The Dark Knight Rises: ความเห็นหลังชม

แล้วหนึ่งในหนังที่แฟนๆ ตั้งตารอแห่งปีนี้ก็มาถึงครับ The Dark Knight Rises เพิ่งฉายรอบสื่อในบ้านเราไปเมื่อวาน และตามด้วยรอบทั่วไปในวันนี้ ความเห็นส่วนใหญ่ออกมาในแง่ดีบวก เพียงแต่มีบวกอยู่สองแบบ แบบแรกคือบวกมาก ได้รับการชื่นชมว่าเป็นหนังที่สุดยอด เต็มอิ่ม ส่วนบวกที่สองก็คือบอกว่ายังเป็นหนังที่ดี และสนุก เพียงแต่ต่ำกว่ามาตรฐานเดิมที่ผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลน เคยทำไว้ในภาคที่แล้วครับ ความเห็นนี้น่าจะสอดรับกับคะแนนนักวิจารณ์ใน Rotten Tomatoes ด้วย ที่แสดงผลให้ดูว่ามีนักวิจารณ์ชอบหนัง 87% คิดเป็นคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 8.3/10 จาก 136 วิจารณ์ในตอนนี้ ซึ่งน้อยกว่า The Dark Knight ที่มีนักวิจารณ์ชอบถึง 94%

ส่วนตัวของผมคิดว่าศัตรูสำคัญของหนัง The Dark Knight Rises คือ “ความคาดหวัง” โนแลนสร้างมาตรฐานเอาไว้สูงในหนังเรื่องอื่นๆ อย่าง Inception หรือ The Dark Knight และทำให้ถูกคาดหวังไว้ว่า The Dark Knight Rises จะต้องสนุกและดีอย่างน้อยในระดับเดียวกัน หนังเรื่องนี้ยังเป็นหนังที่สนุก และดี เมื่อเทียบกับหนังทั่วไป แต่เมื่อเทียบกับมาตรฐานของโนแลนแล้ว เราไม่รู้สึกว่าเป็นมาตรฐานใหม่อย่างที่หวัง แต่ก็ไม่ได้ผิดหวัง มันเพียงได้ตามที่หวังเท่านั้น ซึ่งผมมองว่ามาจากหนังมีหลายช่วงที่เร่งจังหวะจนไม่ทำให้รู้สึกได้ซาบซึ้ง หรืออิน หรือมีช่วงพีคสุดจริงๆ ในหนัง หนังมีเรื่องราวให้เล่าเยอะ จนคิดว่าน่าจะยาวอย่างน้อย 3 ชั่วโมงถึงจะขยี้ให้เกิดความซาบซึ้งกินใจ ทำได้เพียงแค่ให้เห็นภาพรวมๆมากกว่า

อีกสาเหตุก็คือ หนังขาดตัวร้ายที่ขลังจนขนลุกแบบโจ๊กเกอร์ และมีอำนาจน่ากลัวจริงๆจนทุกคนต้องร่วมมือกันหนักเพื่อเอาชนะ เหมือนเผชิญศัตรูที่เหนือกว่าแบบโซรอน ใน The Lord of the Rings หนังเปิดตัวเบนให้ดูน่าเกรงขามในช่วงแรกแบบใช้ได้ แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป พลังในตัวของเบนกลับอ่อนลง แต่กลายเป็นตัวละครอื่นอย่างจอห์น เบลค (โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิทท์) กลับเพิ่มพลังขึ้นแทน

แต่หนังทำหน้าที่ได้ดีในแง่การเป็นภาคจบของไตรภาคครับ มันสร้างบทสรุปที่ดีมากให้หนังชุดนี้ และมีการปิดฉากที่มีพลังดี ทำให้เรื่องราวจบลงอย่างสวยงาม ซึ่งถ้านี่ไม่ใช่หนังภาคจบของภาคต่อ แต่เป็นหนังเรื่องเดียวโดดๆ The Dark Knight Rises อาจทำให้คนดูรู้สึกผิดหวังได้ ผมยังชอบที่หนังให้มนุษย์ค้างคาวไม่ใช่แค่ตัวละครตัวหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของบางอย่างด้วย ซึ่งช่วง 40 นาทีสุดท้ายของหนังได้ตีประเด็นนี้ออกมาได้ดีมากครับ โดยสรุปแล้วผมให้คะแนนหนังที่ 8/10 ครับ

จะเขียนวิจารณ์ให้อ่านเร็วๆ นี้ครับ เอาแค่ความเห็นมาเสิร์ฟก่อน และเพื่อนที่ได้ชมแล้วเชิญใส่ความเห็นกันได้เลย และรบกวนช่วยเขียนข้อความเตือนก่อนด้วยนะครับถ้าจะสปอยล์หรือบอกเนื้อหาสำคัญก่อนที่จะใส่ความเห็นเข้าไป

90 comments

  1. ครึ่งแรกของหนังยังนิ่งแต่ก็พอไปได้ครับ ช่วงกลางถึงช่วงหลัง ทรงพลงขึ้นเรื่อยๆ แต่ผิดหวังตัวร้ายมากกว่าครับ แผ่วๆ ลงอย่างที่เขียนมาข้างต้นจริงๆ ครับ

  2. สรุปง่ายๆประเด็นคือโนแลน ไม่ได้ให้ในสิ่งที่แฟนๆโนแลนต้องการ แต่ให้ในสิ่งที่แฟนๆแบทแมนสมควรจะได้รับ

  3. ความยิ่งใหญ่ของหนัง และดนตรีประกอบอันยอดเยี่ยมทำให้ลืมจุดบกพร่องต่างๆ ไปได้ มีบางฉากที่พูดเยอะไปหน่อย ซึ่งทำให้หาวได้เหมือนกัน อย่างน้อย The Dark Knight Rises น่าจะทำรายอันดับต้นๆ ของโลก เพราะขนาดโรง imax ที่ paragon รอบเที่ยง แถมไม่ใช่วันหยุด คนยังเต็มเลย

  4. ผมว่าด้วยตัวหนังเพียวๆ โดดๆ อาจจะไม่ดีเทียบเท่า 2 ภาคแรก
    แต่นี่เป็นหนังไตรภาค และเป็นตอนจบของภาค ผมถือว่าให้คิดรวมกันได้
    ที่สำคัญคือ ดูสนุก จะตีโจทย์ของหนังได้ดีมาก ทำให้ตอนจบของหนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยมมากคับ
    ผมให้ 9/10 **หัก 1 คะแนน เพราะ บทหนังภาคนี้แหละคับ ออกตัดๆฉับๆ เร่งไปนิด

  5. เห็นด้วยครับกับเรื่องพลังของเบ็น ดูช่วงแรกนี่พี่แกเทพอย่างเหลือเชื่อ แต่พอเข้าช่วงท้ายก็ชักจะเริ่มแผ่วๆ (สงสัยฤทธิ์มอร์ฟีนหมดละมั้ง) สำหรับผมแล้วภาคนี้เก็บรายละเอียดได้ดีครับ เก็บชนิดทุกเม็ดละเอียดยิบ มีความเชื่อมโยงกับ 2 ภาคก่อนหน้าพอให้เห็นได้ว่าเราไม่ทิ้งกัน มันคงจะเจ๋งมากถ้าดูภาค 2 จบแล้ว ต่อด้วยภาค 3 ทันที เพราะนั่นจะช่วยส่งเสริมอารมณ์ให้ต่อเนื่องและไม่ขาดตอน (แต่โทษทีเถอะครับ ภาค 2 ก็ว่านานแล้ว มาบวกกับภาค 3 อีกเนี่ยมีอ้วกนะครับ) เห็นด้วยกับคุณ “lucaman55 ” ที่บอกว่าเป็นภาคที่ตอบสนองความต้องการของแฟนๆ แบทแมนได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าใครที่นอยิมชมชอบไปดูเรื่องนี้ ก็คงพูดในทำนองเดียวกัน ดูไปจนถึงตอนจบ อยากตะโกนเหลือเกินว่า “ภาคต๊ออออออออออ” แต่คงเป็นไปไม่ได้ (ฮา) โดยรวมแล้วผมให้ 8.5/10 สำหรับสิ่งที่โนแลนพยายามทำ เก็บทุกรายละเอียดให้มันไม่ขาดไม่เกิน แต่จุดด้อยก็ตรงที่มันไม่สุดในหลายๆ อย่าง เหมือนใช้ตัวละครตัวอื่นๆ ไม่คุ้มเท่ากับภาค 2 (แต่แหม ถ้าจะเอาให้ครบขนาดนั้นสงสัยต้องมี 3.1 กับ 3.2 แหงๆ ^^”)

  6. เห็นด้วยครับ ภาคก่อนเป็น A+ แม้ภาคนี้คือ A- แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังอะไร เพราะมันก็เกรด A เหมือนกัน แถมยังหลงรักนางแมวป่าด้วย…อ้าวใครหยิบหนังเรื่อง Havoc ไปเนี่ย?

  7. หากคุณเป็นนักแต่งเพลงคุณจะรู้ว่าการคิดท่อนอินโทรและท่อนจบของบทเพลงมันทำได้ยากที่สุด
    ถ้าแบทแมนเป็นเสมือนบทเพลง The Dark Knight ก็คือท่อนฮุค และ The Dark Knight Rises ก็คือท่อนจบและเป็นท่อนที่เป็นบทสรุป ที่เต็มไปด้วยพลัง งดงาม สุดแสนจะบรรยาย ความอิ่มเอมที่ได้ฟังบทเพลงนี้ ก็เพราะมันทำหน้าที่ของมันได้ดีทุกท่อน ไม่ว่าอินโทร ท่อนฮุค และท่อนจบ โครงสร้างของบทเพลงจะสมบูรณ์แบบเมื่อมันรวมกันเป็นหนึ่ง ไม่มีเหตุผลที่นำมันมาเปรียบเทียบกัน……..บทเพลงแห่งรัตติกาล.

  8. The Dark Knight Rises (8.5/10) เรียกได้ว่าเป็นงานที่ให้กลิ่นอายความเป็น คริสโตเฟอร์ โนแลน น้อยที่สุดในบรรดาหนังของเขาทั้งหมด โทนหนังออกมาค่อนข้างสว่าง ถึงจะผิดคาดแต่ก็ไม่ถึงกับผิดหวังเพราะถึงจะเปลี่ยนให้เป็นแอ๊คชั่นแบบเต็มตัวแต่ก็ถือว่าไปได้สุดทาง ความมัน ความเท่ ความอลังการ เอาไปเลย 10 เต็ม (ในแง่ความเป็นหนังฮีโร่ดีกว่าทั้ง Avengers และ Spiderman) อย่างไรก็ตามในแง่ของความเป็นงานศิลป์ต้องบอกว่าผลงานเรื่องนี้ยังห่างไกลกับ The Dark Knight ที่สอดแทรกแนวคิดปรัชญา, จิตวิทยา & การเมืองได้อย่างลงตัวกอปรกับการแสดงมาสเตอร์พีซในบทโจ๊กเกอร์ของ ฮีธ เลดเจอร์ ผู้ล่วงลับ

  9. ผมรัก… แบ็ทแมนในแบบที่โนแลนเป็นนะ อาจจะฟังดูแปลกๆหน่อยที่เอาชื่อผู้กำกับกับตัวละครมาผสมกัน บรูซเป็นมากกว่าสื่งที่แบทแมนเป็น เป็นมากกว่าสัญลักษณ์อย่างที่ขยายให้ดูในหนัง และเอ่อคงไม่ต้องสรรเสริญเยินยออะไรมากมั๊งกับความเก่งกาจของผู้กำกับคนนี้รวมถึงทีมนักแสดงชุดนี้ เพราะรู้ๆกันอยู่ หลายฉากทำผมเกือบหัวใจวายในหลายอารมณ์ สำหรับใครที่ชื่นชอบสองภาคแรกอยู่แล้ว ผมจะบอกคุณว่าคุณจะรักภาคสุดท้ายนี้ได้ไม่ยากเลย และสำหรับตัวผมเองแล้ว 3ชม.กับRISE เป็น3ชม.ที่มีความสุขที่สุดในชีวิตการดูหนังของผมเลยก็ว่าได้ครับ กล้าพูดๆ ฮ่าๆ และลืมบอกไปว่า ผมมีความสุขกับ5นาทีก่อนหนังจบมากเลยครับ ผมให้10/10ครับ

    ปล. ผมไปดูโรงโนเกีย ที่พารากอนมา เห็นตัวอย่างMan of steelด้วย ผมตื่นเต้นและดีใจมากที่เห็นตัวอย่างแบบชัดๆ แต่ดูไม่เหมือนกับในงานcomic-conเลยซะทีเดียวอ่ะ มีใครได้ดูเหมือนผมบ้างครับ

  10. แต่ผมชอบไดอะลอคของภาคนี้นะ บทสนทนาของแต่ละคู่ แม้จะไม่มีสำนวนสวยๆงามๆ แต่นักแสดงแต่ละคนแสดงอารมณ์ออกมาให้คนดูอินไปด้วยได้นะ หรือเพราะมันผูกพันกับตัวละครด้วยก็ไม่รู้นะ

    ยิ่งตอนบทสนทนาของบรูซกับอัลเฟรดอะ แทบร้อง

    • ผมแทบร้องเหมือนกันครับ กลั้นไม่ไหวมาร้องตอน10นาทีหลัง ขอบอกว่า15นาทีหลังใครเป็นแฟนแบทแมนหัวใจวายคาโรงแน่เลย 555

  11. แฟนโนแลนอย่างผมขอบอกเลยครับว่า….ผิดหวัง บทหนังทำมากระชับดูเพลินและตื่นเต้นตลอดทั้งเรื่อง แต่ผิดหวังกับมาตรฐานโนแลน ที่เรื่องนี้ทำออกมา “ตื้นมากๆ”

    • ผมก็แฟน โนแลน แต่ผมรักเค้ามากขึ้นกว่าเดิม หลังจากดูจบ (สองรอบแล้ว)
      มาตรฐานที่ดี ไม่ใช่สร้างกันได้ง่ายๆนะครับ เขาทำได้ขนาดนี้ ยังไง “คุณก็ต้องสมควรชื่นชมเขา” ..
      คุณบอกว่าเป็นแฟน ถามนิส ถ้าแฟนจริงๆของคุณทำบางสิ่งไม่ได้ตาม
      มาตรฐานที่คุณ วางข้อบังคับและความคาดหวังเอาไว้ ในขณะที่ตัวคุณเอง ทำไม่ได้อย่างที่เธอทำเลยซักนิสส คุณจะรู้สึกยังไง ? คุณจะตำหนิเธอว่า.. แย่มาก…ผมผิดหวังในตัวคุณ! สมองคุณนี่มันตื้นเขินมากๆ !! อย่างนั้นเหรอครับ

  12. theme ภาคนี้ มันเล่นกับความจริง(แสงสว่าง) ครับ ฉะนั้นผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรว่าฉากภาคนี้มันจะเน้นฉากกลางวันเป็นส่วนมาก นั่นคือมันสื่อว่าสุดท้ายเมื่อถึงเวลาที่ต้องยอมรับความจริง เราจะทำอย่างไรกับมัน ประเด็นหนังมันง่ายๆ แต่มันสื่อมาชัดเจน และทรงพลังมากๆ

    อันนี้ Spoiled น่ะ

    ที่น่าเสียดายคือ หนังไม่ได้เสนอออกมาอย่างเต็มที่ว่า หลังจากความจริงเกี่ยวกับฮาดี้เปิดออกมาแล้ว คนมันรู้สึกอย่างไรบ้าง เรารู้แค่มีตัวละครเด่นๆบางตัวเจ็บปวด แค่นั้นเอง ซึ่งถ้าโนแลนใช้จุดนี้มาขยาย หนังมันคงไปไกลและลุ่มลึกกว่านี้

  13. ส่วนตัวให้ 83/100 ล่ะกันครับ หนังถือว่าดึงมาถึงบทสรุปได้ดีพอใช้ได้ และแทบทุกตัวละครมีส่วนสำคัญกับเนื้อเรื่องเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ Batman โชว์พาวลุยแหลกเป็นฮีโรเว่อๆอยู่คนเดียว แต่บางคนอาจจะรู้สึกได้เหมือนกันว่า Batman ดูไม่เก่งกาจเท่าไรนักก็เป็นได้

    ปล. แอบขำ Scarecrow ยังอุตส่าห์จะมีบทอีกแน่ะ 😛 เป็นผู้พิพากษาโทรมๆ เหอ เหอ

    ปล. ควรเข้าโรงตามเวลาเลยครับ ถ้าอยากจะเห็นหนังตัวอย่างของ Superman 😉 (ผมดูที่ Esplanade ครับ)

    ปล. ถ้านี่ไม่ใช่ภาคจบปิดท้ายซีรีส์ ภาคหน้ามี โรบิน แหงมๆ

  14. “อลังการ ฮึกเหิม มันส์ระทึก บทเจ๋ง ดนตรียิ่งใหญ่มาก จบไตรภาคได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

    ความรู้สึกตอนนี้คืออึดอัด อารมณ์มันไม่จบ อยากดูอีกรอบในแบบ IMAX ไวๆนี้เลยด้วยซ้ำไป เหมือนยังไม่ได้ดูรอบแรก ฮ่าๆ ฉากที่ได้เห็นแบทแมนครั้งแรกเล่นเอาขนลุกซู่เลย เพลงในภาคนี้มันช่างยิ่งใหญ่ ปลุกความฮึกเหิมได้สุดๆ บทหนังเล่าได้น่าติดตาม คลี่คลายดี จบสมบูรณ์ในตัวของมันเอง นางแมวป่าเซ็กซี่โคตร โดยเฉพาะตอนขี่มอไซด์ ฮ่าๆๆ

    ตัวร้าย (เบน) ทำออกมาได้น่าเกรงขาม ดูแล้วรู้สึกไม่อยากไปต่อกรด้วยเลย เป็นตัวร้ายที่มีเสน่ห์ไปอีกแบบคนละอย่างกับโจ๊กเกอร์ มีหลายๆฉากในภาคนี้ที่เล่นเอาขนลุกซู่ ภาคนี้เจริญหูเจริญตากว่าสองภาคที่ผ่านมามากๆ เพราะภาคก่อนๆนางเอกหน้าแก่ ดีที่ภาคนี้ไม่อยู่แล้ว 55+

    สำหรับผม เป็นภาคจบที่สมบูรณ์แบบ ครบทุกรส อลังการยิ่งใหญ่จริงๆ (ซึ่งเชื่อว่าดูบนจอ IMAX จะยิ่งกว่านี้อีก) แต่รวมๆแล้วผมก็ยังชอบภาคโจ๊กเกอร์มากกว่าอยู่นะ อยากดูภาคต่อมากๆ ไม่รู้จะมีอะไรดลใจให้โนแลนเปลี่ยนใจไหม

    คนที่ไม่เคยดูภาคก่อนหน้านี้มา ขอแนะนำให้ดูมาก่อนจะดีกว่านะครับ มันจะช่วยให้ดูภาคนี้สนุกขึ้นอีก

    ความยาวเฉพาะตัวหนังคือ 2.40 นาที

    ***คำเตือน ห้ามโดนสปอยเด็ดขาด ไม่งั้นอรรถรสคุณจะหายไปเยอะเลยทีเดียว ***

  15. ทุกคนเอาบทได้อยู่หมัดทุกคน แต่ที่น่าสงสารที่สุดคือพี่เบล ที่เล่นเป็นเจ้าของชื่อเรื่องแต่โดนคนอื่นข่ม ทั้งสามภาค แต่ภาคนี้ถือว่าน้อยหน่อย เพราะบทที่เกลี่ยได้ดีมาก ส่วนแอนเซอร์ไพรส์มากจริงๆ หวังไว้ประมาณนึงแต่นางแบบลงตัวเป๊ะไม่ทับลายใคร ฉากกลอกตาที่สนามบินนั้นเป๊ะจริงๆ ช่วงหนังปิดจบนั้นถือว่าครบถ้วนอย่างที่แฟนๆรอแล้ว ฟินมากมาก

  16. ดูมา2 เวอร์ชั่น 2 วันติด( วันแรกธรรมดา วันที่2imax) กลับรู้สึกว่าฉบับimaxทำให้หนังทรงพลังมากกว่าภาคที่แล้ว แม้ปมบางอย่างยังคาใจอยู่เยอะ ยิ่งช่วง ฉากประทะกันระหว่างเบนกับแบทแมน ในครั้งแรก ระบบimaxทำให้เรารู้สึกถึงพลังของเบนได้เลย(เสียงหมัดต่อยกันหนักมาก) และยังไปจัดเต็มกับช่วงสุดท้ายที่เป็นฉากimax ที่มาแบบยาวๆ ไม่ตัดสลับภาพไปมาให้ป่วดหัว
    คหสต.ถ้าเอาเบนไปอยู่ในภาคที่แล้ว แล้วเอาโจ๊กเกอร์มาไว้ภาคนี้ หนังคงเป็นอะไรที่สุดยอดมาก

    • จริงครับ หนังน่าจะลำดับ Begin -> Dark knight rises -> Dark knight เพราะ DKR มันเชื่อมกับภาคแรกเยอะ และ DK มันสุดยอดเพราะโจ๊กเกอร์

  17. โดยส่วนตัวผมนั้น หลังจากดูแล้วรู้สึกอิ่มแต่ยังไม่จุกเท่ากับ Tdk แต่ก็คุ้มค่าตั้วแบบสุดๆ
    คริสต์.(สปอยนิดโหน่ง)

    แต่ที่ชอบมากๆนั้นก็คือ เบน ในช่วงแรกๆ ที่แสดงความน่าเกรงขามได้ใจมาก
    ทั้งลุยก็เก่ง เป็นนักอุดมการณ์เเบบเน้นๆ ยิ่งตอนฉากระเบิดเมืองนี้แบบสุดๆ. ยากที่จะหาคำบรรยายจริงๆ
    มันได้อารมณ์แบบตัวร้ายทีีเป็นนักปฎิวัติ อุดมการณ์สูง และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
    แต่พอหนังมาเฉลยตอนจบปุ๊ป มันแบบสตั้นไป10วิ
    แบบว่า เฮ้ย เบนเอ็งนี้กลัวเมียนี่หว่า
    ทั้งที่หนังไม่ได้เกริ่นถึงความน่ากลัวของ(คุณก็รู้ว่าใคร)เลย
    มันทำให้มิติของตัวละครหายไปเยอะ

    ผมว่าหนังได้ดนตรีมาช่วยเยอะมากจริงๆ

    ปล.เสียอย่างเดียวที่ tdkr มาฉายหลัง tdk และ incetion พอดีอินสองเรื่องนี้มากกกกกก

  18. เพราะว่าผมไม่คาคหวังกับการดูหนังทุกเรื่อง ผมพยายามที่จะไม่หวังกับหนังทุกเรื่องที่ดู ขอให้ดูแลัวมันสร้างเสริมเติมเต็มให้กับประสบเกินของเราก็พอ ถ้าดูแลัวสนุก ดูแลัวชอบ มันส์ สะใจ ฮาแตก นั้นแหละมันคือหนังที่ดีแลัว และ BATMAN ในฉบับ โนแลน ก็สอบผ่านหมดทุกข้อเลยครับ ถ้าเป็นแฟนการ์ตูนแลัวด้วย ก็จะชอบมาหๆ เพราะสิ่งที่คิดไว้มันตรงกับที่แฟนคาคหวังไว้​ทั้งหมด ไม่มีอะไรเกินเลย และไม่น่าแปลกใจ แต่กลับน่าประทับใจมากๆ…!​!! ชอบการผูกบทของเรื่องนี้​มันลงตัวสุดๆ…!! ผมล่อดูวันเดียว 2 รอบทั้งเสียง EN&TH ไปเลยวันเดียวกัน…! ทั้งสามภาค แลัวเจอกันใหม่ที่ Justice League. ให้ไปเลย 9.5/10 สมบูรณ์แบบจริงๆ…!

  19. โคตรสปอยครับยังไม่ดูไม่ควรอ่าน:

    นี้คือภาพยนต์ที่ดีที่สุดอีกเรื่องในชีวิตผม หนังเรื่องนี้หลอกเราตั่งแต่ขั่นตอนโปรโมท ที่เสนอ เบน เป็นตัวร้าย นางแมว มาเป็นผู้ช่วยแบบแสบๆ แต่อันที่จิง วายร้ายของภาคนี้ก็คือความสิ้นหวัง เหมือนกับที่ภาคแรก ตัวร้ายคือความกลัว ภาค 2 ตัวร้ายก็คือความรักความความสับสน เบนเป็นแค่หมากของเกมส์ ไม่ได้เป็นเมนหลักของเรื่อง เมนหลักคือ บรู๊ซ จะกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความหวังอีกได้อย่างไรเมื่อเค้าอยากตายมากกว่าจะเดินก้าวไป อย่างที่ อัลเฟรด ตัวละครเอกของเรื่อง(สำหรับผม)ได้บอกไว้ หนังได้ เบรค มาเป็นคนรุ่นใหม่ที่เป็นความหวังให้แบทแมนไม่ต้องกังวลในยามไม่มีเค้าอีก จ่า กอดอน ในบทบาทที่ต้องทนอยู่กับทุกข์ทางใจในกำมือตัวเอง นางแมวในแบบที่จะมาทำให้ บรู๊ซ มีหวังที่จะก้าวออกไปใช้ชีวิตต่อไป ตัวโกงของเรืองจริงๆก็คือความไว้ใจ ที่มีต่อ มิแรนด้า นั่นเอง ผมดีใจที่ เบน ไม่ได้เป็นเหมือน โจ๊คเกอร์ อย่างที่หลายคนอยากให้เค้ามีบทบาทยังงั่นเหลือเกิน มันจะแตกต่างได้ไงถ้า เบน มาพร้อมกับความบ้าบิ่น เบน มาต่อสู้ด้วยอะไรเหรอ คำตอบคือความรัก แค่นี้ก็ทำให้ยอมตายแทนได้แล้ว อย่างที่ ราช อัลกูล เป็นโลโก้ของตัวร้ายเปี่ยมอุดมการ โจ็คเกอร์ มาในแบบความบ้าบิ่นเกินจะเข้าใจเเละยากที่จะคาดเดา เบน มาพร้อมกับความรัก 3 องค์นี้ทั้ง อุดมการ ความบ้าบิ่น และความรัก ทำให้คนเราสามารถทำได้ทุกอย่างจริงๆ จุดจบของเรื่องที่ อัลเฟรดได้ปูมาตลอดทุกครั้งที่เค้าอยู่ในฉาก ทำได้ละมุนละไมในแบบเรียบง่ายเเต่ตราตรึงขลุกขุ่นอยู่ในใจ เชื่อสนิทว่ามันจะจบ เหมือนโนแลน จะบอกว่าทางเราจบแล้ว แต่ผมไม่ปิดกั่นนะ ถ้าใครแน่จริงมาทำต่อได้เลย(ต้องแน่จิง จริงๆ ไม่งั้นจะเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง) หนังหลอกผมสนิทได้หลายฉากทั่งที่เรามีข้อมูลอยู่เเล้ว หักมุมผมจนทำให้ผมยิ้มปนจะร้องให้ และแบทแมนของเบลจะเด่นเป็นตำนานไปอีกนาน แต่สิ่งที่ผมคิดถูกมาตั่งแต่เเรก คือ ทำไมเลือก กอดอน เลวิต มาแสดง และทำให้ผมอมยิ้มมาตั่งแต่เป็น ตัวละครคนนี้กำพร้า ไฟแรง คนดี ชื่ออเมริกันฟุตบอลทีม ก๊อทแท่ม รู๊ค เเล้วบทสนทนาที่แบทแมนบอกเค้าว่า คุณต้องมีหน้ากาก เพื่อปกป้องคนที่คุณรัก การลาออกจากการเป็นตำรวจ และตอนบอกชื่อพนักงานในตอนรับของทุกอย่างก้เฉลยเล่นเอาผมยิ้มไม่หุบเลย เป็นอะไรไปดูเอานะครับ ภาคจบ เรื่องเล่นกับอารมณ์ทำได้สุดๆครับ ดราม่า มันส์ สะทือนใจ เศร้า หึกเหิม อิ่มเอมใจ ได้อารมณ์ผงาดสมชื่อเรื่อง เเละสิ่งที่ยังไม่ออกไปจากหัวความรู้สึกตอนนี้คือ ดนตรีประกอบที่ทำได้อย่างทรงพลังทำให้ทุกฉากเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ สรุปได้ว่า การเป็นฮีโร่ ไม่ใช่แค่เครื่องมือไฮเทค สู้เก่ง เเข็งเเรง บ้าบิ่น ฉลาด เจ้าเสน่ย์ เป็นนักวางแผน เปี่ยมอุดมการ แต่เป็นที่ใจ ใจที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของความดีพร้อมอุทิศและเสียสละจริงๆ ตัวละครที่กลับมาผงาดไม่ใช่เเบทเเมน เเต่เป็น บรูซ เวย์น

  20. ผมคิดโนแลนจะทำได้ดีกว่านี้เยอะครับ ถ้าภาคจบแยกออกเป็นสองภาค เพื่อเก็บลายระเอียดเล็กๆน้อยๆ เช่นตอนเมืองถูกเปิดบรูชเข้าได้ไงเป็นต้น หรือยืดเวลาดำเนินเรื่องบางตอนให้ช้าลงกว่านี้ จะยาวสามชั่วโมงก็ได้ครับ ยินดีดูถ้ามันทำให้หนังดูอินมากขึ้น

  21. หนังยังคงอยอดเยี่ยมคะ ถ้าปีนี้ยังมีหนังไม่น่าสนใจคงได้เข้าชิงออสการ์ได้ไม่ยากเลย การแสดง ดนตรี การกำกับสอบผ่านแม้จะยังไม่ลงตัวเท่าภาคที่สอง แต่หนังทำได้ทุกทางไม่ว่าจะเป็นแอ็กชั่น ดราม่า หรือมุขตลกเล็กๆน้อยๆ
    น่าสงสารเบนจริงๆ ถ้าเขามาก่อน โจ๊กเกอร์คงจะทำให้ตัวละครตัวนี้ดูดีขึ้นจริงๆ
    เอาเป็นว่าให้ 9 เต็ม 10
    มันเป็นหนังปิดไตรภาคที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง ใครคิดจะมาทำภาคต่อไป เตรียมรับความหวังอันหนักอึ้งของคนดูได้เลย

  22. ผมว่าผมชอบการแสดงของ ปู่อัลเฟรดมากที่สุด….
    คนอื่น มันอยู่ในความคาดหวังอยู่แล้ว….ภาคต่อไป คงเป็น กำเนิดโรบินล่ะมั๊งง
    ผมก็ตะหงิดๆอยู่ละ ว่า ป๋าโจ คงเป็นโรบิน..เพราะรู้มากเหลือเกิน…55+

  23. “สุดยอด! ” “Best!” ในสำหรับตัวผม ซึ่งชื่นชอบใน”ตังละครแบทแมน”อยู่ก่อนแล้ว เพิ่งดูจบ และสมกับที่ตั้งตารอมานาน มีหลายฉากที่ทำเอาขนลุก น้ำตาจะคลอ(แต่ยังไม่ออก) ปิดฉากฮีโร่รัตติกาลได้ยิ่งใหญ่(ในฉบับโนแลน)

  24. หนังทรงพลังและได้ซาวด์ที่เยี่ยมมากมาสนับสนุนครับ(ผมชอบซาวนด์มากกว่าตัวหนังอีก) ดูแล้วนึกถึงหนังพวก epic สเกลใหญ่ๆ มีสไตล์ของตัวเอง(และคงทำให้หนังฮีโรหันกลับมาแนวดาร์คๆจริงจังแบบนี้เพิ่มขึ้นแน่ๆ) 9/10 ครับ

  25. เดาง่ายเกินไปครับ สำหรับแฟนการ์ตูน เรียกว่าไม่มีพลิกความคาดหมายกันเลย
    production นั้นสุดยอดอยู่แล้ว เรียกว่าเต็มอิ่มตลอดเวลาที่ชมเลยทีเดียว

    ชอบฉากเต้นรำหน้ากากมาก

  26. ชอบมากคับกับบทสรุป แต่กับตัวหนังสำหรับผมมันไม่สุดอ่ะครึ่งๆกลางๆไงไม่รู้ตามความรู้สึก

    ดนตรีประกอบสุดยอด เห็นด้วยว่าเบน น่ามาก่อนโจ๊คเกอร์ัคับคงจะดีกว่านี้มาก

    ผมว่าภาคนี้เน้นความเป็นตัวแบทแมนน้อยลงนะเน้นไปที่ตัวของบรูซมากกว่า

    ยังไงก็ชอบอยู่ดีครับโดนเฉพาะตอนจบ ให้ 9/10 เพราะตอนจบเลยคับ ^^

  27. ผมเข้าไปด้วยความคาดหวังว่าเรื่องนี้จะเพอร์เฟคคับ แต่ดูจบแล้วไม่เป็นอย่างนั้น ในฐานะแฟนโนแลน รู้สึกว่าต่ำกว่ามาตรฐานเฮียแกครับ ลงไประดับ insomnia เลยทีเดียว อาจจะเพราะข่าวลือเรื่องทาเลีย หรือโรบิ้นหลุดมาก่อนหน้านี้มั้งคับ เลยรู้สึกไม่สนุกเท่าที่ควร แต่ถ้ามองในฐานะหนังปิดไตรภาคทุกอย่างมันเป็นบทสรุปที่คู่ควรแล้ว

  28. ผมอาจเป็นส่วนน้อยที่ค่อนข้างชอบภาคThe Dark Knight Rises (3) นี้มากกว่า The Dark Knight (2) เพราะ The Dark Knight Rises ตอบองค์ความเป็นแบทแมนตามแบบฉบับที่ผมรู้จักได้มากกว่าได้มากกว่า

    ในเรื่องของภาคนี้ด้วยเรื่องของการเอาฉบับคอมมิคมายำกัน 3 ตอน คือ Knight Fall + Dark Knight Return + No Man’s Land ทำให้คนที่อ่านคอมมิคมาก่อน และมีพื้นฐานว่า ใคร เป็นอะไร ที่ไหน อย่างไร จากคอมมิคแบทแมน จะเดาเรื่องได้ค่อนข้างง่าย (เรื่องหักมุมตอนจบนี่รู้ก่อนเลย) โดยการเอาเรื่องมารวม 3 เรื่อง ทำให้เนื้อหาค่อนข้างแน่น และมีจุดค่อนข้างหลวมบ้าง โดยเฉพาะตัวร้ายที่ดูไม่ค่อยมีแรงจูงใจให้มาถล่ม ก็อธแทม มากเท่ากับภาคอื่นๆ และการดัดแปลงจาก No Man’s Land ที่ค่อนข้างยากและรู้สึกว่าไม่ค่อยจะเข้ากับสไตล์ของ โนแลนส์ จึงกลายเป็นความแปลกๆ ในบทที่จะไม่ดีเทียบเท่ากับ The Dark Knight ที่เรื่องราวหักเหลี่ยมเฉือนคมกันได้สนุก เพราะได้ศัตรูอันดับ 1 ของแบทแมน (และของ DC) มาขับเคี่ยวได้อย่างสมศักดิ์ศรี และมีการเล่าเรื่องหักมุม เล่นกับจิตวิทยาของคนดู และของเวนย์ได้มีแรงปะทะกว่า

    ใน The Dark Knight เรื่องบทได้ดีกว่าก็จริง แต่ที่ผมกึ่งชอบ กึ่งไม่ชอบก็เพราะการเสพทั้งคอมมิค และอนิเมท แบทแมนมาพอสมควร เลยรู้สึกว่านี่ไม่ใช่แบทแมน ความเป็นคาแรกเตอร์มันหาย ซึ่งผมเป็นคนชอบเสพเรื่องคาแรกเตอร์ ซะด้วยสิ (The Dark Knight แบทแมน เหมือน พันนิชเชอร์ มากกว่า) จริงๆ ก็เพราะเรื่อง โฟกัส ที่ โจกเกอร์ และ ฮาร์วี่เดนท์ ด้วยหละ

    สำหรับ The Dark Knight Rises โนแลนส์ กลับมาให้ความสำคัญกับแบทแมน โฟกัสความเป็นคาแรกเตอร์แบทแมนกลับมา เป็นแบทแมนที่ผมรู้จักอีกครั้ง ดูแล้วอินไปกับบทแบทแมน จนรู้สึกว่า สำหรับแบทแมนของโนแลนส์ มีแค่ 2 ภาคคือ Batman Begin กับ The Dark Knight Rises ซึ่งในหนัง โนแลนใช้โทนส้ม เป็นโทนของเรื่อง และเรื่องจริงๆ ก็มีเรื่องราวต่อกัน

    ส่วน The Dark Knight เปรียบเสมือนเรื่องของโจ๊กเกอร์มากกว่า ซึ่งในหนังใช้โทนหนังเป็นสีฟ้า อารมณ์กลายเป็นเหมือนภาคแยกออกมา

    ดาราที่โดดเด่นก็คงต้องยกให้ โจเซฟ กอร์ดอน ลิวอิส เช่นเคย ทั้งที่บอกตรงๆ ว่าหน้าแกจืดๆ แต่ออกมาทีไรก็ขโมยซีนชาวบ้านได้ตลอด และแกรี่ โอลแมน ก็ยังเล่นได้เด็ดขาดกลายเป็นพระเอกที่สองเช่นเคย คริสเตียน เบล ก็แสดงบทโทรมๆ ได้เก่งเหมือนหลายเรื่องที่ผ่านมา (ดูแกจะเหมาะกับบทโทรมๆ จริงๆแฮะ) แต่เบน ของ ทอม ฮาร์ดี้ กลับไม่ทรงพลัง และมีความน่ากลัวเท่าไหร่ และแม่สาวแคทวู่เม่น ของแอน แฮทอะเวย์ นอกจากสวยเด้งก็ไม่มีอะไรน่าจดจำเท่าแคทวู่เม่นของ มิเซล ไฟฟ์เฟอร์ (แต่ตอนขี่แบทพอด …ก็น่าจดจำอยู่ เฮอๆ) สุดท้ายที่ มารียง กอตียาร์ นี่ซิ แต่ก่อนยอมรับว่าไม่ค่อยสนใจเจ๊แกเท่าไหร่นักแต่เรื่องนี้เล่นได้ขโมยซีนทุกฉาก

    หนังโดยรวมสนุกมากๆ เช่นเคยครับ ช่วงต้นกับกลาง นี่พลังเยอะมากๆ มาเบาๆ ลงตอนจบที่สรุปปิดไตรภาคแบบยังไม่สะใจเท่าที่คิด แต่ก็ลงตัวดีจริงๆ มันจบแบบว่า… อืม …จะทำต่อแบบไม่รีบูทก็มีทางไป แต่ ผกก. ใดจะกล้ามาทำต่อจาก โนแลนส์ นะ

    สรุป
    The Dark Knight Rises (3) ถ้าเป็นกลางผมให้ 8.5 แต่ถ้าในฐานะแฟนคอมมิคแบทแมน ให้เพิ่มเป็น 9.0 ครับ
    ส่วน
    The Dark Knight (2) ถ้าเป็นกลางผมให้ 9.5 แต่ถ้าในฐานะแฟนคอมมิคแบทแมน ให้ลดเป็น 8.5 ครับ
    ส่วนภาคที่ชอบสุดยังเป็น Batman Return ของ ทิม เบอร์ตัน อยู่เหมือนเคย (ก็ผมชอบเสพ คาแรกเตอร์)

  29. ผมมองว่าแกเขียนบทเพื่อเอาใจแฟนคอมมิคด้วยนะภาคนี้ จึงทำให้ความเป็นหนังของโนแลนลดลงไปเมื่อเทียบกับเรื่องอื่น ที่แกเขียนเพื่อตัวแกเอง แนวความคิดแกเอง และจากสองภาคแรกมีความเป็นคอมมิคน้อยมาก อาจจะมีแฟนคลับคอมมิคของแบทแมนอยากให้มีบทของคอมมิคใส่ลงไปบ้าง ส่วนที่ชอบที่สุดคือ บทสรุปของหนังครับ ทุกสิ่งกลับคืนสู่ปกติ มีวายร้ายประปราย ตำรวจทำหน้าที่ของตัวเอง อัลเฟรดสมหวังเรื่องที่อยากให้บรูซเลิกเป็นแบทแมนและมีครอบครัว เมืองที่ยังต้องการฮีโร่ ซึ่งก็มีเบลคหรืออาจจะเป็นโรบินคอยสานต่อ จบแบบ Happy Ending ถ้ามองแบบหนังฮีโร่ที่ไม่ได้เปรียบเทียบกับภาคก่อน ซึ่งก็ถือว่าดีกว่าหนังฮีโร่ทางด้านมาเวลแทบทุกเรื่องหรือทุกเรื่องเลยก็ว่าได้ คะแนน 9.5 ครับ

  30. ผมติดตามเวปนี้มานานหลายปีแล้วคับและผมก็ไม่ใช่นักวิจารอาชีพซะด้วย

    เรื่อง The Dark Knight Rises ภาคจบนี้ ผมถือว่าสมบูรณืแบบมากๆ ผมให้คะแนน 9.5/10

    ผู้กำกับเก่งมากๆครับ และทีมดีไซน์และทีมนักแสดง 10/10

    รายละเอียดไม่ขอระบุนะคับเพราะผมคิดเหมือนกับ comment บนๆที่ผ่านมานะคับ

    p.s เบรค=โรบิน (เยี่ยมมากคับ) แอบแว๊ปในใจว่า เบรคคือโจกเกอร์แหกคุกรึป่าว หน้าคล้ายๆ ฮีธ เลจเจอร์

  31. ถ้ามี 4 ชั่วโมงจริงน่าจะดี เพราะคงดึงอารมณ์ คนดูได้ดีกว่า เพราะภาคนี้ผมก็รู้สึกว่า หนังต้องตัดออกเยอะพอสมควร อยากดูเวอร์ชั่นเต็มแบบไม่ตัดจัง^^

  32. การจะก้าวขึ้นเป็นแชมป์ ว่ายากแล้ว การรักษาแชมป์ยิ่งยากกว่า ยังคงเป็นความจริงเสมอ

    อย่างที่คุณเจไดยุทธและหลายๆท่านบอก ว่า “โนแลนสร้างมาตรฐานเอาไว้สูง (ปรี๊ดดดสสส)” จนทำให้คนดูคาดหวังกับ The Dark Knight Rises ว่าจะต้อง “ดีเลิศ” เหมือนที่โนแลนเคยแสดงให้เห็นเสมอ (โนแลนอาจจะกำลังคิดอยู่ก็ได้ว่า ภาคที่แล้วตรูไม่น่าทำออกมาดีขนาดน้านนนเล้ยยยย ๕๕+)

    ยอมรับนะครับว่า แบทแมนภาคนี้ ดร็อปลงจากภาคที่แล้วจริงๆ อย่างแรกที่เห็นได้ชัดก็เหมือนที่ทุกคนรู้สึกคือ “ตัวร้าย” แต่ก็น่าเห็นใจโนแลนนะครับ ก็ในเมื่อเราให้โจ๊กเกอร์เป็น “สุดยอดตัวร้าย” ไปแล้ว ตัวร้ายอื่นๆจะสุดยอดน้อยกว่าก็ไม่น่าจะแปลกนี่ครับ!?
    อย่างที่สองสำหรับผม ก็คือ “ความเป็นไปได้” ในหนัง เพราะในขณะที่โนแลนเคยประสบความสำเร็จมาเสมอ ในการที่จะทำให้เรื่องโม้ๆดู “เหลือเชื่อ” หรือ “ไม่น่าเป็นไปได้” กลับดู “เป็นจริง” ได้มาตลอด คือเราจะไม่เกิด “คำถามคาใจ” ประเภท “มันทำได้ยังไง?” แต่มักจะเป็นการตั้งคำถามเดียวกันแต่ด้วยความตื่นใจซะมากกว่าว่า “โอ้ววว!! คนทำคิดได้ยังไง!?!” ซึ่งในภาคนี้ ตรงนี้แทบไม่มีเลย อารมณ์ประเภทหักมุม เฉลยปมตอนท้าย ภาคนี้แม้ยังมีอยู่ แต่ก็ดูน้อยและด้อยลงไปจริงๆ
    แต่กับประเด็นความลุ่มลึกเชิงปรัชญาวิเคราะห์วิพากษ์มนุษย์-สังคมนี่ ถ้า The Dark Knight Rises ยังไม่ลึกพอ ผมก็ไม่เห็นหนังเรื่องไหนจะลึกแล้วล่ะครับ ไม่ว่าจะมองในฐานะว่านี่เป็นหนังเรื่องหนึ่ง สมมติว่าเราจัดให้เป็นหนังแอ็คชั่น-ดราม่าซักเรื่องก็ได้ แล้วยิ่งกับการเป็น “หนังซูเปอร์ฮีโร่ที่สร้างจากหนังสือการ์ตูน” ด้วยแล้ว ผมว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้เบาหวิวจนสัมผัสอะไรไม่ได้แน่นอน (แต่ถ้าบอกว่าไม่ลึกเท่าเรื่องที่แล้วก็อีกประเด็นหนึ่งนะครับ)

    ดังนั้นการที่จะบอกว่าโนแลนฟอร์มตก “ไปเยอะ” ก็ออกจะดูเป็นการโหดร้ายกะแกเกินไปนะครับ เพราะจริงๆแล้วผมว่าโนแลนแค่ฟอร์มตก “ไปบ้าง” เท่านั้นเอง ไม่ได้ถึงกับเลวร้ายอะไร …ก็แหม… แชมป์ทุกคนก็ต้องมีวันฟอร์มตก ฟอร์มแผ่วกันบ้างนะครับ

    ด้วยผลงานที่ออกมาระดับนี้ ลองสมมติว่า ถ้านี่เปน “หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องแรกของโนแลน” ผมว่า The Dark Knight Rises จะต้องโดนจับรอ “ขึ้นหิ้ง” เหมือนตอน Begins อย่างแน่นอน

    เพราะอารมณ์ความรู้สึกแบบ เท่ มันส์ สนุก ซาบซึ้ง ลุ้นระทึก มีสาระ ใน The Dark Knight Rises ยังมีอยู่อย่างครบถ้วน แค่สู้ภาคที่แล้วที่แกทำไว้ “ดีเกินไป” ไม่ได้เท่านั้นเอง ยิ่งช่วงเข้าสู่ “ภารกิจสุดท้ายของแบทแมน” นี่ ผมว่าโนแลนยัง “เอาอยู่” นะครับ มันทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็น Grand Finale มากๆๆๆ ดูจบแล้วก็ยังรู้สึกว่า อยากให้โนแลนกลับมาทำต่อ อยากดูแบทแมนฝีมือของแกภาคต่อๆไปอยู่ดี

    สรุปแล้ว สำหรับผม ไม่ว่าจะมองว่านี่เป็นหนังเดี่ยวๆซักเรื่อง ไม่อิงกับซีรี่ส์ใดๆ หรือจะมองว่ามันเป็นตอนหนึ่งในซีรี่ส์ “แบทแมนของโนแลน” ผมก็ให้ผ่าน (ในระดับ A) แต่ถ้ายิ่งมองในมุมที่ว่า นี่เป็น “หนังปิดท้ายไตรภาค” นี่ ผมว่านี่เป็น “ความสมบูรณ์แบบมากๆ” ทั้งในการเป็น “ภาคสุดท้าย” และทั้งต่อ “หนังทั้งไตรภาค” ด้วย^^

  33. สำหรับผมแล้ว The Dark Knight Rises ทำได้ดี ไม่ถึงกับผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้อีพิคอย่างที่คิดไว้ โดยเฉพาะที่ได้อ่านข่าวว่านักวิจารณ์กล่าวเรื่องยืนขึ้นปรบมือให้หลังหนังจบ ส่วนตัวหลังดูจบรู้สึกว่าเหมือนเป็นการประโคมข่าว เป็นการโฆษณามากกว่า –”
    ตัวหนังใช้เวลาในการบิ้วท์อารมณ์นานมาก เห็นหลายๆคนบอกว่าหนังรวบรัดเกินไป แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันยืดเกินไป คิดว่าคงเป็นผลกระทบจาก The avengers ที่ หนังดูไปอย่างรวดเร็วมาก แต่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมได้ดีกว่า สำหรับThe Dark Knight Rises นี้ ก็ยังสู้ภาคก่อนไม่ได้ ในส่วนเนื้อเรื่อง แต่สามารถทำหน้าที่เป็นบทสรุปที่ดีได้ มีฉากที่ซาบซึ้งหลายฉาก โดยเฉพาะ บรูซ กับ อัลเฟรด ส่วนตัวร้าย เบน ก็ไม่ได้ร้ายเท่าที่ควร หลังจากหมดครึ่งแรกไป (ตอนแรกออกตัวแรงมาก แล้วแผ่วลงฮวบเลย) ผมเสียดายกับฉากที่แบทแมนสู้กับเบนตอนท้าย อยากให้ดูยิ่งใหญ่กว่านี้ (รู้สึกว่าตอนสู้รอบแรกยังดีกว่า) เพราะการต่อสู้นั้นดิบดีแล้ว แต่ฉากยังไม่ส่งผลเท่าที่ควร และช่วงท้ายหลังจากหักมุม(สตั้นท์ไป๕ วิ) จนหนังจบ ผมว่าเนื้อเรื่องมันเดาได้ง่ายเกินไป ทำให้ไม่ได้มีอารมณ์ลุ้นเท่าที่ควร ถึงแม้The Dark Knight Rises จะทำได้ไม่เท่าที่คิดไว้ แต่ก็ถือเป็นหนังฮีโร่ที่ดีมากเรื่องหนึ่ง (ก็ทำให้ผมชอบแบทแมนมากขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่า โจ๊คเกอร์ ๕๕๕)….

    ————–ข้อความจากนี้ไป(อาจ)มีสปอยล์ ครับ————-

    ตั้งแต่หนังเริ่ม สำหรับผม รู้สึกได้ถึงพลังของ นางแมวป่าว แล้วหลงรักตัวละครนี้มากขึ้น (ชอบมากกว่านางแมวป่าภาค batman return เพราะจำไม่ได้แล้ว ๕๕) แล้วลุ้นอวยให้คู่ batman catwoman ตลอดทั้งเรื่อง
    แม้ว่าจะมีอุปสรรคที่ บรูซ เริ่มมีใจให้ มิแรนด้า ก็ตาม

    สรุป ผมให้คะแนน The Dark Knight Rises 8.5/10 (เทียบกับ The Averngers ที่ได้ 10/10)
    แต่บวกคะแนนพิศวาส batman x catwoman ให้เป็น 10/10 ครับ อิอิ

  34. ชอบภาคนี้ครับ ส่วนตัวคิดว่าไม่ได้มือตกอะไรมาก โนแลน ทำได้ตามจุดประสงค์ ภาคนี้คือภาคปิดจบ รวม 3 ภาคคือความสมบูรณ์ ขาดอะไรไปก็ไม่ใช่ ส่วนตัว 9.5/10 ครับ หัก เรื่องความต่อเนื่องไป รู้สึกหนังตัดต่อออกมาแปลกๆไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร รอฉบับเต็มมาเก็บเข้าคอลเลคขันหนังขึ้นหิ้ง

  35. ข้องใจกับฉากที่batmanดวลกับเหล่าร้ายที่ถือปืนอะครับ
    -ตั้งแต่ภาคก่อนแล้วที่เหล่าร้ายที่ถือปืนแต่ไม่มีใครได้ยิงbatmanเลย แม้แต่เหนี่ยวไกยังมีโอกาสน้อยเลย
    มันทำให้ตะหงิดใจยังไงไม่รู้สิ

    สปอยนะครับ

    ฉากที่แบทแมนมาช่วยตำรวจเบลคอะครับ พวกผู้ร้ายที่อยู่รอบๆไม่เห็นจะได้ยิงเลย กลับกันเป็นแบทแมนที่จัดปืนแล้วยิงใส่ขา เท้าพวกผู้ร้ายซะมากกว่า

    • เห็นเหมือนกันครับ ส่วนตัวคิดว่าเพราะพี่แบทอยู่กลางวง เลยไม่กล้ายิง กลัวโดนพวกเดียวกัน

    • ตั้งแต่ภาคก่อนแล้ว ตอนต้น The Dark Knight ที่พวกแก็งไม่มีใครได้ยิงแบทแมนเลย มีแต่หมาที่กัดแขนเท่านั้นเอง

    • เพราะแบทแมนฝึกวิทยายุทธ์ ที่ราช อังกุลน่ะ (จำชื่อวิชาหรือสถานที่ไม่ได้–“) ทำให้มีความไวกว่าคนอื่น
      แล้วก็น่าจะเป็นอย่างที่คุณ lordsaint กล่าวมาครับ

  36. ด่วน>>>ล่าสุดค่ายโรงหนังยักษ์ใหญ่ในสหรัฐสั่งปลดป้ายโฆษณา The Dark Knight Rises แล้วครับ สาเหตุเพราะมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นในโรงหนัง ซึงฆาตกรเลียนแบบตัวร้ายใน The Dark Knight Rises เป็นข่าวช็อคต่อคนอเมริกันในขณะนี้ครับ !

    • กำ….
      โดยส่วนตัวผมว่าเขาไม่น่าเลียนแบบนะ เพราะหนังก็ส่วนของหนัง แต่ข่าวเรื่องยิงกราดที่อเมริกา เห็นมีอยู่บ่อยๆ (มากกว่าที่อื่น) ไม่รู้สิ รู้สึกแย่น่ะครับ

    • ช็อคเลยครับ…เห็นข่าวคนเสียชีวิตตั้ง 14 คน บาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก ขอไว้อาลัยและแสดงความเสียใจกับญาติพี่น้องผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วย…คนโรคจิตชอบใช้ความรุนแรงเดี๋ยวนี้มีเยอะจริงๆ

  37. ปัญหาของภาคนี้มีสองอย่างคือ ความคาดหวังจากภาคก่อน และโจ๊กเกอร์

    เราก็ต้องยอมรับจริงๆว่าภาคไหนมีโจ๊กเกอร์ ภาคนั้นก็อลังขึ้นมาทันที เพราะเป็นตัวละครที่ฉูดฉาดมาก มีอะไรให้เล่นเพียบแบบสบายๆ (คือปล่อยให้โจ๊กเกอร์เล่นไป)

    ผมว่าภาคสองเป็นภาคที่แบทแมนแทบไม่ได้มีบทบาทอะไรเลยด้วยซ้ำนะ บางมาก มีก็ช่วงจบน่ะ

    โนแลนก็เข้าใจ แทนที่จะหนีหรือทำให้มันยิ่งกว่าภาคเก่า ผมว่าแกให้เมันป็นไปตามทางของมันมากกว่า เหมือนปลูกต้นไม้ต้นนี้ดีกว่าต้นนู้นไม่ได้ คนก็ชอบต้นนั้นมากกว่า แต่แกก็ปลูกของแกให้ดีตามทางของมัน

    • ใช่ครับ…ผมเห็นด้วยนะครับ
      ผมมองว่าการเล่าเรื่องภาคนี้ทุกอย่างย่อมมีเหตุผลของมันอยู่ในตัว
      เช่น ผมอาจมองว่าสาเหตุที่ทำไมหนังตัดต่อไว เป็นเพราะเนื้อเรื่องและบทบาทของเบนที่คุกคามชาวเมือง
      ยิ่งไม่มีเวลาด้วยแล้ว ตัวละครทุกตัวก็เลยรีบเดินเครื่องไปตามแต่ละบทบาท..ก่อนที่จะเกิดเหตุระเบิดในหนังขึ้น
      หรืออย่างทำไมหนังภาคนี้หลายคนมองว่าทำไมมันไม่สุดๆ ไปเลยล่ะ ?
      ก็เพราะผมมองว่าโนแลนทำหนังตามสไตล์ของเค้าเองอยู่แล้วน่ะครับ
      เพียงแต่ว่ามันอาจไม่ถูกใจใครหลายๆฝ่ายให้ดีแบบสุดๆได้หรอกครับ
      ที่จะบอกว่าหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้มาตรต้องดียังงู้นอย่างงี้
      อยากจะบอกว่าทุกๆ อย่างมันย่อมดีและไม่ดีกันทั้งนั้นครับ
      อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ เช่นเมื่อก่อนมาตรฐานดีมาก แต่เดี๋ยวนี้มาตรฐานอาจจะดูตกไป
      มันก็เหมือนกับนักฟุตบอลหรอกครับ ไม่มีใครที่เก่งได้ตลอดหรอก มันย่อมมีขึ้นๆ ลงๆ อยู่เสมอๆ
      ผมว่าหลายๆท่านที่ใส่ความเห็นเข้ามา…คาดหวังไว้สูงไปหน่อยนะครับ

  38. [spoil]ผมให้ 9.4/10 ครับสำหรับภาคนี้ แต่ภาค Rise สู้ภาค The Dark Knight ไม่ได้เลยครับจริงๆ ผมว่าเนื้อเรื่องบางช่วงยังบอกอะไรไม่ชัดเจนมากนัก เนื้อเรื่องยังคงสนุกครับ เป็นภาคจบที่สมบูรณ์ และหวังว่าจะทำ เรื่อง โรบินต่อ ฮ่าฮ่า
    จริงๆตอนจบ อยากให้ บรู๊ซ เวน ตายจริงๆครับ มันดูรู้สึกถึงความเสียสละจริงๆ

  39. * เปิดเผยส่วนรายละเอียดสำคัญ ควรหลีกเลี่ยงหากยังไม่ได้รับชม *

    ผมขอสรุปตามความคิดของตนเองจากการชมในรอบแรกนี้ถึงฉากจบ หรือช่วงใกล้จบถึงการเสียสละตนเองของ แบทแมน ความครุมเครือที่เราคิดว่าเขา อาจ ตายไปแล้วใช่หรือไม่ ในหนังภาคนี้ นอกจากจะมีการนึกย้อนกลับไปในเหตุการณ์อดีตของแต่ละตัวละครแล้ว (ยกเว้น เซเลน่า ไคต์) ภาพที่อัลเฟรดเห็น ในฉากสุดท้ายที่ บรูซ เวยน์นั่งอยู่ในร้าน ที่เขาเคยเล่าให้กับบรูซ ฟังถึงความหวังของเขาจริงๆที่เขาไม่ได้ต้องการให้บรูซ ต้องกลับมาเจอกับเรื่องราวเจ็บปวดในใจ เหมือนเช่นในช่วงเวลาที่บรูซหนีออกจากก๊อทแธม ในภาคแรก เขาปรารถนาให้บรูซ มีความสุขในชีวิต มากกว่าจะกลับมาพบกับความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับคนที่บรูซรัก ซึ่งเขาก็ยิ่งสูญเสีย ทั้งเรเชล ทั้งความหวังที่เขามอบให้ ฮาร์วี่ เด้นท์ จนเขาต้องแบกรับเรื่องราวความผิดบาปทั้งหมดเอาไว้คนเดียว แล้วเลิกที่จะกลับไปสวมชุดแบทแมน ขังตัวเองเอาไว้ในคฤหาสถ์ เขาอาจจะเฝ้ารอความตาย เพื่อให้พ้นทุกข์จากการเก็บกดความหวังเอาไว้ เขาบอกอัลเฟรดว่า โลกไม่ต้องการแบทแมนอีกต่อไปแล้ว และนั่น ก็เริ่มสร้างรอยร้าวระหว่างทั้งคู่ขึ้น ซึ่งจริงๆมันก็สะสมมาตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้ว แต่อัลเฟรดก็เลือก ที่จะอดทน อดกลั้นไว้ และการแสดงของ ไมเคิล เคน ในภาคนี้ ถือว่ามีมากขึ้นและมีน้ำหนักขึ้นอย่างมาก เมื่อเขาเผยความในใจของตนเองออกมา จนทำให้ต้องแยกทางกับบรูซ ซึ่งเปรียบเสมือน ลูก ของเขา เรารักบรูซมาก และเขาทนไม่ได้ที่จะเห็นบรูซ พยายามเหมือนจะทำลายตนเอง หรือออกไปตายในการเป็นแบทแมน จนถึงกับเปิดเผยความลับในจดหมายที่บรูซไม่เคยรู้ ที่เรเซลเขียนเอาไว้ เพียงเพื่อฉุดรั้ง หรือให้บรูซได้ยั้งคิด ถึงสิ่งที่เขาได้กระทำอยู่ในขณะนี้ ว่ามันเพื่อสิ่งใด (แม้แต่ เซเลน่า ไคต์ยังนึกสงสัยเลยว่า มันจำเป็นขนาดนั้นเลยหรอกับการทุ่มเทของเขา ให้กับเหล่าผู้คน และเมืองๆนี้)

    ก๊อทแธม มีความหมายและเป็นสัญลักษณ์ที่พ่อและแม่ของเขา ได้สร้างและปกป้องมันเอาไว้ ทั้งยังทำให้เมืองรอดจากการโจมตี จาก ราซ อัลกูลมาได้ในช่วงที่เขายังเยาว์ด้วยการบูรณะและช่วยเหลือเมืองนี้ โดยการก่อตั้งมูลนิธิ องค์ช่วยเหลือ งานการกุศลต่างๆทีีทำในนานของบริษัทเวยน์ เ็อ็นเตอร์ไฟร์ และสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และ เบลค ก็เติบโตขึ้นมายังสถานที่นี้ และเขาเชิญชูครอบครัวเวยน์ว่านี่คือฮีโร่ที่ช่วยเหลือพวกเรา การกระทำของ บรูซ ในฐานะแบทแมน จึงเหมือนการสละชีพ เพื่อยับยั้งทุกภัยร้ายที่เกินกว่ากรอบของกฏหมายจะมีผล และเมื่อเขารับรู้ถึงภัยร้ายที่คุกคามเมืองครั้งนี้ สามารถคร่าชีวิตคนในเมืองได้ในพริบตาและไม่มีใครจะสามารถหยุดยั้งมันได้ แถมเขายังโดนทั้งผู้ร้ายที่แข็งแกร่งและแน่วแน่อย่างเบนเป็นคู่ต่อกร เขาเตรียมการมาอย่างดี ทั้งแผนที่ซ่อนเงื่อน ทั้งผู้หวังจะครอบครองบริษัทของครอบครัวเขา และศัตรูที่ปิดบังสถานะที่แท้จริง ที่แทรกซึมเข้ามา … ในชีวิต ในหัวใจของเขา นี่เป็นศึกใหญ่ ที่เขาไม่มีวันทำสำเร็จ จนต้องออกปาก ขอการช่วยเหลือจาก เซเลน่า (อันที่จริง เราทุกคนเรียกเธอว่า แคทวูแมน แต่อยากจะบอกว่า จริงๆแล้ว ในเรื่อง ไม่มีใครเรียกเธอแบบนั้นเลย จะมีก็แต่บรูซเรียก ซึ่ง ก็ไม่ใช่ แคทวูแมนเช่นกัน เลยขอเรียก เซเลน่า ไคต์ น่าจะเป็นการดีที่สุด) เขาเลือกที่จะเชื่อมั่นในผู้อื่นอีกครั้ง และความจริง เขาก็ยังคงเชื่อมั่นในอัลเฟรด แต่เขาก็รักอัลเฟรดมาก จนอยากให้เขาอยู่ห่างๆจากเรื่องนี้ อย่างปลอดภัย เราจึงเห็นว่า อัลเฟรดร้องไห้เสียใจมากแค่ไหนที่เขาไม่สามารถทำได้อย่างที่เคยรับปากหรือตั้งใจไว้ เพราะเขารักคนในตระกูลเวยน์มาก และแม้เขาจะเตือนบรูซแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถ

    ฉากที่บรูซขี่ เดอะ แบท หิ้วระเบิดไปทิ้งยังโพ้นทะเล อาจมีการถกเถียงกันว่า แท้จริงแล้วบรูซ สมควรจะรอดหรือไม่ ผมอาจสรุปได้ว่า เราจะเห็นว่า ระบบของยานได้เปลี่ยนเป็นแบบ ขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ ซึ่งตามที่เราทราบ ลูเซียส ฟ๊อก ได้บอกมาเสมอว่า มันไม่สามารถทำได้ แต่มันถูกปรับแต่งและแก้ไขแล้ว โดยฝีมือของบรูซ เวยน์ ทรัพย์สินและคฤหาถส์ของเขาในส่วนหนึ่งถูกนำเข้าไว้เป็นของอัลเฟรด และบางส่วนก็เข้ากองทุนสนับสนุนสำหรับยามมีเหตุการณ์ภัยพิบัติหรืออุปภัมส์เด็ก อย่างที่เบลคเคยเข้าไปคุยกับบรูซ ถึงเรื่องการตัดทุนสนับสนุนของเขาต่อสถานรับดูแลเด็กกำพร้า เหตุการณ์มันถูกวางแผนเอาไว้ สำหรับการวางมืออย่างถาวร แม้แต่กับ จิม กอร์ดอน บรูซก็พูดเป็นนัยถึงตัวตนที่แท้จริงใต้หน้ากากนั้น ว่าแท้จริงแล้ว เขาเป็นใคร และจิม กับ บรูซมีเหตุการณ์เชื่อมโยงกันหรือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเชื่อมั่นและร่วมมือกับกอร์ดอนมาตลอดตั้งแต่ภาคแรก นั่นคือคนที่เขาไว้ใจที่สุดอีกคนหนึ่ง อนุสรณ์ที่ถูกสร้างมา ผู้พิทักษ์ที่ปกป้องเมืองนี้ กอร์ดอนเรียกมันว่า แบทแมน อันที่จริวเขาสามารถ บอกกับทุกคนได้ว่า แบทแมนคือ บรูซ เวยน์ แต่เขาเรียกที่จะทำตามเจตุจำนงค์ของบรูซ ที่อยากให้สิ่งที่เขาทำ หรือตัวตนใต้หน้ากากนี้ เป็นสัญลักษณ์ มากกว่า ภาพลักษณ์ที่ว่าเขาเป็นใคร เหตุในการปิดปังของกอร์ดอนนี้ จึงเห็นสมควรตามกระแสของเนื้อหาของเรื่องราว

  40. น่าจะขยี้กับอัลเฟรดตอนท้ายๆมากกว่านี้หน่อย ตอนดูฟอเรส กัมป์ ฉากทำนองเดียวกันนี่ผมนำ้ตาร่วงเลย

  41. สำหรับผมให้ 9/10

    – การเขียนบทกระจายบทได้ดี ทั้ง กอร์ดอน เซเลน่าไคล์(ในหนังไม่เคยเรียกว่าแคทวูแมนเลยนะครับ) เจ้าหน้าที่เบลค(ที่ตอนหลังเป็นคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ผมฟินสุดๆ) , และ บรู็ซ เวย์น+แบทแมน แต่เห็นด้วยที่ เบน บทอ่อนตอนหลัง กับ ธาเลียตอนหลัง บทเด่นขึ้นมาเฉยๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นเบนยังไม่ตาย(ง่ายๆ) แล้วยังตามมาช่วยธาเลียเพื่อความรัก น่าจะขยี้ประเด็นจุดนี้ได้มากขึ้นหน่อย
    – ชอบ แอน ในบทนี้นะ ผมว่าเธอแสดงได้ดีและโนแลนแคสมาดีแล้วล่ะที่จะให้เธอเป็น เซเลน่า ไคล์ ความเซ็กซี่บวกหวานหน่อยๆ แต่ก็เจ้าเล่ห์ฉลาดรอบจัด ดวงตากลมโตกับรอยยิ้มที่มุมปากเชิดขึ้น ดูแล้วเหมาะจะเป็นแมวดีนะ ผมเดาใจว่า โนแลนคงอยากให้ แคทของเค้าเป็นแบบนี้ ไม่เหมือนแคทคนอื่นๆที่เน้น sex appeal มากเกินไปน่ะนะ
    – เพลงของหนัง ผมเห็นว่าอันนี้ยังไม่สุดยอดนะเมื่อเทียบกับมารตรฐานอย่าง LoTR หรือ Inception หรือเทียบกับ Tron Legacy (เทียบได้มั๊ย ฮา) ที่ผมว่าอันนี้เป็นเพลงประกอบนำหนังลิบๆๆเลย

    จุดที่เหมือนๆกับคนอื่น หลายท่านวิจารณ์เหมือนใจผมไปแล้ว ผมก็เลยไม่อยากวิจารย์ยืดยาว

    ใส่จุดความเห็นส่วนตัวว่า
    ถ้าให้คิดอย่างใจเป็นกลาง ผมว่ามาตรฐานโนแลนก็ยังเหมือนเดิม
    แต่อยากให้มองว่า The Dark Night กับ Inception คือสุดยอดมาตรฐานของโนแลนมากกว่า

    อุปสรรคของโนแลน จริงๆแล้วไม่ใช่แค่มารตฐานที่โนแลนทำไว้เองเท่านั้น แต่ความคาดหวังในใจของโนแลนแฟนก็เป็นอุปสรรคอีกอย่างหนึ่งด้วย
    ผมชอบความคิดในการดูหนังของคุณ BIC RavipaN RAY นะครับ ที่ให้เข้าโรงด้วยหัวเปล่าๆทุกครั้ง ไม่ต้องคาดหวังมากเราถึงจะดูสนุก
    ผมก็ชอบโนแลนมากๆคนนึง แต่ก็อยากเตือน โนแลนแฟน หลายๆคนไว้ว่า
    การคาดหวังมากไปจะยิ่งลดพื้นที่จุดยืนของเค้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนในสุดท้าย ความคาดหวังของแฟนๆนั่นแหละ จะกลายเป็นภาระอันหนักอึ้งของเค้าซะเอง
    อยากเห็นเค้าทำหนังดีๆ จงให้กำลังใจเค้าให้มาก และบีบคั้นเค้าให้น้อยลงเถอะครับ

    แต่ทั้งนี้แล้วก็เป็นอิสระภาพที่คนดูจะคาดหวังในฐานะผู้ชม
    ส่วนคนหนังทำก็ต้องสู้กับความคาดหวังในฐานะศิลปิน
    ถ้าไม่มีความคาดหวังเอาซะเลย ศิลปินคงไม่มีแรงผลักดัน
    อันนี้พอเข้าใจ

    สุดท้ายผมอยากให้หักมุมในชีวิตจริงจัง ที่โนแลนจะออกมาบอกว่า ชุดไตรภาค The Darknight ของผมสิ้นสุดลงตรงนี้และจะไม่ทำอีกแล้ว แต่ … ผมจะทำชุดหน้าคือ The Darknight , Robin and The Cat เย้ \^ ^/

  42. สปอล์ยนะ

    จากความคิดเห็นส่วนตัว ท่อนที่บอกว่าจอนเบลคกลับมีพลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเนี่ย ผมว่าโนแลนได้ตอบโจทย์ไว้ในตอนท้ายของเรื่องแล้วนะครับ

  43. The Dark Knight Rises คือฉากจบของหนังที่เพอร์เฟคที่สุดสำหรับผม ฉากที่เดอะแบทเอาระเบิดไปทิ้งทะเลมันบอกอะไรกับผมหลายๆอย่าง นอกจากความเสียสละ ถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นว่าแววตาของแบทแมนนั้นจากตอนแรกที่มองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ เขากลับเลื่อนสายตาลงมาด้านขวามือเล็กน้อยซึ่งสิ่งนั้นผมคิดว่าคือปุ่มดีดตัวนั่นเอง ในที่นี้ไม่ใช่ว่าเขานึกกลัวความตายขึ้นมากะทันหันอย่างแน่นอน แต่มันเป็นการยืนยันถึงความกล้าที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งไม่ว่าปัญหามันจะเป็นแบบไหน อย่างเช่นตอนช่วยคนทั้งเมืองที่ ราช อัล กูล พยายามรมแกสได้สำเร็จ และเป็นคนยืนหยัดต่อสู้เพื่อเป็นแสงแรงให้ตำรวจดีดีอย่างกอร์ดอนและอีกหลายๆคนมองเห็น เขาเอาชนะจิตวิทยาที่บ้าคลั่งของโจกเกอร์ โดยเลือกที่จะเชื่อเหล่าผู้คนที่เขาเสี่ยงชีวิตปกป้อง ซึ่งนั่นทำให้เป็นเวลาถึง 8 ปีที่แทบไม่มีอาชญากรรม ถึงมันจะแลกมาด้วย 8 ปีเต็มที่ต้องอยู่อย่างทรมานปางตายกับสิ่งที่ต้องเสียไป แต่มันไม่สามารถหยุดเขาให้กลับมาอีกครั้งเมื่อกอทแธมมีภัย แน่นอน ถึงนั่นอาจจะหมายความเหมือนที่อัลเฟรดให้ความหมายว่า ทำไมบรูซเลือกที่จะจบชีวิตแบบแบทแมนแทนที่จะใช้ชีวิตมีความสุขแบบบรูซ เวนย์ แต่บรูซไม่ได้คิดเช่นนั้นจนเมื่อเขาได้พบคนรุ่นใหม่หัวใจเดียวกันแบบเบลค และผู้หญิงที่เขาเลือกอย่าง เซลีน่า ไคลน์ ซึ่งเมื่อบรูซเลือกเธอเขาก็เชื่อมั่นในตัวเธอและเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดการ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ผมว่าคงไม่ต่างจากฉากในคุกที่โนแลนพยายามสื่อ คือตัวบรูซนั้นโดนแบทแมนกลืนกินเข้าไปในความมืดมิดเรื่อยๆ (ในที่นี้หมายถึงการอุทิศตนเป็นแบทแมนอย่างไม่คิดชีวิต และไม่กลัวตาย) แต่เมื่อเขาโดนเบนเล่นงานจนปางตายและนอนอยู่ในคุกมืดเกือบ 5 เดือน นั่นทำให้เขาเริ่มกลับมากลัวอีกครั้ง ซึ่งความกลัวตายอยู่ในคุกอย่างไร้ค่าโดยปล่อยให้ความล่มสลายของกอทแธมที่เขาสร้างเป็นผุยผงเหมือนที่เบนบอกนั่นเองเป็นแรงกระตุ้นให้การลุกขึ้นครั้งใหม่ของเขาทรงพลังมากยิ่งขั้น ซึ่งพลังในการลุกครั้งนี้มันไม่เหมือนเมื่อครั้งบรูซยังเยาว์ที่มีแรงจูงใจจากความแค้นในวัยเด็กจนกลายเป็นอดุมการณ์ที่จะสร้างกอทแธมใหม่ แต่ครั้งนี้มันคือการลุกขึ้นไปหาแสงสว่าง คือความหวัง ทั้งความหวังของแบทแมนที่ต้องการช่วยกอทแธม ความหวังของบรูซ เวนต์ที่มีต่อเบลค,อัลเฟรด,และคนอื่นๆ จนในที่สุดนำพาให้บรูซเป็นยิ่งกว่าแบทแมน นั่นคือ สัญลักษณ์แห่งการต่อสู้,ความดีงาม,ความหวัง,และสุดท้าย “ตำนาน อัศวินรัติกาล” และเขายังเป็นตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ดูสิ่งที่ตรากตรำทำมาทั้งชีวิตอีกด้วย ถึงที่ที่เขายืนอยู่จะไม่ใช่กอทแธมอีกต่อไปแล้วก็ตาม.. A Fire Will Rise สำหรับผมมันคือเปลวไฟแห่งการเสียสละและความดีงามที่บรูซ เวนย์มีภายใต้สัญลักษณ์ BATMAN ซึ่งไฟนี้จะผงาดสูงขึ้นไปอีกนานเท่านาน..

  44. สปอย*
    ผมว่าอีกกอย่างที่ทำให้ ดาร์ก ไนท์ เจื่อนไปเพราะ การจากไปของฮีท เลดเจอร์
    ทำให้ ช่วงแรกของหนังต้องปู ตั้งแต่เมืองสงบไปจนถึง อาชญกร เข้ามาใน ก๊อทแทม ไม้เหมือนภาคสองที่ เปิดมาก็ ตูมตามเดินเรื่องได้ฉับไว
    และมองอีกแง่ การจบไตรภาคด้วยการหันไปตอบคำถามของภาคแรก ผมว่ามันเป็นอะไรที่พิเศษมาก
    ที่สามารถเอาความกลัว มา รวมกับความเจ็บปวด ทาง ร่างกายและวิญญาณ จะบอกว่า ตัวโกงมันไม่ชัดเจนเหมือน ตัวแทนความกลหน หรือ ความกลัวตามภาคก่อนๆ แต่ผมเทียบดู ว่าอีกนัยนึงที่พระเอกต้องสู้คือ ตัวเองมากกว่า เบนซะด้วยซ้ำ และตอนจบที่ทำความอมตะ ตามแบบฉบับ ราซ อาลกูล ภาคแรกได้กล่าวไว้ เพอร์เฟคมาก นะ สำหรับ 40 นาทีสุดท้าย

  45. ขอเสริมนิดนึง หนังพูดเรื่องของการเมืองไว้อย่างน่าสนใจ
    1.อำนาจเผด็จการมาในคราบของผู้ปลดปล่อยจาก ” elite & the rich = ทุนนิยมสามารย์”
    2.อำนาจยุติธรรม (ศาล) เป็นเหมือนแค่”หุ่นไล่กา”ของคณะปฎิวัติ ไม่ได้ดำรงอยู่บน rule of law แต่อย่างใด

  46. ถ้าจำกันได้ โนแลนเฉลยตั้งแต่แรกแล้วในฉากลูบแผลเป็นที่หลัง…ถ้ายอ้นไปดู BEGINs ราซ อังกูล (ปลอม) กำลังจะประทับตรา ก่อนที่บรูซจะหนีออกมา

    สงสัยว่าโจ๊กเกอร์ไม่ได้อยู่ในคุกเหรอ? หรือเพราะฮีทไม่อยู่แล้ว เลยจำใจยกบทขึ้นหิ้งไปเลย

  47. ผมชอบ อัลเฟลด cat woman และ กอร์ดอน ครับ ทุกคนเล่นดีครับ ไม่รู้ทำไมไม่ค่อยอินกับตัว คริสเตียน เบลก็ไม่รู้

  48. ชอบครับ แม้จะไม่สุดอารมณ์ แต่ก็ได้ใจไปเยอะเหมือนกัน

    สงสัยถ้าโนแลนวางมือจริงๆ แล้วเราจะได้ดูโรบินมั้ยนะ?

  49. ผมว่าภาคนี้มันดู”โอเวอร์”เกินไปสำหรับหนังของโนแลนด์ แถมยังมีจุดบกพร่องในเรื่องความสมเหตุสมผลอีกหลายขอด้วย และผมยังคาใจกับ the bat ในภาคนี้มาก ดูแล้วไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ไม่เหมือนรถกับมอเตอร์ไซค์ในภาคก่อนๆ ระบบอะไรต่างๆเราเข้าใจหมดแต่ the bat เห็นแค่บินกับยิงเอง –*

  50. คงขอพูดในแง่ชื่นชม
    ไปดูกับแฟนมาแล้ว ตอนเดินออกมาจากโรงนี่พูดอะไรกันไม่ออกเลย สั่นไปหมด
    ในแต่ละภาคที่ดูเราว่ามันให้อารมณ์ที่ต่างกันมากอยู่ ในส่วนตัวแล้วเราไม่อยาก
    เปรียบเทียบกับ The Dark Knight เพราะฟีลมันคนละแบบกันเลย

    The Dark Knight นี่เหมือนเรากำลังดูหนังอาชญากรรมที่สื่ออารมณ์เฉียบคมจนน่าขนลุก

    แต่ The Dark Knight Rises นี่เรามองว่าอารมณ์ของหนังมันให้อารมณ์ที่อันตรายและสิ้นหวังมากๆ

    ซึ่งรวมเข้ากับเพลงประกอบของ Hans Zimmer บวกกับจังหวะที่ใส่เพลงเข้าไป
    ทำเอาพวกเราน้ำตาไหลอาบหน้าด้วยความขนลุกกันเลย

  51. ไม่รู้ว่า การที่ผมไปดู Imax จะเกี่ยวกับทำให้ดูหนังเรื่องนี้ “ไม่มีเบื่อ” หรือเปล่า หรือว่าผมอ่านการ์ตูนเรื่องนี้มากกว่าคนอื่น

    สิ่งที่ทำให้ผมดูแล้วคิดต่างกับคนอื่นคือ

    -ผมจะได้เห็นบรูส เวน ในสภาพแบบไหนในตอนเปิดตัว

    -จะได้เห็นการต่อสู้ของแบทแมน ในสภาพที่เขาเป็นแบบนั้นยังไง

    -บางทีการที่มันอิงจากหนังสือการ์ตูน มันอาจทำให้คนอย่างผมที่อ่านเรื่องนี้มามาก รู้สึกว่ามันคล้องไปกับหนังสือการ์ตูนดี ทำให้ไม่ได้แย่อะไร ลงตัว และกระชับดี

    -กลับมองว่าภาคนี้อลังการและยิ่งใหญ่มาก กว่าภาคที่แล้ว (ไม่รู้เพราะว่าผมดู Imax หรือเปล่าที่เห็นความกระหึ่มของหนัง เสียงเพลงทุบจังหว่ะ ที่ฟังดูปลุกใจอย่างมาก)

    -และการที่หนังสร้างความสนุกโดยไม่ต้องอาศัยแบทแมนเดินเรื่องในช่วงกลางเรื่อง

  52. ไม่ใช้ครับสิ่งที่โนแลนจะสื่อ ก็คือภาค begin. นั้นคือ ความกลัว the dark knight. คือ ความวุ่นวาย โกลาหล และ the. Dark knight rises. คือความสิ้นหวังครับ ซึ้งมันก็ตอบโจทย์ทุกภาคนะครับ ความประทับใจของผมนั้นเกินบรรยายจริงๆ

Leave a Reply to Kraingkrai SakprasertCancel reply