Site icon JEDIYUTH

JEDIYUTH’s Review: Dredd 3D

อย่างที่รู้กันว่า Dredd 3D ไม่ใช่ครั้งแรกของการนำหนังสือการ์ตูนของอังกฤษชุด Judge Dredd มาสร้างเป็นหนังครับ มีฉบับก่อนหน้านี้ในปี 1995 ที่นำแสดงโดยซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จเลยทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ เพราะหนังถูกสร้างออกมาเป็นหนังสูตรสำเร็จของฮอลลีวู้ดมากเกินไป ทำให้กลายเป็นหนังบู๊ของสตอลโลนแบบลุยเดี่ยวทั่วไป และขาดวิสัยทัศน์ตามฉบับของหนังสือการ์ตูน แต่ Dredd 3D ภายใต้การกำกับของพีท ทราวิส และภายใต้บทหนังของอเล็กซ์ การ์แลนด์ ได้แก้จุดบอดเหล่านั้น สร้างหนังให้ออกมามีความโหด ดิบ เถื่อน มีอารมณ์ขันร้ายๆ เสียดสีสังคมมนุษย์ และซื่อตรงต่อต้นฉบับอย่างที่ควรจะเป็นมากกว่า แถมเพิ่มความโดดเด่นให้หนังมากขึ้นไปอีกด้วยงานกำกับภาพสามมิติ มันอาจจะยังมีจุดด้อยอยู่บ้างในแง่งานสร้างและยังมีฉากบู๊ที่ระทึกหรือลุ้นน้อยไปหน่อย แต่หนังก็มีภาพรวมที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ

เรื่องราวของหนังมีฉากเป็นโลกอนาคตอันล่มสลาย มนุษย์อยู่ในเมืองที่มีกำแพงกั้นกัมมันตรังสีล้อมรอบยาวจากบอสตันไปถึงวอชิงตันดีซี อยู่กันอย่างแออัด แย่งชิง เต็มไปด้วยอาชญากรรม จนต้องมีเหล่าตุลาการแหล่งหอแห่งความยุติธรรมมาทำหน้าที่รักษาความสงบไม่ให้สังคมอลหม่านไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ตุลาการเหล่านี้ทำหน้าที่ตั้งแต่ตามสืบ ไต่สวน พิพากษา และลงทัณฑ์เอง มีอำนาจเบล็ดเสร็จในคนเดียวแบบเผด็จการฟาสซิสต์ หนึ่งในตุลาการนั้นมีโจ เดร็ด (คาร์ล เออร์บัน) เป็นตุลาการดาวเด่นที่ขึ้นชื่อในความเที่ยงตรง ไม่เกรงกลัวใคร ใจเด็ด และเย็นชาไร้อารมณ์

เดร็ดได้รับมอบหมายให้ประเมินผลตุลาการฝึกหัดแอนเดอร์สัน (โอลิเวีย เธิร์ลบี) สาวกึ่งๆ โลกสวยที่อยากเป็นตุลาการเพื่อช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข และให้โลกน่าอยู่ขึ้น เธอสอบไม่ผ่านการเป็นตุลาการ ขาดคะแนนไปเพียงสามแต้ม แต่ได้รับโอกาสแก้ตัวเพราะเธอมีพลังจิตอ่านใจคนได้ซึ่งกระทรวงยุติธรรมเห็นว่าเธอจะมีประโยชน์อย่างมากในการปราบอาชญากรรม เหตุการณ์ในหนังส่วนใหญ่จึงเป็นภารกิจวันแรกของแอนเดอร์สันในการร่วมมือกันทำคดีกับเดร็ด แล้วแอนเดอร์สันก็ได้เรียนรู้และเติบโตในท้ายที่สุดว่าโลกอันเส็งเคร็งนี้มันอยู่ยากกว่าที่เธอคิด และเธอจะทำยังไงที่จะรักษาอุดมการณ์ให้สอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริงนี้ได้

ภารกิจประเมินผลที่ว่านี้ก็คือการหาผู้กระทำผิดในคดีฆ่าสามศพบนตึกระฟ้าสูง 200 ชั้นที่ชื่อว่าพีชทรี ซึ่งต่อมาทั้งเดร็ดและแอนเดอร์สันก็พบว่าเป็นการฆ่าเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู ฝีมือของเจ้าแม่แก๊งยาเสพติดฉายามาม่า หรือนายแม่ (ลีน่า เฮดลี่ย์) ที่ยึดครองตึกแห่งอยู่ ทั้งยังใช้เป็นที่ผลิตยาเสพติดชนิดใหม่ชื่อสโลโม ที่ทำให้ผู้เสพมองเห็นภาพทุกอย่างช้าเหมือนภาพสโลโมชั่น นายแม่พบว่าทั้งสองตุลาการได้ตัวผู้ต้องหาและพยานปากเอกที่เป็นลูกน้องของเธอซึ่งจะแฉจนทำให้องค์กรอาชญากรรมของเธอล่มจมได้ เธอจึงปิดตายทั้งตึก และสั่งให้ลูกน้องทุกคนระดมพลกันฆ่าสองตุลาการ แต่นายแม่ก็คิดผิดที่คิดว่าจะจัดการได้ง่าย เพราะเธอยังไม่รู้ถึงความแสบและฝีมืออันฉกาจของเดร็ด และไม่รู้ว่าแอนเดอร์สันมีพลังจิต แต่เดร็ดกับแอนเดอร์สันเองก็หืดขึ้นคอเลยทีเดียว เพราะต้องเจอกับลูกสมุนนับร้อยของนายแม่

เนื้อเรื่องของหนังไม่ต่างจาก The Raid หนังบู๊ของอินโดนีเซียที่โด่งดังในปีที่ผ่านมา จะต่างกันก็แต่เปลี่ยนจากการสู้แบบประชิดตัวมาเป็นการกระหน่ำยิงกันและใช้ไหวพริบแบบหนังคาวบอยด้วยอาวุธปืนที่ไฮเทคกว่า รวมถึงใส่ความเป็นหนังไซไฟโลกอนาคตอันไม่สมประกอบเข้าไป แต่ถ้าเทียบในแง่ความมันส์ของฉากบู๊แล้ว Dredd 3D ยังเป็นรองอยู่ เพราะเรายังไม่รู้สึกว่า Dredd มีการออกแบบฉากบู๊หรือมีคิวบู๊ที่โดดเด่นหรือแปลกใหม่ หรือสามารถทำให้เราลุ้นอยากเอาใจช่วยให้สองตัวเอกรอดพ้นจากสถานการณ์คับขันได้มากพอ เพราะเรารู้สึกในบางขณะว่าพวกเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบมากกว่าแม้จะมีกำลังคนน้อยกว่าก็ตาม คงจะดีกว่านี้ถ้าหนังสร้างฉากบู๊ที่ลุ้นได้ในระดับเดียวกับ Die Hard แต่ยังคงอยู่ในโทนเถื่อนๆ คล้ายกับ The Raid เอาไว้ ผมเชื่อว่าผู้สร้างเองก็น่าจะมีความต้องการให้หนังเป็นเช่นนั้น แต่ด้วยทุนสร้างที่มีจำกัดเพียง 50 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงไม่อาจที่จะสร้างฉากแอ็คชั่นที่ซับซ้อนหรือระเบิดภูเขาเผากระท่อมขนาดนั้นได้ พวกเขาจะสร้างฉากบู๊ที่เป็นการดวลกันคล้ายหนังคาวบอยหรือเป็นการชิงไหวชิงพริบแทน แต่เพราะเดร็ดเองก็เป็นตัวละครที่เก่งและมีอาวุธไฮเทค มันจึงเหมือนว่ายังไงเดร็ดก็คงชนะ

ไม่เพียงฉากบู๊เท่านั้นที่น่าจะดีกว่านี้ได้ ในแง่การออกแบบงานสร้างเองก็เช่นกันที่ยังไปได้ไม่สุดพอเพราะหนังมีงบน้อยเกินไป อารมณ์ของเมกะซิตี้วันที่เป็นโลกอนาคตอันบูดเบี้ยวนั้นเหมาะสมดีมากๆ มันควรดิบ น่าหดหู่ ไปในทางเดียวกับที่หนังเรื่องนี้นำเสนอ เพียงแต่หนังนำเสนอออกมาให้เราได้รับรู้เพียงแค่กลิ่นของมัน ให้เราได้แค่เอาลิ้นแตะมัน แต่ยังไม่ได้กลืนกินลงไปเต็มคำ

แต่แม้ว่าฉากบู๊กับงานสร้างจะยังไม่ถึงใจพอ แต่หนังก็ได้ตัวละครที่มีมิติมาช่วยขับเคลื่อนให้น่าติดตามโดยเฉพาะตัวละครแอนเดอร์สันของเธิร์ลบีนั้นไม่เพียงน่ามอง แต่มีเสน่ห์ขึ้นจอมากๆ เธอส่งบทบาทที่ดูธรรมดาให้ดูมีเลือดมีเนื้อ ทำให้เรารู้สึกทั้งอยากสงสาร อยากเอาใจช่วย และสะใจไปกับเธอเวลาที่เธอแผลงฤทธิ์ ส่วนเดร็ดของเออร์บันให้อารมณ์คล้ายตัวละครของคลินท์ อีสต์วู้ด ใน Dirty Hairy แม้ว่าเออร์บันอาจไม่ได้มีพลังดาราหรือขึ้นจอขนาดอีสต์วู้ด หรือแม้แต่สตอลโลนเองก็ตาม แต่ภายใต้การแสดงที่มีหมวกคลุมครึ่งหน้าตลอดนั้น เขาได้สร้างบุคลิกของตัวละครเดร็ดที่ดูน่าสนใจด้วยความดุดัน ชอบพูดประชดแบบมะนาวไม่มีน้ำ มีโทนเสียงต่ำๆ และมุขตลกแห้งๆ เป็นตัวละครที่คนละขั้วกับแอนเดอร์สัน แต่พอรวมกันอยู่บนจอแล้วเข้ากันดี

ความโดดเด่นอีกอย่างของหนังก็คืองานด้านภาพในฉากที่โชว์การถ่ายภาพสามมิติเมื่อตัวละครเสพสโลโมเข้าไปซึ่งมีด้วยกันอยู่สามฉากเด่น คนดูได้ชมฉากเหล่านั้นในแบบสโลโมชั่น ได้เห็นฉากของความโหดและการนองเลือดอย่างค่อยเป็นค่อยไปและสวยงาม เป็นการสร้างสรรค์ฉากสโลโมชั่นที่แปลกใหม่กว่าหนังบู๊หลายเรื่องในยุคนี้ที่เอาแต่จะเลียนแบบฉากใน The Matrix

โดยสรุปแล้ว ผมคิดว่า Dredd ทำสำเร็จในแง่ของการสร้างตัวละครให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับต้นฉบับ หนังได้แนะนำ Dredd ในแบบที่ควรเป็นให้เรารู้จัก และเป็นการที่ได้รู้จักกันมากพอแบบที่อาจไม่ต้องบอกอะไรกันอีกมากหากหนังมีภาคต่อ ซึ่งเราก็ได้แต่หวังว่าหนังจะประสบความสำเร็จด้านรายได้มากพอที่จะมีภาคต่อ ให้ผู้สร้างได้นำเสนอองค์ประกอบส่วนอื่นให้ไปได้สุดทางจริงๆ

คะแนน: 7/10

ข้อมูลเบื้องต้น
Dredd

ประเภท Action

กำหนดฉาย 20 กันยายน 2012

บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์

อำนวยการสร้าง/เขียนบท อเล็ก การ์แลนด์ (28 Weeks Later, Sunshine, The Beach)

กำกับ พีท ทราวิส (Vantage Point, Endgame)

นำแสดง คาร์ล เออร์บัน (Star Trek, Red, The Lord of the Rings) , โอลิเวีย เทิร์ลบี้ (The Darkest Hour, Juno, No Strings Attached) และ ลีน่า เฮดี้ (ซีรี่ย์ Terminator: The Sarah Connor Chronicles, 300)

เว็บไซต์ http://dreddthemovie.com/main.html

ตัวอย่างหนัง: http://www.majortrailers.com/


Exit mobile version