The Bourne Legacy: สานต่อตำนานเจสัน บอร์น ใหม่ โดยไม่มีเจสัน บอร์น

The Bourne Legacy เป็นการสานต่อตำนานเจสัน บอร์น โดยไม่ได้ใช้เจสัน บอร์น ของแมต เดมอน เป็นตัวละครนำ แต่ได้สร้างตัวละครใหม่ชื่อแอรอน ครอส ที่รับบทโดยเจเรมี เรนเนอร์ มาสานต่อเรื่องราวแทน ผู้กำกับโทนี่ กิลรอย และทีมสร้างทำยังไงในการสานต่อเรื่องราวครั้งนี้ ข้อมูลจากเบื้องหลังการถ่ายทำที่ยูไอพีประเทศไทยส่งมาให้เราได้อธิบายรายละเอียดให้ทราบครับ และน่าจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่อยากได้ข้อมูลก่อนการชมหนัง นอกจากข้อมูลตัวหนังสือแล้วก็ยังมีคลิปเบื้องพลังที่ใส่เสียงบรรยายไทยด้วย อ่านและชมทั้งหมดได้ที่ด้านล่างครับ

การค้นหา แอรอน ครอสส์

เมื่อทีมผู้สร้างภาพยนตร์แฟรนไชส์ชุด Bourne ครุ่นคิดถึงตอนต่อไปของภาพยนตร์ซีรีส์เรื่องนี้ พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับปริศนา ในตอนจบของ The Bourne Ultimatum พระเอกของเรื่องเกี่ยวพันกับการยิงกันที่สถานีวอเตอร์ลูในลอนดอน จากนั้น ยังมีฉากขับรถไล่ล่ากัน และฉากยิงปืนใส่กันผ่านตามท้องถนนของนิวยอร์กซิตี้ เจสัน บอร์นได้เปิดเผยตัวอย่างยิ่งใหญ่ เขาเปิดโปงรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อเขาหายตัวไป ผู้อำนวยการสร้างแฟรงก์ มาร์แชลล์อธิบายว่า “ความท้าทายก็คือ ‘ทีนี้เราจะเดินหน้าไปไหนอีก?’ เจสัน บอร์นรู้ดีว่าเขาเป็นใคร และเขาไม่อยากจะลงมาลุยในงานเดิมอีก เขาอยากใช้ชีวิตของเขาเอง เราจึงต้องสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ให้เรื่องนี้เดินหน้าไป

ถึงแม้จะลังเล แพทริค โครว์ลี่ย์ พร้อมด้วยมาร์แชลล์  ซึ่งอำนวยการสร้างภาพยนตร์สามภาคก่อน ยอมรับว่ามันคือความสนใจของแฟนๆ ต่อเรื่องราวที่เพิ่มเติมมาที่ทำให้ภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ยังมีชีวิตอยู่ได้ “เราสัมผัสได้ถึงความกล้าของผู้คนที่เดินเข้ามาหาเรา และพูดว่า ‘ฉันชอบหนังพวกนั้นมาก หวังว่าคุณคงจะสร้างหนังออกมาอีกนะ’” โครวลี่ย์เล่า “ถ้าคุณสร้างออกมาสามภาคแล้ว และคนดูยังอยากจะดูภาคที่ 4 คุณก็ทำเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

ในเดือนเมษายน ปี 2010 หลายเดือนหลังจาก พอล กรีนกราสส์ และแม็ตต์ เดม่อน เลือกที่จะไม่มีส่วนร่วมในการผจญภัยบทนี้ ทีมผู้อำนวยการสร้าง เจฟฟรีย์ ไวเนอร์ และเบน สมิธ ได้พบกับสถาปนิคของภาพยนตร์แฟรนไชส์ชุดนี้ นั่นก็คือ โทนี่ กิลรอย และถามเขาว่าเขาเคยคิดถึงว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรบ้างไหม กิลรอยรู้สึกสนใจและเห็นด้วยที่จะลองคิดหาหนทางดูว่าเขาจะพบวิธีที่น่าตื่นเต้นที่จะสานต่อโลกใบนี้ที่เขาเคยช่วยสร้างขึ้นมาได้หรือไม่ เป็นโลกที่เปิดฉากรูปแบบภาพยนตร์ทริลเลอร์สายลับแนวใหม่

หลายอาทิตย์ต่อมา กิลรอยกลับมาหาทีมผู้อำนวยการสร้างพร้อมคอนเซ็ปต์ว่าจะพัฒนาเรื่องราวนี้ต่อไปอย่างไร เขากล่าวว่า “สิ่งที่แยก Bourne ออกจากภาพยนตร์แอ็กชั่นในเวลานั้นอย่างเห็นได้ชัด ก็คือความลึกและความซับซ้อนของปัญหาของตัวละคร ไอเดียที่ให้มือสังหารคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นโดยไม่มีความทรงจำถึงอดีตอันลึกลับ และการต้องชดใช้เพื่อจะฟื้นความทรงจำของเขาขึ้นมา ด้วยการรู้ตัวว่าเขาไม่ใช่คนที่เขาอยากจะเป็น คือการขับเคลื่อนที่มีเสน่ห์อย่างมาก เมื่ออยู่ในมือของนักแสดงอย่าง แม็ตต์ เดม่อน ก็ไม่มีข้อจำกัดว่าไอเดียเหล่านี้จะถูกแสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมาหรือเต็มไปด้วยรายละเอียดขนาดไหน มันคือความสนุกที่ได้คิดหาหนทางที่จะจัดฉากเรื่องราวใน Legacy แต่จนกว่าจะมีตัวละครตัวใหม่ที่มาพร้อมปัญหาใหม่ ที่ให้ความรู้สึกว่าทรงพลัง ก็จะยังไม่มีบทภาพยนตร์ เมื่อชิ้นส่วนชิ้นสุดท้ายถูกวางเอาไว้เข้าที่ เมื่อ แอรอน ครอสส์ กลายมาเป็นจุดสนใจ เมื่อสิ่งที่เขาต้องกลายเป็น มีความชัดเจนสำหรับผมเหมือนที่เราเคยเดินหน้าไปกับบอร์น นั่นคือตอนที่ทุกคนตัดสินใจว่ามันสมเหตุผลแล้วที่จะเดินหน้าต่อไป

กิลรอยเริ่มต้นทำงาน จนกระทั่งเขาได้วางโครงเรื่องที่อาจจะกลายมาเป็น The Bourne Legacy เขาเริ่มต้นกระบวนการค้นคว้าเชิงลึกที่จะกลายมาเป็นโครงสร้างรากฐานให้กับเรื่อง เขาพิจารณาหน่วยงานลับของรัฐบาลอเมริกันที่รู้จักกันในชื่อ DARPA (หน่วยงานโครงการค้นคว้าเพื่อการป้องกันอันก้าวหน้า) ซึ่งพากเพียรที่จะค้นหาวิธีสร้างทหารที่เก่งขึ้น  DARPA และหน่วยงานคู่กันอย่าง IARPA (กิจกรรมโครงการค้นคว้าหน่วยข่าวกรองอันก้าวหน้า) ให้เงินทุนกับโครงการวิจัยมากมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้การทำงานของทหารและสายลับอเมริกันดีขึ้น กิลรอยเล่าว่า “ไม่มีการทดสอบยาในสงคราม มีแต่ความต้องการที่จะได้ทหารที่มีพลังมากขึ้น สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้มากขึ้น และต้องการการนอนพักผ่อนน้อยลง เป็นนักรบที่สามารถรักษาเยียวยา เรียนรู้ และนำข้อมูลมากลั่นกรองได้เร็วขึ้น นั่นคือความฝันของผู้บัญชาการทุกคน เราอยู่ในจุดที่วิทยาศาสตร์เริ่มที่จะทำให้ความฝันนั้นกลายเป็นจริงด้วยวิธีที่คาดเดาไม่ได้และน่ากลัวอย่างมาก

เช่นเดียวกับใน The Bourne Legacy DARPA และหน่วยงานในแบบเดียวกัน ทำงานประสานอย่างใกล้ชิดกับบริษัทยา นักค้นคว้า ซิลิคอน วัลเล่ย์ และบริษัทอื่นๆ เพื่อหาหนทางที่จะทำให้มนุษย์กลายเป็นนักรบที่เก่งขึ้น กิลรอยพบว่ามีการผสมผสานชีวเคมีวิทยากับการสู้รบหลังเหตุการณ์ 9/11 เป็นความลับสุดยอดที่อเมริกามีเพิ่มมากขึ้น โดยได้รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และทำงานโดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่มักจะทำงานให้กับองค์กรใหญ่ๆ อันที่จริงแล้ว มันยิ่งใหญ่ขึ้น จนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมดูแลโดยแผนกใดแผนกหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐฯ

กิลรอยเล่าว่า “นี่คือเรื่องประหลาดที่พอจะค้นคว้าได้ เพราะผมกำลังทำการยืนยันมากกว่าจะเป็นการคาดหมาย ผมยังคงพบว่าไอเดียที่เปี่ยมไปด้วยจินตนาการของผมสำหรับโครงการเอ้าท์คัมและแคนเด้นท์ และ NRAG มันมีอยู่แล้ว ทุกเงื่อนงำที่เราวางเอาไว้ตลอดเส้นทางในภาพยนตร์ไตรภาคเกี่ยวกับโครงการเทรดสโตน และแบ็คกราวน์ที่อิงอยู่กับศาสตร์ทางการแพทย์ ช่างเข้ากันได้ดีทีเดียวกับความเป็นจริงที่มีอยู่ จากนั้นมันก็เป็นแค่เรื่องของการตั้งคำถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทุกอย่างเกิดผิดพลาด

หลังจากทำทรีตเม้นต์ The Bourne Legacy ออกมาจนเสร็จ กิลรอยตัดสินใจว่าเขาสนใจจะกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ถึงแม้เขาจะเริ่มต้นทำงานในฐานะมือเขียนบท แต่กิลรอยได้กลายมาเป็นผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จโดยมีผลงานภาพยนตร์มาแล้วสองเรื่อง นั่นก็คือภาพยนตร์ปี 2007 ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล เรื่อง Michael Clayton ซึ่งนำแสดงโดย จอร์จ คลูนี่ย์ และทำให้กิลรอยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ทั้งในสาขากำกับและเขียนบท และภาพยนตร์เรื่อง Duplicity ภาพยนตร์โรแมนติคในปี 2009 ซึ่งนำแสดงโดย จูเลีย โรเบิร์ตส์ และไคลฟ โอเว่น

ทีมผู้อำนวยการสร้างและทางสตูดิโอ ตกลงใจในทันที และมีความกระตือรือร้นกับเหตุการณ์พลิกผันต่างๆ ในเรื่อง มาร์แชลล์พูดว่า “หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ การได้ทำงานกับโทนี่ในฐานะผู้กำกับ ผมเคยทำงานกับเขาในภาพยนตร์สามเรื่องก่อนในตอนที่เขาเป็นมือเขียนบท แต่ย้อนกลับไปตอนทำงานกับเรื่อง The Bourne Identity ผมก็รู้อยู่แล้วว่าสักวัน เขาจะต้องขึ้นมากำกับแน่ เขานั่งอยู่ในห้องตัดต่อ และให้คำแนะนำ และยังแก้ปัญหาหลายอย่างในแบบที่ผู้กำกับคงจะคิดแบบนั้น ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่มันก็ไม่ได้เริ่มต้นแบบนั้นหรอกนะ

เพื่อหาคนมาร่วมมือเขียนบท กิลรอยเรียกตัวน้องชายของเขา แดน กิลรอย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเขาร่วมทีมทำงานด้วยกันในรอบหลายปี และพวกเขาก็เริ่มลงมือทำงาน แดน กิลรอย พูดถึงการร่วมงานกันครั้งนี้ว่า “โทนี่กับผมเคยร่วมกันเขียนบทด้วยกันหลายเรื่องตอนที่เราเริ่มต้นทำงาน แต่มันไม่ได้ถูกนำมาสร้าง มันจึงเป็นการทำงานที่ง่ายและไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก กระบวนการทำงานของเราก็คือการวางโครงเรื่องด้วยกัน จากนั้นก็กระโดดข้ามไปข้ามมาระหว่างฉากหรือเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อเราทำงาน จะเป็นการทำงานอาทิตย์ละเจ็ดวัน นานหลายชั่วโมง ผมอยู่ในแอลเอ ส่วนเขาอยู่ในนิวยอร์ก แต่สมัยนี้ระยะห่างแบบนี้ไม่สำคัญ จะไม่มีการใส่อีโก้เข้าไป สิ่งใดที่ใช้ได้ดีจะถูกนำมาใช้ จะไม่มีการเห็นแย้งหรือการโต้เถียง เราทั้งคู่เห็นพ้องต้องกัน และทุ่มเทให้กับการปรับทุกองค์ประกอบให้เข้ากันในระดับที่เป็นไปได้สูงที่สุด

มือเขียนบททั้งสอง ได้ขยายการค้นคว้าที่ โทนี่ กิลรอย ได้ทำเอาไว้ตอนที่เขียนทรีตเม้นต์ของเรื่อง ขณะเดียวกันก็ทำการพัฒนาส่วนดราม่าของเรื่อง แดน กิลรอยกล่าวต่อไปว่า “เราหวังว่า Legacy จะตอบรับต่อชื่อเรื่องด้วยการขยายตำนานนี้ออกไปในทิศทางที่ฉลาด เต็มไปด้วยจินตนาการ และมีความเป็นจริง เทคโนโลยีทั้งหมดที่มีการกล่าวถึงในภาพยนตร์เรื่องนี้ ถ้าไม่อยู่ในขั้นตอนการพัฒนา ก็จะถูกใช้อยู่แล้วในแวดวงหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ส่วนที่ยากที่สุดของงานนี้ก็คือการสร้างตัวละครที่มาพร้อมความจำเป็น ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูมีความเป็นส่วนตัว และโทนี่ก็วางแกนเรื่องเอาไว้แล้วตอนที่ผมเดินเข้ามา แอรอน ครอสส์มีความต้องการที่สร้างความใกล้ชิดให้เกิดขึ้นระหว่างเขากับคนดูในทันที การเดินทางในเชิงอารมณ์นี้ปรากฏให้เห็น ซึ่งสำหรับผมถือว่าเป็นสิ่งดึงดูดของภาพยนตร์แอ็กชั่นดีๆ ทุกเรื่อง

มาร์แชลล์ตื่นเต้นมากกับบทภาพยนตร์ที่ได้ เขากล่าวว่า “ไอเดียอัจฉริยะก็คือไอเดียของโทนี่และแดน เป็นการขยายโลกที่บอร์นอาศัยอยู่ และได้เห็นสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ในนั้น และคนที่ควบคุมอยู่ ด้วยวิธีนี้  เราสามารถสร้างโลกที่คนดูเคยค้นพบผ่าน เจสัน บอร์น จากนั้นเราก็มีโอกาสที่จะได้เห็นตัวละครใหม่ๆ และภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น

โครวลี่ย์เห็นด้วยว่ากิลรอยและน้องชายของเขา ประสบความสำเร็จทีเดียวในการเขียนบท เขาเอ่ยชมฝีมือของทั้งคู่ในการเลือกใช้ภาษาที่เป็นภาษาจำเพาะเจาะจงของภาพยนตร์ซีรีส์เรื่องนี้ และวิธีที่พวกเขาเชื่อมโยงทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกันในโลกใบนี้ “โทนี่หลงใหลในชุมชนสายลับอย่างมาก เขาใช้ชีวิตและหายใจอยู่ในโลกใบนี้ เขาถามว่า ‘คนพวกนี้จะคิดอย่างไร พวกเขาจะกระทำอย่างไร และคุณจะมีความสัมพันธ์เช่นไรในโลกของสายลับ’ มันทำให้ผมตื่นเต้นที่เรามีมือเขียนบทที่เป็นหัวใจของซีรีส์เรื่องนี้ เป็นคนที่แสดงให้เห็นว่าเขาคือผู้กำกับที่น่าทึ่ง ที่มีผลงานเป็นภาพยนตร์สองเรื่องที่ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี และเขาก็มาทำหน้าที่กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้

เพื่อให้มีความต่อเนื่องกับบทภาพยนตร์สามภาคก่อนหน้านี้ที่กิลรอยเขียนให้กับภาพยนตร์ชุด Bourne บทภาพยนตร์เรื่องนี้จึงแยกเส้นทางไปจากโครงเรื่องของนิยายยุคสงครามเย็นของลัดลั่ม แต่ยังคงรักษาธีมในเรื่องของการสมคบคิดและโครงการของรัฐบาลที่ลัดลั่มเขียนถึงเอาไว้ ตามที่ผู้อำนวยการสร้าง เบน สมิธ บอก ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอโอกาสที่จะสร้างเรื่องราวบนสิ่งที่ผู้สร้างซีรีส์เรื่องนี้ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วในปี 2001 ได้สร้างเอาไว้  “ความพิเศษในผลงานของ โรเบิร์ต ลัดลั่ม และในภาพยนตร์เหล่านี้ก็คือ พวกเขาพูดถึงอำนาจของปัจเจกชน” สมิธบอก “ในยุคสมัยขององค์กรขนาดใหญ่ และรัฐบาล และความสนใจของนานาชาติ ภาพยนตร์เหล่านี้ทำให้เรารู้สึกว่าเราสามารถสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นได้

เจฟฟรีย์ ไวเนอร์ เพื่อนผู้อำนวยการสร้าง ได้ร่วมแบ่งปันความศรัทธาของสมิธที่ว่า กิลรอยคือผู้กำกับที่เหมาะกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เขากล่าวว่า “เราตื่นเต้นกันมากที่โทนี่ไม่ใช่แค่อยากจะมาเขียนบทให้กับ The Bourne Legacy เท่านั้น แต่เขายังอยากกำกับด้วย เขาคือหนึ่งในคนไม่กี่คนที่อยู่กับภาพยนตร์ชุดนี้มาตั้งแต่ต้น ความเข้าใจและความรู้สึกที่เขามีต่อโลกใบนี้ถือว่าล้ำค่ามากในกระบวนการทำงาน ผมคิดว่าเขาได้ให้ในสิ่งที่คนดูต้องการจากประสบการณ์เมื่อพวกเขาดู Bourne

ที่เข้ามาร่วมทีมในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างบริหาร ก็คือ เฮนรี่ มอร์ริสัน และเจนนิเฟอร์ ฟ็อกซ์ หุ้นส่วนที่ร่วมงานกับกิลรอยมานาน ฟ็อกซ์ได้พูดถึงความสัมพันธ์ในการทำงานของพวกเขา และความสามารถของกิลรอยในการผสมผสานฉากแอ็กชั่น และเรื่องตื่นเต้น เข้ากับเรื่องราวดราม่าที่เผ็ดร้อน เธอกล่าวว่า “เมื่อ โทนี่ กิลรอย เขียนบท เขาสามารถมองเห็นภาพยนตร์ในหัวของเขา โดยลงรายละเอียดแม้แต่ส่วนที่เล็กที่สุด และความสามารถของเขาที่จะมุ่งเน้นและจับภาพนั้น ก็คือบททดสอบที่แสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณของเขา และความแข็งแกร่งในการสร้างสรรค์ของเขา นอกจากนี้ ภายในผลงานของโทนี่ มักจะมีความปรารถนาที่จะอธิบายให้เห็นถึงเรื่องราวเข้มข้นของมนุษย์ ความลึกของตัวละครที่ซับซ้อนของเขาเกิดมาจากการค้นคว้าหาความจริง ตั้งแต่จากตัวละครถึงตัวละคร และจากฉากถึงฉาก

3 comments

  1. นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะได้ฉายาว่า Hawkeye และได้เข้าร่วมทีม Avenger (เอ๊ย ไม่ใช่และ >_<)

Leave a Reply