีรายการทีวีแนวตามติดชีวิตตำรวจอย่าง Cops ก็ใช้เทคนิคนี้ในการนำเสนอมาก่อน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่หนังแนวตำรวจเอามาใช้ ซึ่งแม้ว่าบางขณะเราจะรู้สึกว่ามันไม่เนียนหรือดูจงใจมากเกินไป เช่นการให้ผู้ร้ายในหนังก็มีการถ่ายเรื่องราวของตัวเองไปด้วย แถมยังเอามาต่อกับเหตุการณ์ของฝ่ายตำรวจได้ราวเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกันประหนึ่งว่าผู้กำกับเดวิด เอเยอร์ได้เอากล้องใส่มือนักแสดงให้ช่วยถ่ายแทนผู้กำกับภาพก็ตาม หรือบางทีภาพในหนังก็หาได้มาจากกล้องของตัวละครไม่ เป็นกล้องดิจิตอลจากไหนก็ไม่รู้ แต่ก็อภัยให้ความไม่เนียนเหล่านี้ได้เพราะหนังเอาเทคนิคกึ่งสารคดีนี้มาใช้ได้เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับสิ่งที่หนังต้องการนำเสนอ ส่งให้หนังเรื่องนี้มีทั้งความสดใหม่ และสมจริงไปพร้อมกัน อีกอย่าง พอหนังดำเนินผ่านไปสักพัก เรื่องราวในหนังจะทำให้เราลืมความไม่เนียนนี้ไปได้เอง
สิ่งที่หนังต้องการนำเสนอ นอกเหนือจากการบอกเล่าชีวิตตำรวจคู่หูทั่วไปแล้วก็คือการถ่ายทอดให้ออกมาสมจริงให้มากที่สุด สะท้อนความเป็นจริงของชีวิตตำรวจสายตรวจให้มากที่สุด และการนำเสนอในรูปแบบกึ่งสารคดีนี้ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเราได้ติดตามดูชีวิตตำรวจสายตรวจจริงๆ เหมือนสารคดีเชิงข่าวทั่วไป และเมื่อสายตรวจคู่นี้ต้องปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตาย เช่นเข้าไปช่วยเด็กในบ้านที่ถูกไฟไหม้ ถูกไล่ยิง ขับรถไล่ล่าคนร้าย มันเหมือนทำให้คนดูได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้นด้วยจริงๆ ได้หวาดเสียวไปด้วยจริงๆ
แต่เทคนิคการนำเสนอไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่ช่วยให้หนังดูสมจริงและเข้มข้น ถ้าไม่ได้การแสดงที่เป็นธรรมชาติของเจค จิลเลนฮอล กับ ไมเคิล พีนา และบทหนังที่ดูสมจริง บทสนทนาในหนังดูเหมือนบทพูดในชีวิตประจำวันทั่วไป ไม่มีการพยายามใช้คำพูดคมๆ และนักแสดงทุกคนก็ดูจะพูดเหมือนสิ่งคนทั่วไปในฐานะตำรวจพูดกัน โดยที่นักแสดงทุกคนก็ส่งบทพูดเหล่านั้นเหมือนเป็นการเล่นสด และดูน่าเชื่อว่าเป็นมนุษย์ปุถุชนจริงๆ มากกว่าเป็นการแสดง
ผู้กำกับเดวิด เอเยอร์ นั้นเป็นทหารเรือ ที่หลังจากรับใช้ชาติแล้วก็แฝงตัวเข้าไปอยู่ในหมู่ตำรวจเพื่อหาข้อมูลมาเขียนบทหนัง และดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่เหนื่อยยากเหล่านั้นช่วยได้อย่างมากในการสร้างบทหนังที่ดูสมจริงขึ้นมา บทหนังตอนหนึ่งที่ดูต่างจากหนังตำรวจทั่วไปก็คือหลังจากที่ไบรอันกับไมค์ได้ช่วยเหลือเด็กจากบ้านที่ถูกไฟไหม้ และได้รับเหรียญเชิดชู ทั้งคู่เข้าไปคุยกันในร้านของชำแล้วถามกันว่า “รู้สึกว่าเป็นฮีโร่ไหม” และต่างฝ่ายต่างก็บอกว่าไม่รู้สึก มันเหมือนกับว่าการทำหน้าที่ตำรวจในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขที่ทำอยู่ทุกวันนั้นเป็นแค่งานงานหนึ่งในหน้าที่ที่ทำอยู่ทุกวันแค่นั้น และนี่ก็อาจสะท้อนความรู้สึกทั่วไปของตำรวจจริงๆ
บทหนังยังสะท้อนให้เห็นด้วยว่าตำรวจสายตรวจเหล่านี้ เบื้องหลังเครื่องแบบ ก็ไม่ต่างจากคนทั่วไปที่มีรัก โลก โกรธ หลง และมีปมชีวิต เช่นไบรอันที่ดูจะอินเป็นพิเศษเวลาเห็นเด็กถูกทำทารุณ และก็จู้จี้ขี้บ่นในเรื่องความเป็นระเบียบ หรือไมค์ที่จะอินกับคนเชื้อสายเม็กซิกันเช่นเดียวกับเขาเป็นพิเศษ เมื่อถูกคนร้ายดูถูกเขาในฐานะเม็กซิกัน ไมค์ก็ฝากปืนไว้กับไบรอันและท้าดวลหมัดกับคนร้ายเลย หรืออย่างคู่หูสายตรวจหญิงในหนังที่ดูไม่ยินดียินร้ายกับเหยื่อที่ถูกทำร้ายเลย เพราะพวกเธอบอกว่าจำเป็นต้องทิ้งหัวใจไว้ที่บ้านก่อนออกมาปฏิบัติหน้าที่
นอกเหนือจากการสะท้อนการทำงานของตำรวจสายตรวจแล้ว สิ่งที่ทำให้หนังมีพลังอย่างมากก็คือการสะท้อนความสัมพันธ์ในฐานะคู่หูตำรวจที่ตายแทนกันได้ ที่รักกันเหมือนเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด แม้จะต่างเชื้อชาติกัน หนังให้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ของไบรอันกับไมค์ในช่วงต่างๆของชีวิต ตั้งแต่การที่ไมค์ได้ลูกคนแรก หรือตอนที่ไบรอันเริ่มจริงจังกับผู้หญิงคนแรกที่เขารักและอยากแต่งงานด้วย อาจมีช่วงที่ทำให้รู้สึกหน่วงๆ บ้างในการบอกเล่าฉากเหล่านี้ แต่ทั้งหมดนำไปสู่ฉากจบที่มีพลังและซึ้งอย่างที่สุด
ทั้งจิลเลนฮอลและพีนาแสดงเป็นคู่หูกันได้จนเหมือนรู้สึกพวกเขาทำงานร่วมกันมาเป็นแรมปี ทั้งแซวกัน แกล้งกัน ช่วยกัน เป็นที่ปรึกษาให้กัน บอกความลับของกันและกัน เหมือนเราได้ดูชีวิตของคนที่โตมาด้วยกันจริงๆ และส่งบทบาทที่ยอดเยี่ยมด้วยกันทั้งคู่
ช่วงกลางๆของหนัง ตอนที่ไบรอันคบกับเจเน็ต (แอนนา เคนดริค) ไมค์ก็คอยสั่งสอนเพื่อนเรื่องความรัก และพูดถึงการเป็น “เนื้อคู่” กัน โดยอ้างคำพูดจากยายหรือย่าของไมค์ว่า คนที่เป็นเนื้อคู่กัน ต้องรักกันขนาดไหน ไมค์เชื่อว่าภรรยาคือเนื้อคู่ของเขา และเชื่อว่าเจเน็ตก็คือเนื้อคู่ของไบรอัน แต่จากนิยาม “เนื้อคู่” ในหนังเรื่องนี้ ผมอยากบอกจริงๆว่า ทั้งไบรอันกับไมค์นั่นแหละที่เป็นเนื้อคู่กัน
คะแนน: 8/10
End of Watch
คู่ปราบกำราบนรก
ผู้กำกับ เดวิด เอเยอร์
นักแสดง เจค จิลเลนฮอล, ไมเคิล พีนา, แอนนา เคนดริค, มาตาลี มาร์ติเนซ และ แฟรงค์ กริลโล
เรต น.18
กำหนดฉาย 26 กันยายน 2555
เว็บไซต์ทางการ http://www.endofwatchthefilm.com/
ตัวอย่างหนัง http://www.majortrailers.com/
“ลองถามตัวเอง ถ้าเขาตายจากไป แล้วเราจะอยู่ได้ไหม
ถ้าตอบว่า อยู่ไม่ได้ งั้นก็บอกเลิกกับเขาซะตั้งแต่ตอนนี้”
อะไรประมาณนี้หรือเปล่าครับ พี่เจไดยุทธ
แต่จำไม่ได้แล้วว่า เหตุผลหลังจากนั้นคืออะไรหว่า – -“
ประมาณนั้นแหละครับ ^ ^
จริงๆต้องเป็น ถ้าตอบว่า อยู่ได้ ก็ให้บอกเลิกไปเลย 🙂
เออ ใช่ครับๆ ขอบคุณครับ