Prometheus ภาคต่อเดินหน้า เล็งวันฉายไว้ราว 2014-2015

แฟนๆ ของหนังไซไฟอวกาศ Prometheus ผลงานล่าสุดของผู้กำกับริดลี่ย์ สก็อต คงดีใจได้ ทเวนตี้ เซ็นทูรี ฟ็อกซ์ ได้ประกาศสร้างภาคต่อเป็นทางการแล้วครับ ตามรายงานของเดอะ ฮอลลีวู้ด รีพอร์เตอร์

ในรายงานบอกว่าผู้สร้างเล็งกำหนดฉายไว้ราวปี 2014 หรือ 2015 และคาดหวังว่าสก็อตจะกลับมากำกับ เช่นเดียวกับนูมิ ราเพซ และ ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ สองนักแสดงนำของเรื่อง ก่อนหน้านี้ สก็อตเผยถึงแนวความคิดของภาคต่อว่าจะมีความเป็นภาคต้นของ Alien น้อยลง และเน้นไปที่สานเรื่องราวต่อจากตัวละครที่เหลืออยู่มากกว่าครับ

แต่คนที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้กลับมาในภาคต่อก็คือเดมอน ลินเดลลอฟ ผู้เขียนบท Prometheus เนื่องจาก “ไม่ว่าง” จะมาเขียนบทให้ ลินเดลลอฟนั้นถูกนักวิจารณ์และสื่อออนไลน์สับเละพอสมควรตรงที่บทหนังของเขามีประเด็นที่กระจัดกระจาย และขาดความต่อเนื่อง ซึ่งงานสร้างและการกำกับของสก็อตคือส่วนที่โดดเด่นพอจะให้อภัยด้านบทหนังได้

เอ็มมา วัตต์ ประธานฝ่ายการผลิตภาพยนตร์ของฟ็อกซ์บอกในบทความว่า “ริดลี่ย์ตื่นเต้นกับหนังอย่างมาก แต่เราต้องสร้างให้ออกมาเหมาะสมที่สุด จะเร่งรีบไม่ได้” และบอกด้วยว่าหนังจะใช้ทุนสร้างราว 130 ล้านเหรียญครับ

ในบทความบอกด้วยว่าหนังซัมเมอร์ปีนี้ที่มีแนวโน้มจะมีภาคต่อด้วยก็คือ Ted และ Snow White and the Huntsman ของยูนิเวอร์แซล

11 comments

  1. ถ้าหนังเรื่องนี้ไม่มีชื่อ ริดลีย์ สก็อต เป็นผกก. ผมว่ามีสิทธิ์โดนสับเละ

    แม้ว่าโทนหนังและลีลาการดำเนินเรื่องจะชวนติดตาม ซึ่งน่าจะมาจากฝีมือการกำกับมากกว่า
    แต่บทหนังแทบไม่ตอบโจทย์อะไรเลย แถมชวนให้งุนงงมากมายหลายจุด

    ที่สำคัญคือ ถ้าไม่มีชื่อสก็อต Prometheus น่าจะโดนโจมตีได้อีกข้อว่าเป็น

    “หนังเลียนแบบความสำเร็จจาก Alien” มากกว่าที่จะเป็นภาคต้น!?!

    เพราะใช้องค์ประกอบหลายอย่างที่ดูเป็น Alien และดูเหมือนจะเชื่อมโยงถึงกัน
    และน่าจะเป็นภาคต้นของ Alien จริงๆ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่สามารถเชื่อมโยงกันได้
    ไม่ว่าจะเป็นการฟักไข่ในร่างคน, Face hugger (บางคนเรียก Body hugger เพราะมันใหญ่โตเหลือเกิน),
    ตัวเอเลี่ยนเองที่หน้าตาคล้ายเอเลี่ยนแต่ก็ไม่ใช่ ฯลฯ
    และเป็นที่มาของคำถามมากมายจากคนดู

    และนั่นเองทำให้ริดลีย์ สก็อตถึงเคยให้สัมภาษณ์ว่า “หนังเรื่องนี้มี DNA ของ Alien แต่ไม่ใช่หนัง Alien !?!”

    สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าจะในในเชิงปรัชญาหรือความเชื่อมต่อกับหนังชุด Alien นั้น
    ผมรู้สึกว่าหนัง Prometheus ออกจะ “มั่ว” มาก จนจับต้นชนปลายไม่ถูกซักอย่าง

    ซึ่งพอเป็นระดับริดลีย์ สก็อตกำกับเอง ความมั่ว (ของเนื่อเรื่อง) นี้
    ที่ดูเหมือนจะพยายามแฝงปรัชญาอะไรที่ลึกซึ้ง และดูเหมือนจะเป็นภาคต้นก่อนหนังชุด Alien
    เลยได้รับความพยายามจากคนดูในการตีความ/หาเหตุผลประกอบกันยกใหญ่

    • แต่ผมกลับชอบนะ ขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่แฟนบอยเอเลี่ยน (แต่จะเป็นก็คงเพราะหนังเรื่องนี้แหละ555) แต่ก่อนไปดู Prometheus ก็ทำการบ้านมาก่อนนิดหน่อย หลังดูก็พยายามหาเอเลี่ยนภาคก่อน ๆ มาดู โดยเฉพาะในส่วนของภาคแรก ดูแล้วลงความเห็นได้ว่าผมชอบ Prometheus กว่ามาก แม้บทจะออกมาสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ดู ๆ ไปแล้วแทบจะปะติดปะต่ออะไรเข้ากันไม่ได้เลย แต่ผมชอบตรงที่หนังมันแทบจะไม่ได้เฉลยอะไรจากเอเลี่ยนภาคแรกเลย และยังทิ้งปริศนาคาราคาซังเอาไว้มากมาย ผิดกับเอเลี่ยนภาคแรกที่ไม่ค่อยมีปริศนาอะไรให้สงสัยเท่าไหร่ ดูแล้วรู้สึกมันไม่ค่อยมีเสน่ห์เท่า Prometheus แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความสำเร็จของ Prometheus ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับความสำเร็จของเอเลี่ยนด้วยที่ช่วยปูทางมันมาได้ถึงขนาดนี้ รวมถึงการตลาดของหนังเรื่องนี้ที่ผมว่าเจ๋งที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย

  2. ถ้าลองค้นคว้านะครับหนังเรื่องนี้ไม่มั่วเลย ทั้งหมดมาจากตำนานสุมาเรียน และวิวัฒของ นิยาย ปรัมปรา เรื่องกำเนิดโลก ทั้งหมดรวมเป็นประเด็นของใครคือผู้สร้างโลก ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเอเลี่ยนเป็นเพียงส่วนเล็กๆ อาจจะเพื่อให้ผู้ให้ทุนสนใจและให้เงิน ริดลี่ สก๊อต มาทำ คือแค่มีส่วนในการโปรโมท ไม่ใช่หนังสัตว์ปลาดไล่กินคนธรรมดา

  3. เดี๋ยวนี้มีการแบ่งกันด้วยว่า ที่หนังแย่เพราะคนเขียนบท แต่สุดท้ายที่พอจะออกมาดีเพราะฝีมือของผู้กำกับ
    เพราะตามหลัก ผู้กำกับมีหน้าที่ดูแล Direction ทั้งหมดของตัวหนังอยู่แล้ว หากริดลีย์ สก็อตจะนั่งแท่นกำกับ เขาก็ต้องดูอยู่แล้วว่าหนังดีพอจะกำกับหรือเปล่า Alien เอง เครดิตก็ได้กับเขาไปเต็มๆ ภาคต่อใครจะอยากเสียชื่อกันล่ะ
    แถมช่วงโปรโมท ผมก็เห็นทั้งคู่เดินสายโปรโมทร่วมกัน คุยเข้าขากันดีมากๆ พอหนังออกมาไม่เป็นที่พึงพอใจ ก็โยนข้อเสียทั้งหมดตกไปอยู่กัับคนเขียนบท ผมว่ามันไม่ค่อยดูยุติธรรมเท่าใดนัก

    ในฐานะที่ผมพึงพอใจกับ Prometheus ค่อนข้างมาก ผมมีข้อคิดเห็นดังนี้
    Prometheus เปรียบเหมือนหนังที่อยู่ตรงกลางระหว่าง 2001 : A Space Odyssey (คลุมเครือจนคลาสสิค) กับ Mission to Mars (ชัดเจนจนขาดเสน่ห์)

    Prometheus มันมีทั้งบทสรุปที่ชัดเจนและคลุมเครือ ความชัดเจนคือ Space Jockey นั้นสร้างมนุษย์ และเป็นผู้สร้าง Alien เช่นกัน ความไม่ชัดเจน คือเป้าประสงค์ของ Engineer หรือกลไกต่างของ Xenomorph นั่นทำให้ Prometheus มีเสน่ห์ เสน่ห์ (สำหรับผม) คือถึงหนังจะเผยบางอย่างแต่ก็เก็บงำซ่อนบางอย่าง กรณีเดียวกับ Alien ที่หนังก็ไม่ได้เผยว่ามนุษย์ต่างดาวร่างยักษ์มันนอนตายเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆ เราก็รู้สึกว่าที่แห่งนี้ไม่ปลอดภัย คล้ายกับเป็นสุสานร้าง เป้าหมายหลักของเรื่องจึงอยู่ที่การเอาชีวิตรอดจากสัตว์ประหลาดกลับไปให้ถึงโลกให้ได้ จนคนดูลืมสงสัยว่า alien มันคือตัวอะไร ถูกสร้างมาโดยใคร มีกลไกชีวิตอย่างไร ฯลฯ

    เช่นเดียวกับ Prometheus ที่เป้าหมายคือการตามหาพระเจ้า ภายใต้ “ความต้องการ” ที่แตกต่างกันของคนหลายๆ จำพวกหลายๆ ชนชั้นบนยาน (เงิน, ปมคำถามภายในใจ, อุดมการณ์, ยาอายุวัฒนะ, ลูกสาวที่อยากให้พ่อตาย, David กับความรักจากเวย์แลนด์) หนังบรรลุในข้อนีี้ทั้งหมด แต่ความคลุมเครือที่สร้างเสน่ห์ให้กับ Prometheus (สำหรับผม) เป็นปัญหาแก่หลายๆ คน รวมถึึงความไม่สมเหตุสมผลของนักวิทยาศาสตร์ที่ชอบไปจับนู่นจับนี่ เดินหลงทาง ฯลฯ ผมมองว่า มันคือเป้าประสงค์ของเวย์แลนด์ทีี่ต้องการคัดเฉพาะคนกะเลวกะราด ไปเป็นหนูลองยาอยู่แล้ว ประเด็นนี้ผมเลยไม่ติดใจ

    สรุปแล้วผมคิดว่าโครงสร้างของ Prometheus นั้นคล้ายคลึงกับ Alien ต้นฉบับ เพียงแต่มีเป้าหมายใหม่ที่ใหญ่ขึ้น เปลี่ยนจากการเอาชีวิตรอด มาเป็น ตามหาความหมายของชีวิต และรวมทั้งทิ้งปมปริศนาให้ข้างคาใจ สร้างความน่าสะพรึงแก่จักรวาลอันกว้างใหญ่ ใบเดิม ใบเดียวกับ 30 ปีที่แล้ว

    • ตรงใจที่สุดครับ เห็นด้วยตรงที่หนังมีส่วนที่เหมือน Space Odyssey ผมเห็นไอ้เจ้าหุ่นเดวิดแล้วนึกถึง AI ในหนังเรื่องนี้ขึ้นมาทันทีเลย (ดูแล้วจิต ๆ เหมือนกันเลย) แต่ประเด็นที่ว่า Engineer เป็นผู้สร้างเอเลี่ยนนี่ผมว่ามันยังไม่ชัดเจนนะครับ ผมกลับรู้สึกว่าดูหนังเรื่องนี้จบแล้วมันยิ่งทำให้ไม่รู้ว่าเอเลี่ยนมันคืออะไรและมีที่มาที่ไปจากไหนยิ่งกว่าเดิมอีก บางทีมันอาจเป็นอะไรที่อยู่เหนือการควบคุมยิ่งกว่านั้นก็ได้

  4. ริดลีย์ แค่ต้องการใส่จิตวิญญาณ ความเชื่อ ความศรัทธา การเกิด และดับ ใส่มันลงไปในหนังที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ ร่างกายสามารถเกิดขึ้นได้ แต่จิตวิญญาณมันมาจากใหน วิวัฒนาการหรือความทะเยอทะยาน คำตอบก็คือ สัตวทุกชนิดมัวิวัฒนาการและสัตว์ทุกชนิดก็มีกิเลส เป็นปัจจัย และกรรมเป็นตัวพาไป เอเลียนก็แค่องค์ประกอบที่มีความสำคัญ แค่ 5 % ของทั้งหมด เท่านั้นเอง

  5. ผมกลับมองว่าหนังจงใจให้คนดู ค้นหาจากตัวหนังมากกว่าที่หนังจะบอกอะไรให้กับคนดู (ว่าง่ายๆคือ มันเหมือนจะมั่วแต่ไม่มั่ว หนังให้คนดูไปศึกษากันเอาเอง แต่อาจไม่เหมาะกับคนที่ดูหนังรอบเดียวแล้วเลยผ่านไป)

    กรณีนี้เคยปรากฏกับ Animation เรื่องหนึ่งของญี่ปุ่น นั้นคือ Evangelion ที่นำเอาประเด็นต่างๆมาใส่ไว้ในหนัง แต่ตัวหนังก็ไม่ได้เฉลยตรงๆ ซึ่ง หากดูแล้วเปรียบกับข้อมูลที่อิงอยู่จริง ก็เหมือนเป็นการเอาโน้น มาอิงนี่นั้นเอง แต่มันมีความสัมพันธ์กัน (แต่อีวานเกเลี่ยน จะเอาศานสนาแต่ละศาสนามาสร้าง ดัดแปลงเป็นเรื่องราวได้)

    ผมว่่าการที่ครเขียนบท เอาประเด็นมามาก จนทำให้คนดูไปตีความต่างๆนานานั้น มันอาจเป็นอีกจุดประสงค์ของหนังปรัชญา ไซไฟ สยองขวัญเรื่องนี้ก็ได้

Leave a Reply