Prometheus: ความเห็นหลังชม

Prometheus หนังไซไฟสยองขวัญว่าด้วยการเดินทางค้นหาต้นกำเนิดมนุษย์ของริดลี่ย์ สก็อต ซึ่งโยงถึง Alien ผลงานปี 1979 เป็นอีกผลงานที่นักดูหนังรอคอยเรื่องหนึ่งของปีนี้ และได้ออกฉายในที่สุดเมื่อสุดสุปดาห์ที่ผ่านมาครับ หนังเปิดตัวในบ้านด้วยรายได้ที่ค่อนข้างพอใจที่ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนความเห็นของนักวิจารณ์นั้นได้คำวิจารณ์ด้านบวกไป 74% และมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 6.9/10 จากการประเมินของ Rotten Tomatoes ซึ่งดูแล้วไม่ได้ดีท่วมท้นตามที่คาดหวังเท่าไหร่ คะแนนอยู่ในเกณฑ์พอใช้ ทั้งที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ และยังน้อยกว่า Alien ที่ได้คำวิจารณ์ด้านบวกสูงถึง 97% และมีคะแนนเฉลี่ยที่ 8.7/10 อยู่หลายช่วงตัว

สิ่งที่ทำให้การเดินทางของ Prometheus ไปยังเป้าหมายอย่างไม่ราบรื่น ก็คือตัวบทหนังครับ โดยเฉพาะครึ่งหลังที่หาทางออกในการคลี่ปมต่างๆ ที่วางไว้ในตอนต้นเรื่องแบบง่ายดายเกินไป หนังเปิดเรื่องโดยพูดถึงปมที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่นใครคือผู้สร้างมนุษย์ ความสัมพันธ์ของผู้สร้างและผู้ถูกสร้าง และจะทำยังไงเพื่อโยงเข้ากับหนัง Alien อีก เมื่อหนังได้เฉลยปริศนาและเผยฉากหักมุมในหนังกลับไม่เกิดผลกระทบอะไรต่อจิตใจเลย มันตั้งคำถามต่อว่า “แล้วไงหรือ” มันเหมือนการตอบคำถามต่อปริศนาด้วยคำว่า “ใช่” อย่างเดียว แต่ไม่ได้มีอะไรสานต่อจากนั้นให้น่าสนใจ

นอกจากนี้หนังยังขาดความสมจริงในแง่ตัวละครมากมาย ตัวละครนักวิทยาศาสตร์ในหนังทำอะไรโง่ๆ ไม่สมจริงหลายอย่างที่ลดความสง่างามของความเป็นมหากาพย์ และช่วงท้ายของหนังก็ไม่อาจทำให้เราลุ้นได้มากพอด้วย

แต่สิ่งที่ช่วยให้หนังไม่ถูกลดขั้นลงไปถึงระดับหนังแย่ได้ก็คือการที่หนังมีงานสร้างอันยิ่งใหญ่ เป็นงานหนังไซไฟในแบบยุคทองของหนังแนวนี้ที่หายไปจากฮอลลีวู้ดนานมาก เป็นโลกที่เต็มไปด้วยรายละเอียดอันน่าหลงใหล ให้ความรู้สึกคล้าย Star Trek ผสม Alien ซึ่งทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าสก็อตเน้นให้หนังเกี่ยวข้องกับการเดินทางค้นหาที่มาของมนุษย์โดยไม่อิงกับ Alien อาจทำให้การเล่าเรื่องลงตัวกว่านี้ไหม แต่ก็อาจทำให้หนังน่าสนใจน้อยลงในแง่การตลาด

ส่วนดีอีกอย่างของหนังก็คือการเล่าเรื่องของสก็อตที่สร้างฉากอันชวนระทึกขวัญได้ดีหลายฉากมาก มีฉากที่ชวนลุ้นและคลื่นไส้อย่างฉากผ่าตัดที่น่าจะกลายเป็นฉากจำของหนังเรื่องนี้ไปเลย แม้อาจจะยังไม่เทียบเท่าฉากแหวะอกในต้นตำรับ แถมยังได้การแสดงอันยอดเยี่ยมของไมเคิล ฟาสเบนเดอร์, ชาร์ลีซ เธอรอน และ นูมิ ราเพซ ที่ช่วยเสริมให้หนังน่าติดตามขึ้นด้วยครับ

ผมให้คะแนนหนังที่ 7/10 ครับและจะบอกเหตุผลอย่างละเอียดทีหลังในบทวิจารณ์ ระหว่างนี้เชิญเพื่อนๆ ใส่ความเห็นกันได้เลยครับ

112 comments

  1. ผมเห็นต่างนะครับ ผมคิดว่า Prometheus จะไปไม่เป็นเลยครับถ้าไม่อิงอะไรเลยกับ Alien จะว่าไปหนังเรื่องนี้ก็มีจุดดึงดูดให้คนเข้าไปดูอย่างเดียวแหละครับคือขายความเป็นภาคต้นของ Alien ไม่งั้นถ้าบอกว่าเป็นการผจญภัยหาจุดกำเนิดมนุษย์ บลา ๆๆๆๆ หนังจะโดนลดเกรดมากกว่านี้อีกเยอะเลยครับ เพราะจะกว่าไปทั้งพล๊อต เและเทคนิคการถ่ายทำ ไม่ได้มีอะไรใหม่ ๆ ให้ชาวโลกเขาทึ่งได้เลยซักเรื่องครับ ก็แค่หนังวิทยาศาสตร์ภาพสวย ๆ อีกเรื่องเท่านั้นเอง

    • แค่สงสัยครับว่าถ้าไม่อิงกับ Alien แล้วเน้นไปที่การเดินทางไขปริศนา เน้นหนักไปที่จุดนั้นอย่างเดียว ใส่รายละเอียดให้มากขึ้น จะทำให้เส้นเรื่องลงตัวกว่านี้ไหม โดยเฉพาะช่วงท้ายที่จะทำให้หนังไม่ต้องคลี่ปมเยอะเกินไป แต่ก็เห็นด้วยว่าถ้าทำแบบนั้น ความน่าสนใจในแง่การตลาดต่อหนังจะลดลงไปเยอะมาก

  2. หนังมันอารมณ์ประมาณว่าลึกลับเต็มไปด้วยปริศนาให้ค้นหา
    แต่เหมือนมันส่งอารมณ์ไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็นน่ะครับ เลยกลายเป็นว่าหนังมันค่อนข้างเดินเรื่องน่าเบื่อ
    ความดีความชอบไปตกอยู่ที่วิทยาการต่างๆและฉากต่อสู้ทั้งหลายซึ่งผมชอบครับ

  3. คุณจะบอกว่าเนื้อเรื่องยังไม่ดีพอ ยังธรรมดาอยู่ ขณะที่งานสร้างกับฉากอันงดงามไปไกลกว่าบทของหนัง

    • ก็ไม่เชิงครับ ผมว่าเนื้อเรื่องน่าสนใจอยู่ ในช่วงอารัมภบท ในช่วงปูเรื่อง แต่มันมาเสียตรงช่วงคลี่คลายปมครับ มันธรรมดา หาทางออกง่าย และยังส่งอารมณ์ร่วมได้ไม่ดีพอ

  4. นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่าครับ ที่มีคนสามารถรอดชีวิตจากการที่มีตัวอ่อนเอเลี่ยนฝังอยู่ในตัวได้
    ภาคอื่นไม่มีเลย ทั้ง alien และ avp
    แต่ฉากผ่าตัดนี่สุดยอดเลยนะครับ เหตุการณ์เกิดก่อนalienทั้ง4ภาคแต่ดูเทคโนโลยีล้ำสมัยกว่ากันเยอะเลย หลายๆสิ่ง แต่ตอนผ่าตัดเสร็จ จบที่ใช้แม็กเย็บซะงั้น น่าจะมีเทคโนโลยี ที่ดีกว่านี้นะครับ(ผมไม่รู้เรื่องนะ แต่อย่างด้าย มันยังมีเปื่อยสลายได้ หรือมันจะเป็นแม็คที่สลายได้)

  5. คิดเหมือนที่คุณ Jediyuth บอกไว้นะครับ ละมาติดตรงที่ตัวละคร ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือนักธรณีวิทยาอะไรซักอย่าง ซึ่งทำอะไรที่ไม่ควรทำลงไป ตอนแรกพยายามที่จะหนีไปให้พ้นจากสิ่งมีชีวิตที่เป็นอันตราย แต่พอมาเจอสัตว์ประหลาดคล้ายกับงู ดันเข้าไปหามันซะงั้น มันดูไม่ค่อยสมเหตุสมผมมากนัก

    • จริงๆ ก็มีหลายคนครับ เช่นชอว์เองที่ไม่ยอมให้เอาอาวุธลงไป ซึ่งถ้านักวิทยาศาสตร์จริงๆ ก็จะไม่ทำแบบนั้น เพราะแม้แต่การสำรวจถ้ำบนโลก ก็ยังต้องมีคนพกอาวุธไป
      หรือกัปตันที่ทิ้งห้องบังคับการไปเพื่อเซ็กซ์
      หรือเวย์แลนด์ที่หลบซ่อนทำไม ทั้งที่ก็ยานของเขา ไม่เห็นจำเป็น
      หรือฉากที่ถอดหมวก นักวิทยาศาสตร์จริงๆก็จะไม่ทำแบบนั้น เพราะต่อให้หายใจได้ก็ยังต้องกลัวเชื้อโรค
      หรือการไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านทูตไปด้วย แม้ว่าจะมีเดวิดทำหน้าที่คล้ายล่ามก็ตาม
      เยอะครับ

  6. ========= SPOIL !! ==========

    Face Hugger เวอร์ชันมนุษย์ต่างดาว (aka ผู้สร้าง) โหดมากครับ ตัวเบ้อเริ่มเลย ก๊ากก .. ผมก็เห็นด้วยกันคะแนน 7-10 น่ะครับ แต่สำหรับคนที่รู้เรื่องหรือติดตามหนังชุด Alien น่าจะ 8/10 นะ เพราะเหมืิอนเสริมเรื่องราวให้มีที่มาที่ไปอีกนิด (แม้จะยังไม่ชัดเจนแจ่มแจ้งก็ตามที)

    ผมมีมุมมองส่วนตัวว่า มนุษย์ต่างดาว มาแพร่ DNA โดยยอมกินยาสลายร่าง (ฉากในตอนแรก) แล้วปรับๆโครงสร้างจนมาเป็นมนุษย์ใช่ไหมครับ แต่เหมือน มนุษย์จะเป็นผลงานที่ไม่น่าพอใจของพวกเขาแฮะ ฮ่าๆ เลยเพาะเชื้อสัตว์ประหลาด หมายมาปล่อยให้ฆ่าคนบนโลกเราเหี้ยน แล้วก็โดนเสียเองในยาน (เอ อย่างนั้นมนุษย์ต่างดาวนั่นรอดได้ไงหว่า เออ เอากับเขาสิ)

    และใน Alien 1 ที่นางเอกเจอ Space Jockey โดนแหวะอกตาย (เป็นที่มาของ เอเลียน หัวยาว) อาจจะเป็นยานลำอื่นๆก็ได้หรือเปล่าเนอะ ? เลยมีรูปแบบคล้ายกัน เพราะในเรื่องปูพื้นว่ามียานอีกหลายลำ (แน่ะ สร้างภาคต่อได้อีกเพียบ)

    ผมยังงงกับผลของเมือกสีเขียวนั่นน่ะครับ แรกเลยก็ทำให้แฟนนางเอกมีสภาพประหลาดๆ แต่ผลเป็นยังไงไม่รู้แน่ชัด โดนเผาตายซะก่อน (ปัด โธ่..) และอีกคนที่ทำให้มีพละกำลังมากกว่าเดิม แต่บ้าคลั่ง ตกลงว่าสารสีเขียนเอาไว้ทำอะไรหว่า เหมือนทำให้มนุษย์เกิดการ Mutant หรือเปล่านะ จุดนี้เลยยังแอบงงๆ

    • ถ้าเอาตามชื่อหนัง Prometheus ที่ตำนานกรีกบอกว่าเป็นผู้ขโมยไฟมาให้มนุษย์โลก
      ฉากเปิดเรื่องอาจหมายถึงว่า เอ็นจิเนียร์คนนั้นเป็นโพรมีเธียส ก็ได้ครับ ที่หนีมาสร้างชีวิตใหม่
      แต่ก็อดคิดถึงไม่ได้ว่า ทำไมต้องทิ้งแผนที่ไว้ไปยังดาวทดลอง

      และผลของเมือกนั่นที่ไม่แน่ชัดก็เป็นอะไรที่ดูไม่แน่นอน

    • ในมุมมองของผม ที่ผู้สร้างที่ดื่มของเหลวสีดำนั้น คิดว่าตนเองได้สร้างสารชีวะที่จะทำให้ตนเป็นอมตะ และเป็นพระเจ้าโดยสมบูรณ์ แต่เมื่อผลไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อผู้สร้างไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ผู้ถูกสร้างไฉน จะอยู่รอดได้ ประมา๊ณว่า มุมมองที่เห็นคือ หนังสะืท้อนให้เห็นว่ามันเป็นความเห็นแก่ตัวของพระเจ้า อะไรประมา๊นนี้น่ะคับน่ะคับ ก็เลยจะย้อนกลับมาทำลายมนุษย๋อีกที ด้วยสารชีวะที่ทำลายตนเองนั่นแหล่ะ

  7. หนังเรื่องนี้แล้วนึกถึง blade runner มากกว่าซะอีก ทั้งการเดินเรื่องนี้ที่เนิบและคลุมเครือ หวิดจะไม่เข้าใจ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจ หรือบทอ่อน รวมถึงประเด็น คำถามเรื่องความเป็นมนุษย์ แถมยังมีหุ่นยนตร์มาเป็นกุญแจสำคัญในเรื่องอีก ชอบตรงที่เรื่องนี้ตั้งคำถามให้กับผู้ชม ยั่วให้ผู้ชมอยากรู้คำตอบ แต่ท้ายสุดก็ไม่ได้ให้คำตอบ (ผู้ชมคงต้องนั่งยานไปหาเอาเอง) เป็นหนังที่ดูแล้วไม่ได้ชอบมาก แต่มีหลายประเด็นที่ติดใจจนอยากไปดูอีกรอบ ซึ่งก็เดาว่า ตามสไตล์ ผกก แกแล้ว เด่วก็คงออกฉบับ director cut ตามมา

  8. นี่จะเป็นการปูพื้นเรื่องให้กับเรื่องใหม่รึเปล่าครับ คือมันเกี่ยวข้องกับเอเลี่ยน แต่ถ้าสมมุติว่าสร้างภาคต่อหลังจากนี้แล้ว จะไม่ใช่ ALIEN คือไม่รู้นะ เอเลี่ยน หรือซีโนมอร์ฟที่เราเห็นมันโผล่ออกมาจาก Space Jockey เนี่ย ดูแล้วมันคล้ายๆ ของเดิมมาก แต่แตกต่างตรงปากชั้นในที่โผล่มาเนี่ย มันไม่เหมือนเอเลี่ยนที่เคยเห็นเลย ผมอาจจะคิดมากไปเอง แต่ว่าไม่เหมือนจริงๆ อีกอย่างถ้าจำไม่ผิด ดาวที่ริปลี่ย์เจอเอเลี่ยนมันไม่ใช่ LV.223 ที่โพรธีมีอุสมา แต่เป็น LV.426

  9. กำลังรอให้รีวิวเรื่องนี้เลยคับ ในความเห็นผม คิดว่าบทหนังไม่ได้โดดเด่นมาก อยู่ในระดับกลางๆ แต่งานสร้าง ฉากต่างๆ ดูดีคับถึงไม่ได้ล้ำมาก
    นักแสดงก็ถือว่าทำได้ดีคับ ตอนแรกไม่คิืดว่า ดร.ชอร์ เป็นนางเอกด้วยซ้ำ พอดูแล้วบทเธอเป็นคนที่รู้จักเอาตัวรอดจากอันตรายได้ดี เก่งมากๆ ชื่นชมจริงๆ
    ปกติไม่ชอบดูหนังลุ้นๆ น่ากลัวๆ ขนลุก แต่เรื่องนี้ ดูตอนผ่าตัดเสร็จ จับหน้าอกแล้ว ใจเต้นแรงมากๆ ตื่นเต้น ลุ้นมากๆ ทำให้คิดได้ว่ามาดูหนังแล้วไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานมาก
    รู้สึกแปลกๆ ที่เห็นนักวิทยาศาสตร์อย่าง Fifield และ Millburn ไม่ยักกะกลัวสัตว์ที่ดูประหลาด ไม่เคยเจอมาก่อน แถมยังกล้าเข้าไปหยอกเล่นอีก สุดท้ายก็นะ…
    ส่วนบทของ Charlize Theron ดูไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่

    ปกติไม่ได้ติดตามหนังแนว Alien เท่าไหร่ แต่เรื่องนี้ดูไม่น่ากลัวมาก เลยลองไปดู มีข้อสงสัยคราวๆ ดังนี้
    – ฉากแรกทำไมผู้สร้างเค้าถึงต้องกินอะไรนั่นเข้าไป แล้วมันทำลายตัวเอง เพื่ออะไรคับ
    – ทำไมเดวิทถึงต้องเอาสารนั่นหยดใส่แก้วให้ชาร์ลีกินคับ จะว่าไม่พอใจที่ชาร์ลีพูดตอนนั้น
    แต่เดวิทก็เอามันติดนิ้วมาก่อนแล้ว ทำไมเค้าทำแบบนั้น จริงๆ แล้วเดวิทไม่ชอบใครหรือไม่ชอบมนุษย์เหรอคับ
    – แล้วเค้ามีแนวโน้มจะทำภาคต่ออีกไหมคับ

    • ตอบตามที่ผมเข้าใจนิดๆนะครับ
      -ความคิดเห็นด้านบนตอบแล้วครับลองอ่านดู
      -มันมีฉากหนึ่งที่ เดวิด บอกว่า พวกมนุษย์เองก็อยากจะฆ่าพ่อกับแม่ตัวเองไม่ใช่เหรอ จุดนี้น่าจะเป็นคำตอบครับ อาจจะเพื่อตรงการปลดปล่อยตัวเองแล้วเป็นอิสระมั้งครับ เหมือนเราเมื่อตอนเรามีความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่ มันทำให้เราอยากจะออกไปเป็นอิสระจากการกีดกันจากผู้ปกครองน่ะครับ(แต่ไอ้เดวิดมันไร้หัวใจมันอาจจะคิดตามภาษาหุ่นยนตร์ทั้งนะ)
      และเดวิดอาจจะมองมนุษย์เป็นสัตว์ทดลองอย่างหนึ่งก็ได้มั้งครับ
      -เห็นว่าจะมีต่อน่ะครับ อุตสาห์ทิ้งท้ายไว้ขนาดนั้น(เห็นใน พันดริฟ เค้าบอกว่าจะมีต่อ แต่ผมไม่เคยอ่านเจอนะครับ ใครรู้ข้อนี้ชี้แจงด้วย

  10. อ่อ อีกอย่าง อยากรู้ว่า 2 คนที่ขับยานออกไปได้ตอนสุดท้าย จะไปเจออะไรต่อนะ อันอยากรู้จริงๆ ชวนให้ติดตาม

    • ในหนังก็บอกว่า ไปดาวต้นของ Engineer ซึ่งใครพอรู้เนื่อเรื้อง ก็น่าจะรู้ว่าโดน Alien ยึดไปหมดแล้วครับ

      คือไปตายดีๆนั่นเอง

  11. ความรู้สึกหลังจากได้ดูแล้วมันดันกลายเป็นเพิ่มคำถามมากกว่าเฉลยปัญหาใน เอเลี่ยน ภาคแรกซะอีก
    .
    แต่เคยอ่านบทสัมภาษณ์ของรีดลีย์เค้าบอกว่าถ้า”เอเลี่ยน”เป็น z “โพมีธีอุส” จะไม่ใช่ a-y (เหมือนแกออกตัวมาก่อนอยากหวังว่าจะได้เห็นเอลี่ยนนะจ๊ะ และห้ามด่าฉันถ้าไม่ได้เห็นเอเลี่ยน)
    .
    สำหรับผมดูสนุกดีนะครับถ้าเราไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องมาเกี่ยวเนื่องกับ เอเลี่ยน
    แต่มันยังไม่สุดนะสิ มันเหมือนยังไม่หายความอยาก และที่สำคัญมันไม่ได้ความรู้สึกแบบเอเลี่ยนที่เราได้สัมผัสครั้งแรก ความรู้สึกแบบนั้นที่หวังไว้มันไม่มีเลย ในหนังที่เราอุตสาห์ตั้งใจจะเสพเรื่องนี้

    ผิดหวังนิดหน่อยแต่ก็ยังชอบกับที่เฮียแกพยายามให้เอฟเฟค์ให้น้อยที่สุด(ใช้โมเดลแทน)กับภาพที่ถ่ายได้สวยมากมายจริงๆ

    แอบในใจลึกๆว่าคงมีโอกาสได้เข้าชิง สาขาเทคนิคพิเศษ หน่อยน่ะ

    ปล.แล้วที่เราหวังกับ The Darkknight Rise หวังว่าคงอิ่มกว่านี้ อีกไม่ถึงเดือน แว้วววววว

  12. ตอบคำถามคุณ jediyuth นะครับ

    ตามความเห็นผมนะครับ

    1. จริงๆ ก็มีหลายคนครับ เช่นชอว์เองที่ไม่ยอมให้เอาอาวุธลงไป ซึ่งถ้านักวิทยาศาสตร์จริงๆ ก็จะไม่ทำแบบนั้น เพราะแม้แต่การสำรวจถ้ำบนโลก ก็ยังต้องมีคนพกอาวุธไป

    ข้อนี้ผมว่ามันมองได้หลายอย่าง ข้อแรก พวกนักวิทย์ไม่ได้ไปสำรวจถ้ำครับ แต่ในเบื้องต้นทุกคนเข้าใจว่า นี่คือการไปพบผู้สร้างของตนเอง พบสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมสูงกว่าอยู่ต่างดาว จะพกอาวุธไปหรือไม่มันตอบยากครับ ลองจินตนาการดูว่า สมมุติว่าถ้าพรุ่งนี้มีพระเจ้ามาเยือนโลก คุณเลือกที่จะจัดให้ทีมของคุณพกอาวุธไปพบพระเจ้าไหม? พกไปจะเป็นการบอกว่า เราไม่ไว้ใจพระเจ้าหรือเปล่า? แล้วพระเจ้าจะโกรธเราหรือไม่? กรณีนี้มันแล้วแต่วิจารณญาณของหัวหน้าทีมสำรวจจริงๆ ซึ่งผมมองว่าบทไม่ได้มีช่องโหว่ในจุดนี้ครับ

    2. หรือกัปตันที่ทิ้งห้องบังคับการไปเพื่อเซ็กซ์

    อันนี้กับตันกากจริงครับ แต่บทมันก็ส่งมาแต่แรกแล้วนะ ตอนที่กัปตันพูดว่า มันมาเพื่อขับยาน แค่นั้นจริงๆ ไม่ได้เป็นผู้บัญชาการเรือแบบ startrek และจะเห็นได้ว่า กัปตันไม่มีอำนาจสั่งใครเลย นอกจากลูกเรือ 2 คนที่ตายด้วยกันตอนจบ

    3. หรือเวย์แลนด์ที่หลบซ่อนทำไม ทั้งที่ก็ยานของเขา ไม่เห็นจำเป็น

    เวย์แลนด์มันมี hidden agenda ครับ โปรเจคนี้ฉากหน้าคือการมาค้นหาต้นกำเนิดของมนุษย์ก็จริง แต่จริงๆ แล้วเวย์แลนด์มันไม่อยากตาย และต้องการให้ผู้สร้างช่วยให้มันไม่แก่ตาย (จะเห็นว่าหนังเน้นประเด็นนี้ โดยเฉพาะตอนที่ชาลิซจูบมือเวแลนแล้วพูดว่า “a king has his reign, and then he dies. It’s inevitable.” ซึ่งบทพูดนี้อยู่ใน teaser ด้วยซ้ำ) และมันไม่ยอมเปิดเผยตัวเองจนแน่ใจแล้วว่ามีผู้สร้างรอดชีวิตอยู่จริงๆ และตอนท้ายที่มันให้เดวิดคุยกับผู้สร้าง จะเห็นได้ว่าเวย์แลนด์มันไม่สนใครเลยนอกจากคำถามของตัวมันเอง (ทั้งๆ ที่ noomi ก็พยายามถามคำถาม ที่บางทีอาจสำคัญกับความอยู่รอดของมนุษย์มากกว่าคำถามของเวย์แลนด์ด้วยซ้ำ)

    4. หรือฉากที่ถอดหมวก นักวิทยาศาสตร์จริงๆก็จะไม่ทำแบบนั้น เพราะต่อให้หายใจได้ก็ยังต้องกลัวเชื้อโรค

    อันนี้ก็ตอบยากอีกนั่นแหละ การตัดสินใจบางครั้งมันยากว่าเป็นสิ้งที่ถูกที่ผิด ถ้าคุณได้ไปเที่ยวที่บ้านเกิดของพระเจ้าผู้สร้าง และคุณใช้เครื่องมือวัดทุกอย่างเท่าที่เทคโนโลยีสมัยนั้นมีตรวจสอบแล้วพบว่าปลอดภัย คุณจะลองหายใจเอาอากาศของที่แห่งนั้นเข้าไปให้เต็มปอดไหม? เหมือนเล่นน้ำทะเล คุณอยากอยู่บนเรือหรือลงไปว่าย และคนที่ถอดหมวกคนแรก คือนักวิทย์ที่กระหายใคร่รู้ที่สุดคนนึงในเรื่อง (ยืนยันได้จากฉากที่เดวิดถามว่าแฟนนางเอกว่า how far would you go, to get your answer? ซึ่งเค้าตอบว่า everything)

    5. หรือการไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านทูตไปด้วย แม้ว่าจะมีเดวิดทำหน้าที่คล้ายล่ามก็ตาม

    ข้อนี้เหมือนข้อ 3 ครับ โปรเจคนี้มันมี hidden agenda เวลาของเวแลนด์มันเหลือน้อย และสิ้งเดียวที่มันต้องการจากผู้สร้าง คือชีวิตอมตะครับ และคนเดียวที่เวแลนด์ไว้ใจคือเดวิด (เวย์แลนด์ไม่ไว้ใจแม้แต่ลูกตัวเอง ซึ่งจะให้ไว้ใจทูต ก็คงยาก) ซึ่งประเด็นนี้อธิบายสิ่งที่ david ทำได้เป็นอย่างดี เพราะมันทำทุกอย่างเพื่อเวย์แลนด์ (ฉากล้างเท้าอธิบายได้ดีทีเดียว ผมไม่เคยเห็นหนั่งฝรั่งล้างเท้าให้กันบ่อยๆ นะ) ไม่ว่าจะเป็นเอาของเหลวสีดำมาทดลองกับแฟนนางเอกหลังจากแอบไปปรึกษากับเวย์แลนด์แล้วได้คำสั่งใหม่ว่า try harder การดอดไปพบผู้สร้างคนเดียว หรือพอเวแลนตายแล้วก็ไปช่วยนางเอกต่อ (ไม่ต้องทำเพื่อเวแลนด์แล้ว) โดยเฉพาะฉากที่ซากหัวของผู้สร้างระเบิดหลังนางเอกพยายาม reanimate หัว ซึ่งจะเห็นว่า david ที่นั่งกระตือรือร้นตอนในแรก พอเห็นเหตุการณ์แล้วมีสีหน้าผิดหวัง แล้วพูดว่า “Mortal, after all” ซึ่งความตายของผู้สร้าง มันตรงข้ามกับสิ่งที่เวย์แลนด์ต้องการ นั่นคือชีวิตอมตะ

    ผมค่อนข้างชอบหนังเรื่องนี้มาก จะคิดว่าผม bias ก็ไม่เป็นไร แต่พยายามอธิบายหนังจาก hints ที่หนังแทรกมาเป็นระยะน่ะครับ ซึ่งแน่นอนว่าอาจมีที่ผิดบ้าง เพราะเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ซึ่งผมคิดว่าหนังต้องการให้คนไปคิดต่อ

    ผมว่ากระทู้นี้ดีทีเดียวสำหรับคนที่สนใจอยากคิดต่อกับหนังเรื่องนี้

    http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A12215473/A12215473.html

    • เห็นด้วยกับคุณมากครับ หนังมีอะไรซ่อนไว้เยอะมาก ตอนดูจบไม่ประทับใจ แต่พอมาอ่านหลายๆความคิดเห็น และอ่านสัมภาษณ์ของริดลีย์แล้ว มันควรดูซ้ำอีกมากๆ

    • 1. ใช่ครับ เป็นการไปพบผู้สร้าง แต่ตอนนั้นยังไม่แน่ใจชัดเลย และนั่นก็เป็นดาวต่างดาวที่เวลาผ่านมาแล้ว 3 พันห้าร้อยปี รู้ได้ยังไงว่ายังมีผู้สร้างอยู่ และสภาพแวดล้อมก็ดูเป็นอันตรายมากๆ ถ้าเป็นหนังที่ใส่ใจความสมจริงทางวิทยาศาสตร์ และหากนักวิทยาศาสตร์จริงๆ จะไม่คิดแบบชอว์ครับ เหตุผลของชอว์นั้นไม่สมจริง

      2.นั่นก็เป็นความไม่สมจริงทางเหตุผลเช่นกันครับ มันเป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุผลตามหลักความเป็นจริง กัปตันจริงๆ จะไม่มีใครคิดแบบนั้น

      3.เวย์แลนด์มีความต้องการแฝงจริงเรื่องความเป็นอมตะ แต่ถ้าไม่บอกใคร ก็ไม่มีใครรู้ เขาไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน เหตุผลเดียวที่น่าจะฟังขึ้นก็คือไม่อยากให้ใครมารบกวน

      4.นั่นก็เป็นเหตุผลที่ไม่สมจริงทางวิทยาศาสตร์ครับ นักวิทยาศาสตร์จริงๆ น้อยคนที่จะคิดแบบนั้น และอย่างที่เห็น สิ่งแวดล้อมตอนนั้นก็ดูมีอันตราย ทั้งมืด ทั้งแฉะ

      5.เหตุผลนี้ พอฟังขึ้นครับ

      อย่างที่บอกครับว่า หนังมีปมอยู่มากมาย แต่การหาทางออกให้แก่ปมเหล่านั้นง่าย และไม่สมจริง
      เหตุผลที่หนังใส่มาให้การกระทำของตัวละครก็เป็นอะไรที่ง่าย ไม่สมจริง ในแง่การเป็นหนังวิทยาศาสตร์ครับ
      ซึ่งถ้าคิดว่ามันเป็นหนังเรื่องหนึ่งก็โอเค พอรับได้
      แต่ถ้ามันเป็นมหากาพย์ไซไฟระดับนี้ ที่ต้องมีความสมจริงและความน่าเชื่อ
      มันเป็นการให้ทางออกที่ลดคุณค่าความเป็นมหากาพย์ของหนังให้ลดลงเท่ากับหนังสยองขวัญสัตว์ประหลาดทั่วไป

      • ตอบคุณ jediyuth อีกทีนะครับ

        1. ที่ผมรู้สึกว่ามันไม่น่าแปลกที่ไม่เอาอาวุธไป เพราะทีมสำรวจมันเข้าไปสำรวจในปิรามิดครับ ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ engineer สร้างขึ้น เหมือนเข้าไปบ้านคนน่ะครับ คุณจะยังพกอาวุธเข้าไปหรือไม่? คือถ้าทีมสำรวจเข้าไปสำรวจป่าแบบ avatar อันนี้ผมจะไม่เห็นด้วยเลยที่มันไม่เอาอาวุธไป แต่นี่มันเข้าไปสำรวจในสิ่งก่อสร้างที่คล้ายที่อยู่อาศัยน่ะสิครับ

        2. อันนี้ผมตอบยากครับ เพราะผมนิยามคำว่า กัปตันจริงๆ ไม่ถูก ผมเห็นด้วยกับคุณ jedi ที่ว่าการตัดสินใจของกัปตันมันไม่สมเหตุสมผลที่จะไปมีเซ็ก แต่กัปตันในประวัติศาสตร์ที่ตัดสินใจไม่สมเหตุสมผลมันมีจริงนะครับ เช่น กัปตัน titanic ไม่สนใจคำเตือนเรื่องก้อนน้ำแข็ง กัปตันเรือ Costa Cordania ที่ล่มเมื่อเดือน ม.ค. นี่เอง ที่เค้าตัดสินใจทิ้งเรือที่ยังมีคนอยู่เป็นพันๆ คนหลังชนหินโสโครกและไม่ยอมกลับไปช่วย ซึ่งทั้งสองกรณีนี้ไม่ใช่บทหนัง แต่มันเป็นเหตุการณ์จริง ผมจึงสรุปไม่ได้ครับว่าการกระทำของกัปตันเป็นสิ่งที่ทำให้บทอ่อนหรือมีช้องโหว่หรือไม่ โดยเฉพาะที่บทมันส่งมาว่ากับตันมันมาเพื่อขับยานอย่างเดียว ซึ่งถ้าในกรณีของ titanic เป็นเรื่องแต่ง เป็นบทหนัง และไม่ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว การที่กัปตันไม่สนใจคำเตือนเรื่องภูเขาน้ำแข็ง เป็นสิ่งสมเหตุสมผล และเป็นสิ่งที่กับตันจริงๆ ควรทำหรือไม่ครับ?

        3. เห็นด้วยกับคุณ jedi ที่คิดว่าเวแลนด์ไม่ต้องการให้ถูกรบกวนครับ ซึ่งถ้าเวย์แลนด์ซ่อน หรือไม่ซ่อนมาบนยานแล้ว และสามารถทำให้ไม่มีใครรู้ได้ว่าจุดประสงค์ของแกจริงๆ คืออะไรได้จริงๆ การซ่อน หรือไม่ซ่อนก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาระกิจทั้งคู่ ซึ่งหากบทเลือกที่จะซ่อนหรือไม่ซ่อนเวย์แลนด์ ผมเองก็คิดว่าทั้งสองกรณีนั้นไม่ต่างกัน และคิดไม่ออกจริงๆ ครับว่าการที่เวย์แลนดไม่ซ่อนตัวมีเหตุผลกว่าที่มันซ่อนตัวตรงไหน จึงเห็นด้วยที่เวย์แลนด์ไม่อยากให้ใครรบกวนครับ

        4. คุณ jedi อย่าประมาทความอยากรู้อยากเห็น อยากเป็นคนแรกที่ได้รู้ได้สัมผัสสิ่้่่งใหม่ๆ ก่อนใครของนักวิทยาศาสตร์นะครับ ผมเองก็เป็นนักวิทยศาสตร์ครับ (T_T) เลยเข้าใจความรู้สึกข้อนี้ดี ผมจะยกตัวอย่างนักวิทย์จริงๆ ในประวัติศาสตร์บางรายนะครับ (ผมพอจะนิยามคำว่า นักวิทย์จริงๆ ได้น่ะครับ)

        – กาลิเลโอ : ประดิษฐ์กล้องส่องทางไกลที่ทำให้เห็นดวงอาทิตย์ได้ใกล้ชิดอย่างไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ผลคือเค้าหลงไหลมัน และใช้กล้องส่งดูดวงดาว ดวงอาทิตย์เป็นชั่วโมงๆ (ยุคนั้นยังไม่มีใครรู้ หรือมีเครื่องมือวัดใดๆ บอกได้ว่าการจ้องดวงอาทิตย์นานๆ จะเป็นอันตรายต่อสายตา) ทำให้เค้าเกือบตาบอดสนิทในบั้นปลายชีวิตครับ

        – มารี คูรี : ได้รางวัลโนเบลจากการค้นพบ radium และคลุกกับมัน ทดลองมัน จนเป็นมะเร็งเม็ดเลือดตาย ซึ่งยุคแรกๆ ยังไม่มีใครรู้จักว่ากัมมันตภาพรังสีมีอัตราย และไม่มีเครื่องมือวัดไหนบอกได้

        – อลิซเบท แอสไชม์ : กับสามีทดลองเรือง x-ray หลังการค้นพบในยุค x-ray แรกๆ ความหลงไหลและตื่นเต้นกับสิ่งใหม่ๆ นี้ ทำให้เธอกับสามีเอาตัวเองเข้าเป็น subject ในการทดลอง และอีกเช่นกันครับ ยุคนั้น ยังไม่มีความรู้และเครื่องมือวัดทุกชนิดเท่าที่บนโลกมีบอกไม่ได้ว่า x-ray เป็นอันตราย ผลคือเธอเป็นมะเร็งตายครับ

        ผมถึงพยายามบอกคุณ jediyuth ว่ากรณีนี้มันตอบยาก หากคุณเป็นนักวิทย์จริงๆ ได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆ ก่อนใคร และความรู้หรือเครื่องมือที่ดีที่สุดเท่าที่มีบนโลกบอกว่ามันไม่เป็นอัตรายแล้ว คุณอยากจะเป็นคนแรกที่สัมผัสมันด้วยตัวคุณเอง อยากจะลงไปว่ายน้ำ อยากจะหายใจเข้าไปเต็มปอดหรือเปล่า เหมือนที่กาลิเลโอจ้องดวงอาทิตย์จนตาแทบบอด หรือ อลิซเบทเล่นกับ x-ray ในฐานะคนที่ทำงานสายวิทย์คนนึง ผมจึงพอเข้าใจความรู้สึกที่พระเอกอยากถอดหมวก และลองหายใจด้วยปอดของตัวเองบนดาวนั่น ผมจึงไม่คิดว่าบทหนังมันด้อยในจุดนี้ ซึ่งถ้าจะให้หนังมีฉากออกแบบการทดลอง ทดสอบสภาพอากาศแบบเต็มสูบ มันคงกินเวลาพอดู ซึ่งหนังก็ช่วยอธิบายหลายประเด็นนะครับ ตั้งแต่สัดส่วนของ N2, O2, CO2 ในอากาศ ระบบบำบัดอากาศที่มีในถ้ำ ซึ่งยังไม่รู้ว่าทำงานอย่างไร รวมถึงบอกเครื่องมือวัดในสูทสุดล้ำบอกว่ามันปลอดภัย
        มีคำถามอีกหลายข้อครับที่หนังมันอธิบาย เช่น
        1. ทำไม SJ หลังจากยานตกแล้วไม่สวมหมวกวิ่งไปออกจากยานไปหานางเองได้? ข้อนี้ถ้าคุณใส่ใจฉากเปิดเรื่องและรู้ว่านั่นเป็นโลกยุคดึกดำบรรพ์ที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่ (ซึ่งยุคนั้นอากาศเป็นพิษ มนุษย์หายใจไม่ได้แน่นอน) จะเห็นว่า engineer นุ่งเกงในตัวเดียวไม่ใส่หมวกและสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนยานแม่บินหายไป (ซึ่งหนังก็ไม่อธิบายอยู่ดีว่ามันหายใจได้ยังไง) ข้อนี้ผมกับมองว่า การที่ engineer ไม่สวมหมวกมาหานางเองยังทำให้หนังสอดคล้องกันทั้งเรื่องและสมเหตุสมผลมากกว่าเสียอีก (ก็ถ้าตอนหลังมันใส่หมวกมาหานางเอก ผมตั้งคำถามแน่ๆ ว่า อ้าว แล้วตอนฉากแรกมันหายใจได้ไง??)
        2. ทำไมพี่โล้นกลัวหนอน แต่พี่แว่นไปเล่นกับหนอน? ในข้อนี้ต้องขอถามกลับนิดนึงว่า พวกคุณจำกันได้หรือไม่ว่า พี่แว่นเป็น นักวิทย์สายอะไร? และพี่โล้นเป็นนักวิทย์สายอะไร?
        พี่แว่นเป็น Biologist (ชีวะวิทยา) ส่วนพี่โล้นเป็น Geologist (เกี่ยวกับแผ่นดิน หิน) แล้วนักชีวะวิทยาจะไปต่างดาวเพื่ออะไรล่ะครับ ถ้าไม่ไปศึกษา life form ใหม่ๆ จริงอยู่ที่บทหนังอ่อนตรงที่พี่แว่นแกอาจจะมีความเชี่ยวชาญด้าน bio ก็จริง แต่เข้าไปดุ่มๆ แบบนี้มันก็เกินไป ซึ่งผมรู้สึกขัดใจจุดนี้เช่นกัน แต่หนังคงไม่มีเวลามาสร้างฉากให้พี่แว่นสังเกตุพฤติกรรมหนอนซัก 7 วันหรอกครับ การที่พี่แว่นกลัวหนอนน้อยกว่าพี่โล้นจึงพอเข้าใจได้สำหรับผมครับ แต่ผมยังมีความคิดว่า ให้สองคนนี้หลับไปก่อน แล้วหนอนโผล่มาให้ตกใจแล้วเชือด ยังจะทำให้จุดนี้ make sense กว่า
        ผมว่าปัญหาของหนังเรื่องนี้คือ คนดูคาดหวังแล้วว่ามันจะเป็นหนังสยองขวัญ sci-fi (ก็แน่ล่ะ เอา alien มาโปรโมทนี่) ซึ่งมันทำให้คนดูระมัดระวังตัวเกี่ยวกับการตัดสินใจของตัวละครต่างๆ เป็นพิเศษ จนลืมนึกถึงแรงผลักดันที่เป็นประเด็นเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และการค้นหาของตัวละครที่มีผลต่อการตัดสินใจต่างๆ ไป ถ้าผมสมมุติตัวอย่างหนังเรื่อง contact ซึ่งได้รางวัลพูลิตเชอร์ให้เหมือนต้นฉบับทุกอย่าง (เป็นเรื่องที่ผมชอบมากเรื่องนึง คอหนัง scifi น่าจะเคยดูกัน) ยกเว้นตอนจบให้หนังเป็น scifi-thriller ว่า จริงๆ แล้วแปลนยานอวกาศที่เอเลี่ยนส่งมานั้นเป็นอาวุธทำลายล้างโลก พอสร้างเสร็จโลกก็โดนเอเลี่ยนบุกด้วยเครื่องมือนั่นจนติดเชื้อกันค่อนโลก คนที่ดูจะยังรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มีความสมเหตุสมผลอยู่รึเปล่า? จะมีความคิดว่า ทำไมต้องสร้างยานนี้ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร จะมีความรู้สึกประเภทที่ว่า กูว่าแล้ว จะสร้างทำไมเนี่ย สร้างมาก็ตายหมด อยู่หรือเปล่า?

      • กรณีของเวย์แลนด์นี่ผมว่า เหตุผลที่แกต้องจำศีลแล้วซ่อนตัวนั้น นอกเหนือจากเหตุผลที่เถียงกันไปแล้ว

        ผมว่าแกอาจจะเหลือเวลาที่จะมีชีวิตไม่มากแล้วก็เป็นได้นะครับ
        คือเจ้าตัวเองก็พูดกับนางเอกเองเลยตอนที่เพิ่งตื่นขึ้นมา ว่าตัวเองเหลือเวลาอยู่ไม่เท่าไหร่ เลยอาจจะต้องเข้าไครโอจีนิคเพื่อเหลือชีวิตไว้ให้พอที่จะไปพบกับผู้สร้างก็เป็นได้

        นอกจากนี้การเดินทางในอวกาศก็เต็มไปด้วยอันตราย และเรื่องไม่คาดฝันอยู่แล้ว เวย์แลนด์ที่ร่างกายอ่อนแอ นอนอยู่ในไครโอจีนิคน่าจะปลอดภัยกว่า มิใช่หรือ??เ
        พราะฉะนั้นการที่เวย์แลนด์จะเข้าไปจำศีลเพื่อเซฟตัวเองและรักษาอายุไว้ จึงดูเป็นเหตุผลที่น่าจะสมเหตุสมผลกันอยู่นะครับ?? คิดว่าไงครับ??

    • สำหรับข้อ 5 ครับ รู้สึกว่า เป็นไปได้ที่ David อาจจะมี hidden agenda ด้วยมั้ยครับ เพราะว่าเราไ่ม่รู้ว่าจริงๆแล้ว David พูดอะไรกับ Engineer ถึงได้ทำให้ Engineer โมโหขนาดนั้น (subtitle ไม่มีด้วย เพราะงั้นจริงๆแล้ว สรุปไม่ได้เลยว่ามันพูดอะไร) เพราะว่ามีจุดสังเกตุคือ
      – ตอนที่ Shaw ถาม Engineer ว่าทำไมต้องการทำลายมนุษย์ Engineer มันก็ยังนิ่งๆ งงๆ อยู่
      – ตอนที่ Shaw โดน Weyland สั่งลูกน้องจัดการให้หยุดพูด Engineer ก็ยังนิ่งๆอยู่
      – พอ David พูดไม่กี่่คำเท่านั่นแหละ นรกแตกทันที ^^

    • 2. หรือกัปตันที่ทิ้งห้องบังคับการไปเพื่อเซ็กซ์

      ยานลำนี้ในเรื่องบอกว่าเป็นยานพาณิชย์ขนส่ง ของพลเรือน ไม่เหมือนยานของพวกกองทัพ กัปตันยานลำนี้จึงไม่อยู่ในกฎระเบียบที่เข้มงวดอะไร เท่าที่ดูกัปตันก็ทำหน้าที่ได้ปกติดีอยู่นะ จนลูกสาวเจ้านายตัวเองโผล่เข้ามานั้นแหละ เข้าใจว่าเพราะต้องเดินทางอยู่ในอวกาศเป็นเวลานาน เลยต้องอยากปลดปล่อยกันบ้าง บทสนทนาทั้งสองจึงออกมาแบบนั้น (ในเอเลี่ยน 3 จะมีตอนที่ริปลีย์คุยกับหมอนักโทษลักษณะนี้เหมือนกัน) คุยไปคุยมา คุณเธอบอกว่าให้ไปพบที่ห้องภายในสิบนาที โอกาสมาถึงแล้วมีเวลาตัดสินใจน้อยขนาดนั้น กัปตันเราจึงไม่มีทางเลือก 55

      • ขอเสริมนะครับ หลายคนที่ว่ากัปตันแกหูเบา ผมว่าแกน่าสงสารนะครับ เพราะว่าตอนที่มีคนสั่งให้แกทำอะไรเนี่ยแกมีเวลาตัดสินใจน้อยเหลือเกิน ทั้งเรื่อง 10 นาทีให้ไปพบที่ห้อง 55 (คหสต. ตรงนี้มันเป็นลักษณะคำสั่งแบบนายสั่งลูกน้องในเรื่องงานทั่วไปแต่มีนัยแอบแฝง ไม่ได้เชื้อเชิญเรื่องอย่างว่าแบบตรงๆ ความสมเหตุสมผลจุดนี้ผมคิดว่าทำไมกัปตันต้องละทิ้งหน้าที่) และก็ตอนโดนขอร้องให้หยุดการบินขึ้นของยานเอนจิเนยร์ การตัดสินใจในตอนสุดท้ายของแกทำให้แกกลายเป็นฮีโร่กอบกู้โลกไปเฉยเลย แต่ผมชอบแกตอนแรกนะ เดินไปยืนตรงแท่นควบคุม นำยานแลนดิ้งลงพื้นดวงจันทร์แบบชิลๆ นี่มัน สุดยอดมากๆ

  13. เคยอ่านที่ไหนซักแห่งว่าจริงๆแล้ว สิ่งที่ ผกก. ต้องการให้คนเก็บไปคิดมากที่สุดคือ ของเหลวสีดำมีความสามารถอะไรกันแน่ ครับ ส่วนที่ขัดใจที่สุดคือทำไมมันเจอถ้ำง่ายจัง – –

    อ้างอิงจากคำพูดเดวิดที่ว่า บางครั้งก็ต้องทำลายเพื่อสร้าง อาจจะสื่อว่าของเหลวนั้นไม่ได้ตั้งใจจะทำลายมนุษย์ก็ได้ครับ อาจจะสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ (แต่มนุษย์ก็คงต้องตายอยู่ดี)

    ปล.ผมคิดเล่นๆว่าเอนจ์สโตนเนี่ยอาจเอาไปโยงกับเหตุการณ์ในเรื่องได้ คือ Engineer ลงมายังโลกเพื่อให้ความรู้แล้วมนุษย์จึงสร้างขึ้นมาบูชา ประมาณนี้ 555

    สำหรับผม 9/10 ครับ

  14. ก่อนออกไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ เห็นคำวิจารณ์ต่างประเทศทั้งบวกและลบ แต่ด้านลบนั้นเหมือนกลับเกลียดภาพยนตร์เรื่องนี้ไปเลย ผมเองเป็นแฟนหนังแนวนี้ แม้แต่เรื่อง Sphere ที่คนไม่ชอบ เรากลับชอบ (แม้ว่าในหนังสือจะสนุกกว่ามากก็ตาม) รีบไปดูในโรง IMAX แต่พอได้ชมแล้ว คิดได้อย่างเดียวก็คือริดลีย์ สก็อตฝีมือตกไปมากจริงๆ ทุกองค์ประกอบไม่น่าสนใจ ไม่สมเหตุสมผลและน่าเชื่อถือเลยซักนิด เช่นการรอดชีวิตของนางเอกในหลายเหตุการณ์ ซึ่งดูยังไงก็ไม่ใช่หญิงเหล็กแบบริปลี่ย์ การแส่หาความตายของหลายตัวละคร การเสียสละชีวิตของกัปตันในตอนท้ายเรื่อง จุดกำเนิดของมนุษย์และเอเลี่ยน(บางอย่างไม่ควรเปิดเผยที่มา ควรเก็บเป็นความลับดีกว่า) ผมแอบเชียร์ Theron ให้รอดตายมากกว่านางเอก และสุดท้ายขอให้นางเอกได้เจอเอเลี่ยนอีกครั้งและได้คำตอบที่ต้องการ (ถามจริงๆใครอยากรู้คำตอบ)

  15. ตัวผมเอง รู้แนวหนังก่อนดูอยู่แล้ว ว่าไม่ใช่แอคชั้น แค่ชื่อหนังก็ปรัญญาไปแล้ว
    ดังนั้น ตลอดการชม คือ สนุก และ มันส์ ไปกับหนังมาก ติดตามการดำเนินเรื่องเก๋เก๋ ได้ตลอด ไม่มีเบื่อ

    ที่ขอติ มีอยู่ สองอย่างคือ เนื้อเรื่องก็คือแนวเอเลี่ยนอ่ะ ยานลงจอดและเชื้อเอเลี่ยนเพาะพันธ์ในตัวละคร
    กับ ภาพ สามมิติ ที่ ยังพุ่ง ยังฟุ้ง ออกมา ไม่ไกลนัก เหมือน มันลอยออกมา แค่ สามแถวหน้า เท่านั้น

    และที่ต้องชม คือ ริดลี่ย์สก็อต ที่ทำหนังอวกาศได้ออกมาคลาสสิค // ถ้าเที่ยบกับ ผู้กำกับรุ่นใหม่ ก็คงจะอัด จุดหักมุม ไม่ยั้ง ตามสมัยนี้

    นักแสดงก็ยกระดับไปอีก ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ หุ่นยนต์ที่ร้ายลึกซะ ฉากหยดเหล้านี่เหี้ยมมาก, ชาร์ลีซ เธอรอน แสดงความเป็นคนเห็นแก่ตัวแบบไม่มีปิดกันเลย และ นูมิ ราเพซ ที่บทเขียนให้เธอ ยอมรับชะตาได้หมดทุกอย่าง ไม่มีเวลาจะมา ร้องไห้ฟูมฟาย ใดใด ทั้งสิ้น ทุกอย่างต้องเดินหน้า // ชอบ

  16. ผมให้ 7/10 ครับ…ผมไม่ได้ตั้งคำถามมากมายกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งจากที่ได้ดู ผลออกมาสำหรับผมก็อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจ แต่ที่ให้ 7/10 ก็เพราะรู้สึกว่าหนังไปไม่สุดในคำตอบของคำถามที่ตั้งไว้ได้น่าค้นหามากๆ แทนที่ดูแล้วจะเจอคำตอบแล้ว…เคลียร์…กลับทำให้ต้องสงสัยต่อ…ที่สำคัญที่สุดคำตอบง่ายไป แทนที่จะได้อารมณ์กับคำตอบว่า “อ่อ มันอย่างนี้นี่เอง” กลับกลายเป็นว่า “แล้วไง…ดันดลกันมาเสียตั้งไกล…เพื่อมาเจอแบบนี้แค่นี้เองหรือ” อะไรประมาณนี้แทน สรุปสุดท้าย คำตอบกลับไม่ทำให้เราได้ถึง หรือรู้สึกพิเศษเหมือนคำถามที่ตั้งไว้ เวแลนด์ดั้นดลมาหลายล้านกิโลเมตร เพื่อมาตายเป็นตอนจบที่เดาได้ง่ายมากๆ และถึงแม้ว่าตอนจบของหนังที่นางเอกต้องการไปหาคำตอบต่อไป…สำหรับผม คงไม่อยากรู้แล้ว เพราะถึงนางเอกจะไปถึงที่หมายก็ใช่ว่า จะได้คำตอบที่ตัวเองต้องการ จินตนาการ ว่านางเอกเป็นมนุษย์เพียงคนเดียว ที่ต้องพบกับ space jokey ทั้งดาวก็คงจะไม่รอดเหมือนกับคนอื่นๆ (นอกจากว่าผกก.จะมีทางให้นางเอกไปต่อเพื่อสร้างภาคต่อ)

    แต่ผมสนุกกับฉากแอคชั่นมันๆ ลุ้นระทึก ภาพสวยๆ เอฟเฟคอลังการ การแสดงของ ไมเคิล ชารีช นูมิ และ กาย เพียช มากกว่า แต่ฉากที่ชอบและจำติดตา เพราะมันน่าหวาดเสียวมากก็ ฉากผ่าตัดนี่แหละ … เสียวแทน นางเอกจริงๆ

  17. ผมละปลื้มหนังเรื่องนี้ จนอยากไปดูอีกรอบ ก็เพราะเหมือนมันจะมีบางอย่างที่พลาดไปในการดูครั้งแรก
    ผมอาจไม่ใช่นักดูหนังเท่าไหร่ และมองคำว่าบทอ่อนไม่ออก แต่มีบางอย่างคลุมช่องโหว่เหล่านั้นได้ดี
    บางอย่างนั้นก็คือ ฉากและการแทรกความลึกลับเข้าไปเต็มเปี่ยม มีหลายข้อสงสัยเกิดขึ้นหลังจากดูจบ
    และแน่นอน บางข้อมันก็ซ่อนอยู่ในหนัง แต่บางข้อมันก็ไม่เคยได้รับการเฉลยตลอดความยาวสองชั่วโมง
    ฉาก บรรยากาศความเวิ้งว้าง ช่วยให้หนังมีความลึกลับ และความลึกลับนี่ละที่ทำให้เราดูหนังได้อย่างติดตาม
    เพราะเราไม่อาจรู้ว่า ตอนไหน คำถามในใจของเราถึงจะเผยให้รู้ มันน่าสนุกตรงหาคำตอบและค่อยๆแตกประเด็นหรือทฤษฎีต่างๆได้ไม่รู้จบจนกว่าจะพบคำตอบที่แท้จริงนี่ละครับ นี่ก็คือเสน่ห์ของตัวหนัง
    ที่ทำให้มันเป็นหนังที่ถูกใจผมระดับนึงทีเดียว

  18. ในฐานะที่ไม่มีความคุ้นเคยใดๆ กับ Alien เลย ดูหนังเรื่องนี้มาอย่างโดดๆ
    ผลที่ได้คือ ผมไม่เคยดูหนังไซไฟแบบนี้มาก่อน ตื่นตาตื่นใจกับองค์ประกอบศิลป์
    ความมหัศจรรย์ของแนวคิด และรักหนังเรื่องนี้ในบัดดล

  19. ยังไม่ได้ดู ไม่กล้าออกความเห็น ว่าจะไปดูในวัน..สองวันนี้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่ถ้าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อน”Alien” เพราะเทคโนโลยี่ในเรื่อง”Prometheus”ดูใหม่กว่าทั้งวิธีการและการออกแบบ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในเรื่องจริง ที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะทันสมัยกว่าปัจจุบันในทุกๆด้าน นั่นทำให้ลดความน่าเชื่อถือตั้งแต่ยังไม่ได้ดู แต่ดิฉันเป็นแฟน”Ridley Scott”คงต้องดูให้รู้แจ้งเห็นจริง มีอีกเรื่อง..ดิฉันว่าซีจีมันเยอะจนล้น ก็น่ะ..ตามสไตล์หนังยุคนี้..เยอะๆ..ล้นๆ..

  20. ผมเป็นแฟนเอเลียนครับ แต่ก็ยังชอบในการนำเสนอของปู่ริดลีย์ในการวางเรื่องให้อยู่ในโลกเดียวกับ Alien ภาคแรก มันทำให้บรรยากาศความน่ากลัวและปรัชญาไซไฟแบบเดิมๆกลับมาอย่างที่มันควรจะเป็นซะที…แต่แอบเคืองที่แทนที่หนังจะเชื่อมสนิทกับ Alien โดยการให้คำตอบอย่างชัดเจน มันดันสร้างคำถามมากกว่าเดิมอีกเพื่อเปิดโอกาสให้มีภาคต่อ T_T หนูโดนปู่หลอกหรือนี่ 5555 แต่ชอบดีไซน์เอเลียนในเรื่องนะ ดูล้ำดี

    ผมว่าหนังแบบนี้หาดูยากมากแล้วครับในยุคที่เต็มไปด้วยหนังอลังการเอฟเฟคกระจายแบบนี้ โชคดีที่ริดลีย์ยังไม่ลืมเอนจิเนียร์ หรือซีโนมอร์ฟจนได้ออกมาเป็นหนัง Prometheus

    ขอบคุณป๋ามากครับ กับผลงานคืนฟอร์มของแกเรื่องนี้

  21. เอาจริงๆตอนที่ผมดูหนังเรื่องนี้จบบอกตรงๆว่าเฉยๆมาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมหยุดคิดถึงหนังเรื่องนี้ไม่ได้เลย ต้องมาไล่อ่านบทวิเคราะห์จากเว็บต่างๆแล้วก็ไล่ดูเอเลี่ยนทั้ง 4 ภาคใหม่

    เรื่องบทหนังและความไม่สมเหตุสมผลของตัวละครนักวิทยาศาสตร์ ตอนแรกผมเองก็คิดว่ามันเป็นความบกพร่องของผู้กำกับ แต่พอมาคิดดูอีกที มันอาจจะเป็นสิ่งที่ผู้กำกับอยากจะสื่อถึงเหตุผลที่เอ็นจิเนียร์ต้องการทำลายมนุษย์ก็ได้ นั่นก็คือ กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง อย่างตอนที่นักวิทยาศาสตร์สองคนที่ติดอยู่ในปิรามิดตายส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็น อีกส่วนก็เป็นเพราะกัปตันละทิ้งหน้าที่เพราะความต้องการทางเพศ

    เท่าที่อ่านมา (ไม่แน่ใจว่าถูกต้องรึเปล่า) รู้สึกหนังเรื่องนี้จะได้งบแค่ 65 ล้านเหรียญเท่านั้น แถมริดลี่ย์ สก็อตต์ ยังใช้ไม่ถึงด้วย งานสร้างระดับนี้งบเท่านี้คงไม่มีผู้กำกับคนไหนทำได้อีกแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสก็อตต์สร้างฉากเองและใช้ซีจีให้น้อยที่สุด ซึ่งต้นทุนการสร้างฉากนั้นถูกกว่าการทำซีจีพอสมควรเลยทีเดียว ดังนั้นสำหรับคนที่หวังจะเห็นภาคต่อของ Prometheus โอกาสสมหวังค่อนข้างสูงเพราะรายได้สองสัปดาห์ก็คืนทุนได้แล้ว แต่ว่าอย่างเร็วที่สุดคงเป็นปี 2015 เพราะปี 2013 สก็อตต์มีโครงการหนังแล้ว ส่วนปี 2014 ก็เป็นคิวของภาคต่อ Blade Runner

  22. ขอแก้นิดนึงงบสร้าง Prometheus 65 ล้านปอนด์นะครับไม่ใช่เหรียญ Bourne ภาคใหม่ 95 ล้านปอนด์ Total Recall 125 ล้านปอนด์ Dark Night Rises 150 ล้านปอนด์, Spider Man 160 ล้านปอนด์

  23. ที่แย่คือการกระทำงั่งๆของตัวละครที่เป็นนักวิทยาศาสตร์หลายๆคนในเรื่องนี่แหละครับที่ผมว่ามันดึงเกรดหนังลงมาอย่างแรง เพราะบทบาทของตัวละครที่ทำอะไรโง่ๆหรือพาตัวเองไปตายนี่มันเหมาะกับหนังสยองเกรดบีหรือหนังคัลท์มากกว่า …ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่มันดูผิดที่ผิดทางมากเมื่อมาอยู่ในหนังสไตล์แบบ Prometheus อย่างนี้ พล็อตเรื่องปูมาอย่างน่าสนใจมากจริงๆครับ แต่ตัวบทพรุนซะจนทำเอาผมเอ๋อไปเลย …ไหนๆโปรดักชั่นก็ออกมาเนี้ยบซะขนาดนี้ก็น่าจะเกลาบทให้มันเนี้ยบๆตามไปด้วยนะครับนี่

    • เห็นด้วยครับ อ่านด้านบนทั้งหมดมา ที่เห็นชัดและทำให้หนังโดนลดเกรดลงมาคือความโง่ที่ไม่สมจริงของนักวิทยาศาสตร์จริงๆครับ

  24. อีกอย่างหนึ่ง ถ้าผมจำไม่ผิด คุณสกอตต์นี่แกขึ้นชื่อเรื่องที่ว่าทำหนังเสร็จภายในเวลาและงบที่กำหนดอยู่แล้วใช่ไหมครับ (นายทุนสบายใจมากๆ) …ตรงนี้นับว่าเยี่ยมจริงๆครับ ลงทุนนิดเดียวแต่หนังออกมาอลังการมากๆ

  25. – แวบแรกเมื่อดูจบ ความรู้สึกของผมคือ ต้องอย่างนี้แหละ คือ ริดลี่ย์ สกอตต์ ความรู้สึกและอารมณ์โดยรวมของการดูหนัง SciFi Triller แบบนี้ หาได้ยากจากหนังในปัจจุบัน กลิ่นอายของ Alien ภาคแรกยังมีอยู่ในหนังของแกนะ แต่ก็ต้องยอมรับ ว่าความระทึกสู้ภาคแรกไม่ได้ ในกรณีที่ภาคแรกรู้สึกระทึกขวัญกว่า แต่ภาคนี้กลับรู้สึกลึกลับซ่อนเงื่อนกว่า

    – ผมว่าที่หลายๆคน มักจะบอกว่าบทอ่อนหลายจุด ไม่สมเหตุสมผล น่าจะเป็นเพราะ คนที่เข้าไปดูกลุ่มนี้ เป็นแฟน Alien และมีปมคำถามอยู่แล้วในใจ ดังนั้นการตีตั๋วเข้าไปดู จึงเข้าไปเพื่อต้องการหาคำตอบของคำถามตัวเอง จึงเป็นธรรมดา ที่คนในกลุ่มแฟนเข้าไปดูหนังแบบมีน้ำหนักกับความสมเหตุสมผลสูง เพราะต้องการมองหาเหตุผลอยู่ก่อนแล้ว เลยผิดหวังที่หนังดูไม่ค่อยมีเหตุผล และไม่อาจตอบคำถามที่คาใจ แถมยังเพิ่มคำถามใหม่ให้อีก ในขณะที่คนอีกส่วนที่ไม่ได้คาดหวังกับคำตอบนัก จึงพอดูผ่านไปได้

    – ส่วนตัวผม หลายอย่างที่ผมก็รู้สึกค้างคาในเหตุผลและเกิดคำถามเหมือนกัน เพราะมันเป็นจุดที่สำคัญที่เดินเนื้อเรื่อง แต่กลับไม่ค่อยจะมีเหตุผลประกอบ เช่น
    –เดวิดจะวางยาฮอลโลเวย์ทำไมถ้าอยากวางยานักทำไมไม่เป็นคนอื่น
    –ทำไมเอนจิเนียจึงโมโหนักและอยากทำร้ายมนุษย์ซะเหลือเกิน
    –และที่ผมขัดใจมากที่สุดคือตอน ดร.ชอว์น ผ่าตัวประหลาดออกมาแล้วรู้สึกเกลียดกลัวมันนักหนา ทำไมแค่กดยาฆ่าเชื้อเป็นควันๆแล้วหวังว่ามันจะตาย ถ้าเป็นผม เกลียดกลัวมันขนาดนั้น ผมกดปุ่มให้มีดผ่าตัดฉีกมันเป็นชิ้นๆ หรือเอาไฟเผามันซะยังจะดีกว่า พอฉากนี้ผ่านไปปุ๊บ ผมเดาออกเลยว่าไอปลาหมึกนั่นมันยังไม่ตายชัวร์ๆตามสูตร แล้วพอถึงฉากในยานชูชีพเจอปลาหมึกตัวเต็มวัยปุ๊บผมก็พูดในใจเลยว่า เห็นมะกรุว่าและ

    – แต่สิ่งที่ล้ำสุดนอกจากการแสดงแล้ว ผมซูฮกให้เรื่องโปรดักชั่น ของแกเลย พอได้รู้ว่าทุออย่างเป็นของจริงเกือบทั้งหมด และเป็น CG น้อยมากถึงมากที่สุด

    • – ผมว่าที่แกมาตกม้าตายเรื่องบท คงเป็นเพราะ แกตั้งจุดเริ่ม กับจุดจบ มันไว้ก่อน ว่าเริ่มมาจากอะไร และสุดท้ายจะจบยังไง เหลือคำถามอะไรบ้าง ทีนี้พอมาเขียนบท การจะพยายามโยงให้จุดเริ่มต้นมาเป็นจุดจบให้ได้ เลยทำให้ต้องพยายามลากเหตุผล เพื่อให้มันลงล็อก ทั้งหมดจึงออกมาดูไม่เนียน

    • ผมไม่ใช่แฟนเอเลี่ยน ไม่ใช่แฟนของผุ้กำกับ ครับ…
      พอหนังจบ มันเป้นความรู้สึกแบบ อ่าว จบแล้วเหรอ แล้วไงอ่ะ….แค่เนี้ยะ…
      มันไม่ได้แบบ โหยย อยากดูต่อ ภาคต่อไปจะมีมั๊ยวะ…เมื่อไหร่จะได้ดูภาคต่อเนี่ย…
      เหมือนหลายๆเรื่องที่ชอบใจมากกว่าเรื่องนี้อ่ะครับ

  26. ความเห็นหลังชมทะลุเกิน40ความเห็น
    สำหรับผมหนังเรื่องนี้ได้ให้คนคิดมากมายจริงๆครับ
    มีการเถียงในเว็บบอร์ดมากมาย ซึ่งอ่านแล้วเพลินมาก

    สำหรับผมว่านะ รีดลีย์คงสมหวังแล้วละครับ
    กับการพูดคุยเรื่องหนังของแกอย่างนี้

    สนุกครับ หาครับ หาความจริงอีก

    หนังเรื่องนี้ยังมีให้ค้นหาอีกเยอะครับ

    • มันมี 2 เหตุผลที่ทำให้คนออกมาคุยกันต่อ หลังจากดูหนังจบครับ
      อย่างแรกก็คือ 1. บทหนังมีความลึกซึ้ง มีสิ่งที่แฝงเอาไว้ให้ถกกันต่อ หรือมีปลายเปิด และอย่างที่ 2 ก็คือ บทหนังไม่เคลียร์ หรือให้คำตอบที่ไม่พอเพียง ซึ่งผมว่าหนังเรื่องนี้เป็นอย่างหลังครับ

      • – จริงครับ ลองเทียบกับ INCEPTION ซึ่งมีบทหนักแน่นจริงผูกปมให้เรามาถกกันต่อเหมือนเรื่องนี้ แต่ในการถกเถียงกันก็มีแกนของมันอยู่ เพราะมีทฤษฎีที่มั่นคงอยู่แล้ว ทำให้ยิ่งคุยกันก็ยิ่งมันส์ อันนี้เข้าแบบข้อแรกที่คุณ Jediyuth ว่าไว้

        – แต่ของ PROMETHEUS มีปมให้ถกกัน แต่ปมมันไม่มีแก่น ไม่มีเหตุมีผล ดังนั้นสังเกตว่าคำตอบส่วนใหญ่ คือโยงกันไป คาดกันว่า น่าจะเป็น ซะมากกว่า สุดท้ายมันก็จะถกกันไม่สนุก เพราะที่ถกกันก็ไม่รู้มันจะถูกหรือผิด แค่เดาๆกันไป คนที่รู้มีแต่คนเขียนบทกับผู้กำกับ

  27. อ่านวิจารณ์ดูจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่กลับมีการแสดงความเห็นมากมาย(กว่าทุกเรื่อง)อย่างน่าประหลาด
    มันเกิดอะไรขึ้น(ในความรู้สึก)หลังดูหนังแล้วหรือครับ…แปลกใจจริงๆ

  28. เป็นจุดเริ่มต้นจริงๆอ่ะครับ…
    แบบว่า เริ่มต้น ว่าเอเลี่ยนเกิดจากอะไร ซึ่งถ้าใครอยากรู้ว่าต่อไปเป็นไง….ก็คงไปตามดู เรื่องเอเลี่ยน เอาเอง…
    ที่น่าสนใจที่สุดสำหรับผม…
    คงอยากรู้ว่า ดาวบ้านของผู้สร้างจะเป็นยังไง…แล้ว นูมิจะรอดไปได้ถึงแค่ไหน….
    ถ้าจะมีต่อ…คงเน้นไปในเรื่องราวทิศทางของนูมิมากกว่า

  29. ผมคิดว่าประเด็นเรื่องการตัดสินใจของกัปตันนั้นพอเข้าใจได้ง่ายนะครับ
    ถึงดูจะไม่สนใจชีวิตลูกเรือคนอื่นเท่าไหร่ พร้อมจะกลับบ้าน
    แต่เพราะนางเอกบอกว่าถ้าปล่อยยานต่างดาวไป จะไม่มีบ้านให้กลับ
    ถ้าเป็นเราจะทำยังไงในเมื่อหนทางเดียวที่จะรักษาโลกไว้ได้คือขับยานชน
    หรือเราจะไม่สนใจโลก แล้วใช้ชีวิตบนยานก็ได้ ???
    เรื่องทีมนักวิทย์ฯนั้น กระทู้นึงในพันธิปวิเคราะห์เรื่องหนังเอเลี่ยนกับระบบทุนได้น่าสนใจดีครับ
    ที่ระบบนายทุนเป็นใหญ่ สามารถออกทุนไปสำรวจดวงดาวไกลโพ้นด้วยทุนบริษัท
    ทั้งกัปตัน ลูกเรือ นักวิทย์ ถ้าเทียบกับทหารก็เหมือนเป็นทหารรับจ้าง มากกว่าจะเป็นนาวิกโยธิน
    เดาว่าการคัดเลือกคงเป็นผู้จ้างคัดมาเอง ก็ดูไม่แปลกละครับที่จะได้คนที่ดูไม่น่าเป็นนักวิทย์ตัวเก๋านัก
    วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการสำรวจก็ไม่แน่ชัด

  30. ….

    ….

    จากประสปการดูหนัง ความแปลกใหม่ ความปลอดภัย ความเสี่ยง
    ยังไงก้ต้องพกปืนหรืออาวุธไปบ้างครับ
    ถอดหมวกกันง่ายๆ จริงอย่างที่ พี่เจไดบอก มาตั้งไกล
    จะอดใจเก็บตัวอย่างไปทดลองอีกซักวันเพื่อหาความเสี่ยงในการถอดหมวกซักหน่อยไม่ได้หรอ ผมว่ามัน ไร้เหตุผล มันจัดตั้งเกินไป
    คล้ายกับเหตุการในหนัง เรื่องเรดแพลนเนต ดาวแดงเดือด ที่ว่าต้องรอจนอากาสหมด เลยจำต้องถอดหมวก
    ซึ่งผมคิดว่า ทำได้สมเหตุผล และมีที่มา รวมทั้งลุ้นๆ ดีด้วย
    หลายเหตุการทีมันดู ขาดๆ เกินๆ จนหงุดหงิด ฉากจำก้ดูจะมีตอน ผ่าตัดที่ทำได้ กดดันสุดๆ เจ๋งมาก
    ผมให้ 6 /10 พอครับ หนังคุ้มกับโปรวันพุธ อยู่นะ

  31. ประเด็นของบทหนังที่มีปริศนามากมายจนทำให้มีการคุยกันต่อนี่คล้ายกรณีของ Lost เลย ผมรู้สึกเหมือนเป็นกลวิธีการเขียนบทหนึ่งของเฮีย Lindelof ที่ชอบตอบปริศนาหนึ่งด้วยปริศนาหนึ่ง ซึ่งไม่ช่วยคลายความสงสัยแต่กลับเพิ่มความอยากรู้เข้าไปอีก ผมดู Prometheus ก็รู้สึกถึงปริศนามากมายที่มีคำตอบเป็นปริศนาแบบ “กั๊ก” ไว้เพื่ออธิบายในภายหน้า มันเลยเป็นความรู้สึกไม่สมดุลย์ระหว่างงานสร้างที่ดูดีสุดๆจนอยากปรบมือให้ กับด้านตัวบทและเนื้อเรื่องที่ปูมาน่าสนใจแต่ดูจบแล้วกลับรู้สึกเหมือนไม่อิ่ม และเสียดายสุดๆกับเมเรดิธ วิคเกอร์สที่ชาร์ลิซ เธอรอนช่างดูสวย สง่า น่าค้นหา แต่บทจะถูกขีดให้จบก็จบเหมือนตัวประกอบตัวหนึ่ง หวังให้เธอมีโคลนหรือเป็นดรอยด์โผล่ออกมาภาคหน้าจังเพราะเธอดูเจิดมาก

    ประเด็นปริศนาเรื่องการทำลายมนุษย์ ไม่รู้ผมจำผิดไหม แต่ Engineer ในฉากแรกแกซดของเหลวสีดำเข้าไปนี่นา? ถ้าตีความว่าร่าง Engineer สลายและวิวัฒนาการกลายเป็นมนุษย์ ก็นับได้ว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาจากของเหลวสีดำด้วย? แม้จะมีโครงสร้าง DNA ความคิด สติปัญญาที่เหมือนกับ Enginner แต่ก็มีความก้าวร้าวและชั่วร้ายเหมือนสัตว์ประหลาดอื่นๆในเรื่องอยู่ด้วย ซึ่งเป็นเหตุผลให้พวก Engineer อื่นๆหาทางทำลายมนุษย์?

  32. ตั้งแต่จำความได้ ก็อยู่ในโรงหนังพร้อมกับ
    หนังที่มีสัตว์ประหลาดหัวยาวๆ ตัวดำๆ ALIEN 3 นั่นเอง
    จำได้ว่าแม่พยายามปิดตา เวลามีฉากที่เอเลี่ยนฆ่าคน
    แต่เราก็มักจะแหวกมือแม่ออกมาดูความสยองนั้นอยู่ดี
    ดูจบลืมขวดนมไว้ในโรงด้วย
    แต่ดีใจมากที่ได้กลับไปมีความรู้สึกนั้นอีกครั้ง
    เบิกตาโพลง ตื่นเต้น รุกเร้า และติดตา
    เมื่อดู PROMETHEUS
    ถึงแม้หนังจะมีแง่มุมที่ไม่ค่อยคลิกไปบ้าง
    แต่โดยรวม ผมให้ 8.5/10
    ด้วยความคลั่ง ALIEN เป็นการส่วนตัวมา 26 ปี
    แค่ได้กลับมาค้นหาความจริงกับมันก็
    ตื่นเต้นเร้าหัวใจจะตายคาที่นั่งแระ

    ASSXYZTM

  33. ติดแต่นิดเดียว ด้านการสร้างความสะเทือนใจ
    – ฉากก่อนแฟน ดร ชอวร์ โดนเผา ยังไม่พีคถึงขั้นต้องมาพลีชีพตาย
    และอารมณ์ของ เธอรอน ก็ยังไม่ถึง หน้าตาไม่เยือกเย็นพอ
    – ฉาำกที่กัปตัน จะต้องสละยาน อารมณ์ที่ชอว์ส่งก็ยังไม่ถึง ที่จะทำให้กัปตันอินกับสถานการณ์ได้มากพอ
    หนังควรจะบีบคั้นให้รู้สึกตระหนักถึงความตายให้มากกว่านี้ ฉากทรมานยังไม่มากพอ
    และความศรัทธาของคนกับพระเจ้าก็ยังไม่แรงพอที่จะสะเทือนวงการวิทยาศาสตร์

  34. มีอยู่ 2 อย่างที่ คนพูดถึงหนังเรื่องนี้ 1.คือวิจารณ์ตัวหนังเอง 2.คือวิเคราะห์เรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหนัง สำหรับ หัวข้อวิจารณ์หนังนั้นผมได้เขียนก่อนหน้านี้แล้ว เพราะฉะนั้นในคอมเม้นต์นี้ผมจะพูดถึงเหตุการณ์ในหนังเท่านั้น (เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับซึ่งผมอาจจะสันนิษฐานผิดก็ได้)

    หากสังเกตุดีๆ หนังมีการพูดถึงหลายประเด็นมาก ซึ่งจะค่อยๆ ไล่ลำดับไปเรื่อยๆ ครับ

    1. เริ่่มจากต้นเรื่อง ที่ Engineer กินสารบางอย่างที่ทำให้เป็นการสลายตัวเองจนถึง DNA เพื่อให้ DNA ของตน สร้างสิ่งมีชีวิตใหม่บนโลก ซึ่งก็คือ มนุษย์นั่นเอง ด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องการสร้างสัตว์ทดลองทีมีลักษณะคล้ายกับตนเองมากที่สุด หากสังเกตุในประเด็นนี้ ในการทดลองวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์มักจะทดลองสารทดลองต่างกับ “หนู หรือ ไม่ก็ ลิง” ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด ดังนั้นผมขอสันนิษฐานว่า “มนุษย์ บน โลกที่เกิดจาก Engineer เพียงตนเดียวเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ Engineer ก็สร้างมนุษย์ ขึ้นมาเพียงเพื่อเป็นสัตว์ทดลองทางวิทยาศาสตร์ของตนเท่านั้น คุณค่ามีอยู่แค่นั้น”

    2.เมื่อมนุษย์เป็นเพียงสัตว์ทดลอง Engineer จึงไม่ต้องการให้มีวิวัฒนาการเหนือ ผู้สร้าง หรือเทียบเท่ากับผู้สร้าง เพราะหากมีวิวัฒนาการเทียบเท่าหรือเหนือกว่า สัตว์ทดลองกลุ่มนี้ก็จะไม่อยู่ในอานัดของตนอีกต่อไป อาจจะลุกขึ้นมาต่อต้าน Engineer หรือกลายเป็น ศัตรูใหม่ของ Engineer ได้ ประเด็นนี้ วิเคราะห์ได้จากคำพูดของ เดวิดที่ว่า “ลูกทุกคนอย่างให้ พ่อแม่ ของตนเองตาย เพื่อจะได้เป็นอิสระ” Engineer ก็คงจะมีมุมมองเดียวกัน วิวัฒนาการจะทำให้มนุษย์หันมาทำลายตนเอง ซึ่งผมคิดว่า Engineer กลัวประเด็นนี้อยู่ จึงได้ทิ้งร่องรอยที่เป็นภาพเขียนสีโบราณเอาไว้ ที่ชอว์บอกว่ามันคือคำเชิญ “ผมคิดว่านางเอกวิเคราะห์ผิด” การที่ Engineer ทำอย่างนี้ได้ประโยชน์ 2 อย่างแก่ตนเอง 1. เป็นความรอบคอบของ Engineer เอง เพราะคงคิดไว้แล้วว่า สัตว์ทดลองที่เกิดจาก DNA ของตน จะต้องมีวิวัฒนาการ แต่หากมีวิวัฒนาการ จนเดินทางท่องอวกาศได้ ผมคิดว่า Engineer คงจะไม่อยากให้สัตว์ทดลองของตนเองไป ถึงดาวบ้านเกิดของตนเอง “ในเมื่อ Engineer คิดกลัวไว้แล้วว่า วิวัฒนาการจะทำให้สัตวทดลองกลายเป็นศัตรูได้ ใครจะให้ที่อยู่จริงของตนเองละจริงไหมครับ ให้ที่อยู่หลอกๆ ไป แล้วฆ่าทิ้งที่ดาวดวงนั้นเลยจะดีกว่า 2.ประโยชน์ด้านความเชื่อ จะเห็นได้ว่าหนังมีการพูดถึง ศาสนา ความเชื่อ และผู้สร้างด้วย Engineer ต้องการให้มนุษย์เชื่อในตนเอง เป็นมนุษย์ถ้ำเชื่อในก้อนหินก้อนดิน เชื่อในผู้สร้าง เพื่อที่ว่าหากจะทดลองด้านวิทยาศาสตร์อะไรก็ตามจะได้ทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งประเด็นนี้วิเคราะห์ได้จาก ความสับสนด้านความเชื่อในใจของ ชอว์เอง ที่จะเชื่อในศาสนา หรือผู้สร้างดี

    3.น้ำสีดำ อยู่บนดาว นั้น เป็นความจงใจของผู้เขียนบทเองที่ต้องการขยายขอบเขตของหนังออกไป ด้วยประเด็นที่ว่า “น้ำสีดำนั้น สามารถทำอะไรได้บ้าง” นั้นหมายความว่า น้ำสีดำจะให้ผลลัพท์ที่แตกต่างกันไปแล้วแต่ ตัวบุคคล สถานที่สภาพอากาศ สภาพจิตใจของผู้ที่ถูกน้ำสีดำสัมผัส มันจะไม่ให้ผลลัพท์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น ไฟฟิล ที่กลายเป็น ซอมบี้บ้าคลั่ง ชาลี หรือแม้กระทั้ง ชอว์เองที่ดันมีลูกเอเลี่ยนเกิดในท้องเพราะสารสีดำนี้

    4.ทำไม เดวิด จึงเอาน้ำสีดำให้ ชาลีกิน ผมวิเคราะห์ว่า เดวิดก็คงรู้ไม่ต่างจากคนอื่นๆ ว่าชาลียอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองทำ และศรัทธา ชาลีจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะที่สุดในการทดลองกินสารสีดำ

    5.ทำไม Engineer ถึงฆ่าคนทันทีที่ เดวิดปลุกให้ตื่น นั้นก็เนื่องจากเหตุผล ในข้อที่ 1 – 2 Engineer ไม่ต้องการเห็น สัตว์ทดลองของตนมีวิวัฒนาการเทียบเท่ากับตน เมื่อ Engineer ลูบหัว เดวิด ซึ่งรู้ว่ามนุษย์ได้มีวิวัฒนาการสูงมากขนาดนี้แล้ว จึงต้องฆ่าทิ้งเสีย หากสังเกตในประเด็นนี้ Engineer ตนนี้ได้หลับไหลมา 2,000 กว่าปีแล้ว ซึ่งหากจะย้อนกลับไป Engineer ก็จะเอาสารสีดำไปปล่อยบนโลกแล้วตั้งแต่ 2,000 กว่าปีก่อน แต่เกิดเหตุไม่คาดคิด สารสีดำรั่วไหล ฆ่า Engineer ตาย สิ่งต่างๆเลยไม่เป็นไปตามแผน ซึ่งหากเป็นไปตามแผน มนุษย์คงจะไม่รอดตั้งแต่ 2,000 กว่าปีก่อน และหากพิจารณาให้ดี ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่เกิดศาสนาใหญ่ขึ้นบนโลกพอดี ไม่ว่าจะเป็น พุทธ หรือ คริสต์ ซึ่งทำให้มนุษย์หันเหความเชื่อของตนเอง ไม่เชื่อในผู้สร้างแล้ว

    ดังนั้น phometheus จึงอุปมาได้ กับคนที่มีวิวัฒนาการ จนเทียบกับ Engineer (เทพ) จนอาจจะสร้างกลายเป็นศัตรูต่อสู้ กับ Engineer ได้ถ้ารู้ว่า Engineer สร้างตนเองขึ้นมาเพื่ออะไร และ ไฟที่ว่านั้นก็คือ เดวิด หรือ วิทยาศาสตร์ หรือ เทคโนโลยี นั่นเอง

    ต้องขอขอบคุณ เวปไซด์พันทิป และเจ้าของกระทู้ที่ได้วิเคราะห์เรื่องนี้ไว้ครับ
    http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A12215473/A12215473.html

  35. ผมว่า วิจารณ์กันไปคนละประเด็นมากกว่า

    คุณเจไดยุทธ พูดถึงในแง่ของ ความหนุกในการดูหนัง

    ในขณะที่คุณอินทราวิเชียร พูดในแง่ของการตีความหนัง

    ซึ่งจะสังเกตได้ว่า คุณเจไดยุทธ ไม่ค่อยพูดถึงในแง่ของการตีความอะไร มากไปกว่าความสมเหตุสมผลของการกระทำของตัวละครในหนัง
    ในกรณีนี้แล้ว ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับคุณอินทราวิเชียรมากกว่าในหลายๆ แง่ หลายๆ มุม

    ตีความหนัง อ่านแล้วสนุกดี ได้อะไรหลายๆ อย่างมากกว่าความสนุกในการรับชม

    เหมือนกับการที่เราพิจารณาฆาตกรคนหนึ่ง
    แทนที่จะตัดสิน วิจารณ์ความผิด และคดีที่เขาได้ก่อไว้
    ก็บวกกับการวิเคราะห์ถึงอดีต ปมในใจ เพราะอะไรทำให้เขาต้องกลายมาเป็นฆาตกร

    มันได้เห็นอะไรหลายๆ ด้านดี

    • ต่างคนก็ต่างความคิดครับ แตกต่างแต่ไม่แตกแยก

      ผมว่าทั้งคุณเจไดยุทธและคุณอินทรวิเชียรเองก็ไม่ได้ต้องการให้ใครเชื่อหรือคล้อยตามกับความคิดเห็นของเค้านะครับ เพราะมันคือการแสดงความคิดเห็น ซึ่งแต่ละคนก็มี “แนวทาง” ในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกันไป คุณเจไดยุทธ เน้นการใช้ความสมเหตุสมผลในการแสดงความคิดเห็น จากสิ่งที่ปรากฏในหนัง ซึ่งมันมีหลักฐานและน้ำหนักเพียงพอ เพราะมันปรากฏชัดเจนอยู่ในหนัง ในคำพูดของตัวละคร ส่วนคุณคุณอินทรวิเชียรก็มี “แนวทาง” ในการแสดงความคิดเห็นในแบบตีความ จากสิ่งที่ปรากฏในหนังบวกกับการคิดเชิงวิเคราะห์จากข้อมูลประกอบและส่วนนึงจากความคิด ซึ่งจะเปิดแง่มุมที่มากกว่าของคุณเจไดยุทธ แต่ว่าถ้าจะว่ากันตรงๆ แล้วแนวทางของคุณเจไดยุทธมันมีหลักฐานในหนังครับ ขณะที่แนวทางของคุณอินทรวิเชียรซึ่งอาศัยการวิเคราะห์ได้น่าสนใจ แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน จะเป็นยังไงถ้าตีความผิดไปจากจุดประสงค์ที่แท้จริงของริดลี่ย์ สก๊อต หรือผู้เขียนบท บางที Engineer ที่เราเห็นกันอาจจะไม่ใช่ Engineer ก็เป็นได้ ทีนี้ก็อยู่ที่ใครจะเห็นด้วยกับความคิดเห็นของใคร สำหรับผมการตีความก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ความสมเหตุสมผลจากสิ่งที่ปรากฏมันคือสิ่งที่เป็นจริงครับ

  36. พี่ข้างบน มาวิเคราะห์วิจารย์กันเองทำไม ผมไม่เข้าใจ

    ผมคิดว่าหนัง ถ้ามันไม่สนุก ดูแล้วไม่อิน ต่อให้หนังมีความ

    สมเหตุสมผล ยังไงมันก็ไม่สนุกนั่นแหละ ตีความยังไง มันก้เหมือนหลอกตัวเองว่าหนังที่เราไปดูมันสนุก

    มันมีของ มันลึกลับซับซ้อน เจ๋ง เท่ แต่ความจริงคือ คุณอินกับมันมากแค่ไหน แค่นั้นแหละ

    หนังเรื่องนี้ ผมดุแล้วไม่อิน ไม่คล้อยตาม แล้วผมมาเข้าเวบ ดูคนอื่นตีความต่างๆ นาๆ

    จะถูกตามที่หนังอยากบอกรึเปล่าก็ไม่มีไครบอกได้ ผมว่า มันก็ไม่ใช่อยู่ดี

    ผมดุหนังอย่างอินเซบชัน อย่าง อินเทอนัล ซันชาย หรือ เมทริก ทำไมผมเข้าใจได้

    เพราะว่าหนังเค้าทำได้ไง แต่กับ โพรมีทีอุส มันไม่ใช่เลย

    • ถูกแล้วครับไม่มีใครเข้าใจอะไรทั้งนั้นครับ หนังเรื่องนี้ไม่มีข้อเท็จจริงเลยแม้แต่ความเข้าใจหรือสิ่งที่พูดออกมาของตัวละครในเรื่องก็เดาเอาเองล้วนๆเพราะทุกคน”เลือกที่จะเชื่อ”แค่นั้นเองครับ

    • กฎของหนัง Sci-Fi หรือแม้แต่แนวอื่นๆ คือ อย่าหาเหตุผลใดๆที่มันเกิดขึ้นเลย เพราะเกิดมันมาจากจินตนาการของผู้สร้างหนัง ถ้าคุณไม่เดินเข้าไปในจินตนาการของเขาแล้วพยามต่อต้านด้วยความรู้สึกนึกคิดของตัวเองว่ามันไม่จริง อะไรๆ ก็จะดูไม่ถูกใจซะหมดนั่นแหละ

  37. ดูมาแล้วส่วนตัวแล้วชอบเรื่องนี้นะครับ แต่สงสัยอยู่นิด ในเรื่อง กาย เพียช เล่นเป็นใครอ่ะ ^^”

  38. หนังเรื่องนี้มีดีอีกอย่างนะครับ มันทำให้เรารู้ว่ามีคนเข้าชมเวปนี้มากแค่ไหน ดูสิแค่หนังเรื่องนี้ก็ 90+ Comment แล้วครับ ตั้งแต่เล่นเวปนี้มาไม่เคยเห็นหนังเรื่องไหนทำให้คนมาถก มาDiscussกันมากเท่านี้มาก่อนเลย

  39. มาตอนนี้ช้าไปป่าวหว่า ตลาดวายยังเนี่ย

    ผมชอบประเด็นนึงที่มีแฟนเมืองนอกตีความไว้
    เค้าเดาว่าที่เอนจิเนียร์จะฆ่ามนุษย์ทิ้งเมือประมาณ 2000 ปีก่อน ก็คือตอนที่พระเยซูตาย แสดงว่าการที่มนุษย์สังเวยบุตรของพระเจ้าเข้าทำให้เอนจิเนียร์เปลี่ยนใจทำลายมนุษย์ทิ้งซะ
    ผมรู้สึกมันดูเข้ากับทฤษฎี alien god ดีครับ

  40. เข้ามาดู…
    กร๊าก! ไม่ใช่ละ 555+
    ยังไม่ได้ดูเรื่องนี้ แต่พี่สาวไปดูมา
    จากคำบอกเล่าของพี่สาว บอกแค่ว่าเฉยๆไม่ได้อะไรมาก
    แต่ประเด็นที่พี่เน้นนักหน้าคือ

    “ดูทั้งเรื่อง ตื่นเต้นสุดก็ตอนนางเอกวิ่งแล้วกระโดดข้าม กลัวคุณเธอพลาด เพราะดูอ้วนเตี้ยสั้นเหลือเกิน”

    -*-
    เอาเถอะ 55+

  41. ความเห็นส่วนตัว ไปดูมาแล้วผมว่าความสมเหตุสมผลก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรถึงขนาดนั้นนะครับ

    1. ถอดหมวกออกไม่เห็นแปลกเลยครับ คนเรามีความอยากรู้อยากเห็นอยู่สูงมาก ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นก็พูดยากครับ ยิกนักวิทย์ฯ อะตัวดีเลยครับ

    2. ไม่กลัวงู อันนี้ก็ไม่แปลกครับ หากเป็นคนประเภทชอบสัตว์(นักไบโออยู่แล้ว) อย่างบางคนหลงรักพวกสัตว์เลื้อยคลาน หรืองูอยู่แล้วด้วยครับ (ในเรื่องก็พูดอยู่ว่า “สวยงามมาก..” แล้วก็เข้าไปดูมัน)

    3. ทำไมต้องหลบซ่อนตัว… โดยส่วนตัวผมว่าเป็นเหตุผลที่ว่าต้องการปิดบังจุดประสงค์การมาที่แท้จริงครับ อีกทั้งยังอยู่ในเครื่องเพื่อช่วยยืดอายุเอาไว้จนกว่าจะสามารถค้นพบสิ่งที่ตนเองต้องการได้สำเร็จด้วยครับ

    4. กัปตันเกรียน อันนี้ผมไม่เห็นว่าจะเป็นประเด็นตรงไหนเลยครับ คนเรามีทั้งพฤติกรรมแสดงออก และหลบซ่อน มนุษย์เราเองไม่ได้มีแค่บุคลิกเดียวซักหน่อยครับ อยู่บ้านเราทำอย่างนึง ที่โรงเรียนเราทำอย่างหนึ่ง เจออาจารย์เราทำอย่างหนึ่ง อยู่กับเพื่อนทำอีกอย่างหนึ่ง ภาษาพูดก็แตกต่ากันไปตลอด ดังนั้นจึงไม่อาจบอกได้ว่ากัปตันต้องมีความรับผิดชอบตลอดเวลา(ในขณะนั้นเป็นเวลานอนกันแล้วด้วย ไม่จำเป็นต้องไปอยู่คุมอะไรเลย) และไม่อาจบอกได้ว่า กัปตันเกรียน ๆ จะกอบกู้โลกไม่ได้

    5. ห้ามพกอาวุธ อันนี้ผมออกจะเห็นด้วยกับคุณเจไดยุทครับโดยปกติแล้วควรยอมให้พกไป เพราะการสำรวจมีความไม่แน่ ไม่นอน อุปกรณ์ควรพร้อมเอาไว้เสมอครับ (แต่จะพกไปหรือไม่ บทหนังก็ไม่เปลี่ยนไปหรอกครับ)

    ที่ผมสงสัยอยู่คือ…

    1. ปลาไหลในถ้ำนั่น มาจากใส้เดือน ผสม น้ำดำใช่หรือไม่ ?
    2. ของเหลวสีดำ ทำไมถึงมีการแสดงผลที่ต่างกัน และมีรูปแบบใดที่สามารถเกิดขึ้นได้บ้าง ?
    3. ของเหลวสีดำต้นเรื่องมีผลคือสลายสิ่งมีชีวิตเพื่อเป็นต้นแบบการสร้างสิ่งมีชีวิตใช่หรือไม่ ? (ในกรณีนี้ ในหนังว่า DNA ของ Engineer เหมือนกับของมนุษย์ 100% แสดงว่าสร้างเฉพาะมนุษย์ ส่วนสัตว์อื่น ๆ ไม่ได้สร้างขึ้น)
    4. เหตุใดปลาไหลกลายพันธุ์ และปลาหมึกกลายพันธุ์(ต้นแบบ Alien) ที่ได้รับผลกระทบมาจากของเหลวสีดำ จึงมีเลือดเป็นกรด แต่มนุษย์ เองหากถูกสร้างจากของเหลวชนิดเดียวกันนี้เช่นกัน ทำไมเลือดจึงไม่เป็นกรดไปด้วย (แม้ยังไม่รู้ว่าปลาหมึกมีเลือดเป็นกรดหรือไม่ แต่ Alien ภาคต่อจากนี้ก็ได้รับความสามารถนี้ติดตัวไปด้วยตลอด)
    5. ทำไมสุดท้ายแล้วนางเอกจึงมีความคิดว่า Engineer จะทำลายโลก แล้วเกิดเปลี่ยนใจ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังคิดว่า Engineer คิดจะทำลายล้างโลกและขอให้ทำลายยาน Engineer อยู่เลย
    6. รูปสลัก Alien ที่ยานนั่นมาจากไหน หากว่า Alien ตัวแรกเพิ่งเกิดจากปลาหมึกผสมกับ Engineer (ผสมคนแล้วเป็นปลาหมึกตััวเบอเร่อ แต่พอไปพักดักแด้ใน Engineer เลยได้ลักษณะโครงสร้างแบบ Engineer มาด้วย ผิวตัวกลายเป็นตะกั่วโครงกระดูก แต่หลังจากนั้นออกไข่มากลายเป็น Alien ที่เราเห็นในภาคแรกต่อรึ ? ตัวมันเล็กกว่าปลาหมึกเยอะเลยนะ และตอน Alien 4 เอามันไปฝากท้องไว้ที่ลิปลี่ ออกมากลายเป็น Alien ที่ใกล้เคียงกับคนมากขึ้นไปอีก – -“)
    7. ดาวในเรื่อง Prometheus นี้เป็นดวงเดียวกันกับในเรื่อง Alien หรือไม่ ?
    ถ้าไม่ใช่ แล้ว Alien มันตามไปยังดาวภาคแรกได้ยังไง ?
    ถ้าใช่ แล้วศพมนุษย์หายไปไหน ?
    8. เหตุใดจึงมีภาพวาดบนโลกที่ชี้มายังดาวที่เป็นแหล่งเก็บสินค้า(น้ำดำ)ของ Engineer ?
    9. ฯลฯ

  42. จากการที่คอมเม้นยืดยาวขนาดนี้ แปลว่า Ridley Scott ประสบความสำเร็จแล้ว เค้าสามารถสร้างปมให้คนต้องมาถกคิดกัน เพราะถ้าหนังมันดูไม่รู้เรื่องเพราะมันห่วยคนจะไม่มาถกกันแบบนี้หรอกครับ ปรบมือให้ Scott คนเก่งครับ

  43. ขอแสดงความเห็นอีกสักอันนะครับ
    ถูกแล้วครับไม่มีใครเข้าใจอะไรทั้งนั้นครับ หนังเรื่องนี้ไม่มีข้อเท็จจริงเลยแม้แต่ความเข้าใจหรือสิ่งที่พูดออกมาของตัวละครในเรื่องก็เดาเอาเองล้วนๆเพราะทุกคน”เลือกที่จะเชื่อ”แค่นั้นเองครับ
    หลายคำถามที่ก่อให้เกิดความสงสัยนั้น ผมคิดว่าต้องเดาเสียมากกว่าว่ามันมาจากเหตุอะไร
    คำถามประเภททำไมไม่พกอาวุธ ทำไมกล้าถอดหมวก ผมว่าเหล่านี้มันเป็นเหตุผลทางภาพยนต์มากกว่าครับที่พยายามจะบอกคนดูว่าที่นี่ปลอดภัยไม่มีอันตราย แต่พวกเราดันรู้แล้วว่าพวกเอ็งตายแน่
    ทำไมกล้าไปเล่นกับต่างดาวงูนั่น ก็เพราะมันเป็นข้อบังคับของหนังสยองขวัญที่ต้องมีเหตุการณ์พาตัวเองเข้าไปสู่ความหายนะ เป็นการบูชายัณตัวละครเพื่อเปลี่ยนโทนของหนังให้เพิ่มความเป็นหนังสยองมากยิ่งขึ้น

  44. เกินร้อยแล้ว (ฮา ฮา)

    แต่นั่นก็จริงครับ หลาย ๆ เรื่องที่เรารู้จากหนัง คือสิ่งที่ตัวละครคิดเอง พูดเอง ไม่มีข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้

    – อย่างน้ำดำนั่นเป็นอาวุธจริงรึเปล่าก็ยังไม่รู้ ?
    – การเชื้อเชิญ แน่ใจหรอว่า Engineer เชิญให้มา (อันนี้แน่นอนว่าคิดผิดแล้วหละ)
    – ยานนี้เป็นคลังอาวุธจริงหรอ ? อาจเป็นยานขนส่งสินค้าอันตรายไปทำลายแล้วเกิดขัดข้องก็ได้ใครจะรู้
    – การถูกตั้งโปรแกรมไปที่ดาวโลก ไม่ได้หมายความว่าจะไปทำลายดาวโลกเสมอไป (คิดกันเอาเองทั้งนั้น) Engineer ก็ไปเยือนโลกมาก่อนแล้วมากกว่า 1 ครั้งด้วย จากหลักฐานเรื่องภาพบนผนัง
    – Engineer จะเอายานไปถล่มโลก หรือบินหนี อันนี้ไม่อาจรู้ได้ อาจหนีกลับบ้านก็ได้ (นั่นหมายความว่า Engineer ไม่มีเหตุต้องการทำลายมนุษย์ แต่ที่ทำร้ายมนุษย์ที่ปลุกตนขึ้นมาเพราะได้ฟังข้อเรียกร้องที่แสนมักง่ายจากปากเดวิส)

    ยังมีอีกหลายข้อสงสัยครับ
    1. ทำไม Engineer ตัวอื่นบนยานถึงใส่หน้ากากกันหมด เพื่ออะไร ? เพราะ Engineer ตัวสุดท้ายมันไม่ได้ใส่ชุดอะไรเลย วิ่งตัวโล่งบู๊เลย
    2. ตัวปลาไหลที่เข้าไปในร่างของนักไบโอ มีดักแด้ต่อหรือไม่ ? (เดิม Alien จะเป็นปรสิทเกาะเหยื่อ โดยไม่ทำร้ายเหยื่อเพื่อให้เหยื่อมีชีวิตต่อไป อย่างภาคแรกถ้าจำไม่ผิดมันแค่ขู่เหยื่อเท่านั้นว่าห้ามแยกมันออก แต่เจ้าปลาไหลนี่เล่นหักแขนทิ้งเลย สุดยอด – -“)
    3. ตัวอะไรที่ฆ่า Engineer ในยานทั้งลำ (ในเรื่องไม่มีบอกเอาไว้เลย พอยาน Prometheus มาถึงก็ไม่มีตัวอะไรอยู่ที่นั่นแล้ว)
    4. space jockey ที่อยู่ใน Alien มีซาก Engineer ที่ใส่หน้ากากนอนตายบนแท่นบังคับยาน ดังนั้นจึงน่าจะไม่ใช่ space jockey ลำนี้ แล้วถ้าอย่างนั้น Alien มาจากไหนกันแน่ ? (Engineer ผสมน้ำดำก็ไม่สามารถเป็น Alien ได้อยู่แล้วดูจากต้นเรื่อง ต้องมีตัวช่วยซินะ)
    5. ฯลฯ

  45. ผมว่า หนังเรื่องนี้ ยืมชื่อต้นกำเนิดเอเลี่ยนเท่านั้น แต่ดูแล้วหนังกลับสร้างปริศนาที่ไม่มีการเฉลยให้คนดูจนหนังจบ แถมยิ่งดูเหมือนจะเป็นการ Remake หนังเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ถามว่าหนังสนุกไหม หนังให้อารมณ์ที่ไม่สุด แต่ไม่ได้ห่วยอะไร ที่ไปดูเพราะละลึกความหลัง ไซไฟ สยองขวัญเท่านั้นเอง

  46. viral VDO ตัวใหม่เพิ่งออกเมื่อวานครับ เพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนหรืออาจทำให้งงมากกว่าเดิม http://m.youtube.com/watch?v=R2pMXsYXZyQ

    ตอนท้ายมีการบอกว่าเจอกันที่งาน comic con 2012

    งงเลยครับ หนังยังโกยเงินอยู่จะรีบออกแผ่นแล้วหรอ รึว่า! จะมี FINAL CHAPTER ตามมา

  47. ทุกคนทราบหรือไม่ว่า ในหนังจริงๆแล้วลูกของเวย์แลนด์นั้น เป็นกระเทย (จึงทำให้เวย์แลนด์ ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ) เพราะว่าถ้าดูในหนังสังเกตุไหมว่า เครื่องที่ผ่าตัดให้นางเอกเอาเอเลี่ยนออกมาจากท้อง บอกว่าเป็นเครื่องที่ใช้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น และตอนแรกสุดที่ชอว์นวิ่งเข้าไปกดเล่นแล้วโดนลูกของเวย์แลนด์ต่อว่าเพราะกลัวว่าจะรู้ความลับเข้า ^^

  48. มันอาจเป็นเพียง “ธุรกิจ” จึงทำให้หนังไม่สอดคล้องกันกับ “Aliens” ต้นฉบับทุกเนื้อหา ไม่รู้ว่าพระเจ้าของคุณ Ridley Scott จะเป็นอย่างไร สร้างเราเพราะเขาสร้างได้หรือด้วยเหตุอื่นใด ^^

Leave a Reply to PangCancel reply