JEDIYUTH’s Review: The Act of Valor

น่าเสียดายวีรกรรม

ภาพยนตร์บางเรื่อง เราอดชื่นชมไม่ได้เพราะเรามองเห็นถึงความตั้งใจที่ดี และการที่รู้จักมีความคิดริเริ่มอะไรใหม่ แต่ก็ต้องรู้สึกว่า “น่าเสียดาย” เพราะผู้สร้างไม่อาจบริหารจัดการมันออกมาได้สนุก หรือน่าติดตามได้ ภาพยนตร์บู๊เรื่อง The Act of Valor เข้าข่ายภาพยนตร์ประเภทนั้น เราเห็นถึงความตั้งใจดีในการสร้างหนังเพื่อยกย่องวีรกรรมและการเสียสละของทหาร ความตั้งใจดีในการสร้างหนังแอ็คชั่นที่สมจริง และความคิดริเริ่มในการสร้างฉากแอ็คชั่นที่แตกต่างจากหนังฮอลลีวู้ดทั่วไปด้วยการใช้หน่วยซีลของจริงมานำแสดง และใช้ยุทธวิธีกับยุทโธปกรณ์ของจริงตามฉบับที่ทหารใช้กันจริงๆ แต่สุดท้ายแล้ว หนังกลับทำได้เพียงแค่ให้เราได้รู้จักวิธีการทำงานกับมุมมองของพวกเขา แต่ไม่อาจทำให้เรารู้สึกสนุก ซาบซึ้งและมีอารมณ์ร่วมได้เท่าไหร่เลย และต่อให้ทีมงานนำของจริงมาใช้ในการถ่ายทำมากมายหรือถ่ายทำให้ดูสมจริงขนาดไหนก็ตาม แต่ไม่อาจทำให้เรารู้สึกจริงไปกับหนังได้ หรือทำให้เรารู้สึกร่วมไปกับตัวละครได้ก็เป็นการเปล่าประโยชน์ บางขณะของหนังทำให้เรารู้สึกเหมือนนั่งดูคนเล่นเกม Counter Strike หรือ Call of Duty ซึ่งคนเล่นเป็นใครก็ไม่รู้

The Act of Valor เป็นผลงานกำกับครั้งแรกของสองสตั๊นแมนไมค์ แม็คคอย กับ สก็อต วอห์ ผู้ที่ได้แนวคิดในการสร้างหนังเรื่องนี้มาจากตอนที่ทั้งคู่ไปถ่ายทำวิดีโอเพื่อรับสมัครกำลังพลให้หน่วยนาวิกโยธินสหรัฐ ทั้งสองได้ถ่ายทำการฝึกของนาวิกโยธิน ได้ฟังเรื่องราวภารกิจของพวกเขา รวมถึงชีวิตส่วนตัวแล้วเห็นว่าควรได้บอกเล่าให้ผู้ชมได้รับรู้ จึงขออนุญาตหน่วยนาวิกโยธินให้นาวิกโยธินตัวจริงเสียงจริงมารับบทนำในหนัง ซึ่งในที่นี้ก็คือจ่าพันเอกเดฟ และ เรือเอกโร้ก และขออนุญาตให้ยืมยุทโธปกรณ์ของจริงมาร่วมในการถ่ายทำ หน่วยนาวิกโยธินเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ จึงได้อนุญาตตามที่ขอ โดยมีข้อแม้ว่าต้องส่งบทและหนังมาให้ตรวจสอบก่อน

แม็คคอยและวอห์ได้เกณฑ์เคิร์ต จอห์นสแตด จาก 300 มาเขียนบทหนังให้ โดยขยายเรื่องราวของนาวิกโยธินไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครเอก ชีวิตยามที่ไม่ได้ออกปราบปราม ได้ให้เราได้เห็นครอบครัว รวมถึงใส่เรื่องราวของผู้ร้ายเข้ามา แต่โดยรวมแล้วเป็นอะไรที่เชย และไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่าคนหนึ่งมีลูกแล้วห้าคน อีกคนมีภรรยาที่ตั้งครรภ์ และทั้งสองชอบเล่นกระดานโต้คลื่น

หนังเปิดเรื่องด้วยการให้เรือเอกโร้กเขียนจดหมายให้ลูกชายของจ่าพันเอกเดฟที่ภรรยาตั้งท้องอยู่ เพื่อบอกเล่าถึงพ่อของเขา ความภาคภูมิใจในการเป็นนาวิกโยธิน การเสียสละ และหลักการของนาวิกโยธิน บางขณะมีการยกบทกวีมากล่าวถึงซึ่งเหมือนจะดูดี แต่เป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเบื่อ อาจเพราะบทพูดที่ถูกเขียนมานั้นฟูมฟาย เยิ่นเย้อ และอีกสาเหตุก็คือการให้นักแสดงจำเป็นที่ชำนาญการรบ แต่ไม่ได้เป็นผู้ชำนาญการแสดงเหล่านี้ มารับบทที่หนักเกินตัวและมากเกินไป การถ่ายทอดเรื่องราวผ่านน้ำเสียงของนาวิกโยธินที่ไม่ได้ผ่านการฝึกการแสดงดูราบเรียบ ขาดอารมณ์ ขาดสีสันอย่างมาก

เกือบตลอดทั้งเรื่อง เราแทบจะแยกไม่ออกว่าคนไหนคือโร้ก คนไหนคือเดฟเลย ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะการคัดเลือกนักแสดงที่ขาดความโดดเด่นจนแยกกันไม่ออก หรืออาจเพราะทั้งคู่ทาหน้าเกือบที่ตลอดเวลาในหนังก็ไม่รู้ หรืออาจทั้งสองอย่าง และการแสดงของทั้งจ่าพันเอกเดฟกับเรือเอกโร้กก็ไม่ได้ช่วยให้แยกความแตกต่างของทั้งสองคนได้ พวกเขาดูขาดอารมณ์เหมือนกันทั้งคู่

ภารกิจของโร้กกับเดฟที่ร่วมกับทีมของพวกเขาก็คือการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ซีไอเอสาวที่ถูกพวกลักลอบขนยาเสพติดในคอสตา ริกา ลักพาตัวไปทรมาน เมื่อเข้าไปช่วยเหลือได้สำเร็จก็พบว่าหัวหน้าแก๊งลักลอบค้ายาที่เป็นชาวยิวเชื้อสายยูเครน ยังมีแผนร่วมมือกับเพื่อนที่เป็นมุสลิมเชชเนีย ในการลักลอบพาชาวฟิลิปปินส์ที่ติดระเบิดฆ่าตัวตายที่ไม่มีเครื่องมือตรวจพบได้ มุดอุโมงค์จากพรมแดนเม็กซิโกเข้าไปในสหรัฐ และทำการก่อการร้ายที่พวกเขาบอกว่า “จะทำให้ 9/11 เป็นเรื่องง่ายเหมือนเดินเล่นในสวนเลย” บทของผู้ร้ายเป็นอะไรที่ดูขาดความสมจริงราวกับหลุดมาจากหนังเจมส์ บอนด์ หรือ Mission: Impossible ขัดแย้งกับบรรยากาศที่สมจริงของการปฏิบัติภารกิจที่หนังต้องการจะนำเสนอ ผู้ร้ายในหนังก็ดูโรคจิตและแสดงบทร้ายแบบชัดเจนจนเกินพอดี

สิ่งที่ถือว่าหนังทำได้ดีอย่างมากก็คือการสร้างฉากแอ็คชั่นที่ดูสมจริง ให้อารมณ์แบบหนังสารคดีผสมวิดีโอเกม ให้คนดูได้มองผ่านสายตาของนาวิกโยธินขณะปฏิบัติภารกิจซึ่งในบางครั้งสร้างความตื่นเต้นและเขย่าขวัญได้บ้าง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็ยังเหมือนแค่เราได้นั่งดู แต่ไม่ได้รู้สึกร่วม

ส่วนดีอีกอย่างก็คือวีรกรรมอันกล้าหาญและเสียสละของตัวละครในตอนท้ายของหนัง สามารถสะกิดให้เราสงสาร ชื่นชม และมองเห็นคุณค่าได้ เสียดายที่ภาพยนตร์ทำให้เรารู้จักกับตัวละครหรือเข้าถึงตัวละครได้น้อยเกินไป ไม่เช่นนั้น ฉากสุดท้ายจะเป็นฉากที่สะเทือนใจอย่างมาก

คะแนน: 5/10

ข้อมูลเบื้องต้น
The Act of Valor
กำหนดฉาย 1 มีนาคม 2012
บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
อำนวยการสร้าง / กำกับ ไมค์ แม็คคอย และ สก็อตต์ วอห์
เขียนบท เคิร์ต จอห์นแสตด (300, True Vengeance)
นำแสดง สมาชิกหน่วย SEAL นาวิกโยธินสหรัฐ
อเล็ก เวดอฟ (Air Force One, Drag Me to Hell)
โรซาลีน ซานเชส (Rush Hour 2, The Game Plan)
เนสเตอร์ เซอร์ราโน (Ugly Betty, 90210)

เว็บไซต์ทางการ http://actofvalor.com/

9 comments

  1. SEALs เป็นทหารเรือ สังกัด US NAVY(USN)ครับ ไ่ม่เกี่ยวข้องกับนาวิกโยธิน(Marines)แต่อย่างใดครับ
    สำหรับที่ US Marines ถือว่าเป็นเหล่าทัพหนึ่งครับ ไม่ได้อยู่ภายใต้กองทัพเรือเหมือนของไทยครับ

      • ตามที่คุณ Ethan ว่าไว้ครับ USA มี 5 เหล่าทัพครับ The Army, Air Force, Navy, Marine Corps, and Coast Guard. ส่วนความเห็นเรื่องหนังผมว่า ส่วนที่แย่ที่สุดก็คือการแสดงนี้ล่ะ ที่เหลือผมว่าก็ดูสมกับทุนสร้างอันน้อยนิดดี

  2. “หนังเปิดเรื่องด้วยการให้เรือเอกโร้กเขียนจดหมายให้ลูกชายของจ่าพันเอกเดฟที่ภรรยาตั้งท้องอยู่” ผิดแล้วครับ โร้กคือคนที่ตายครับ เป็นสามีของภรรยาที่ตั้งท้อง เดฟคือคนที่เขียนจดหมายใหลูกชาย สังเกตง่ายๆ ตอนจบของเรื่องครับ

    • จริงครับ ในมุมของผู้ชมอาจจะ ไม่รับรู้ถึงความสนุก เร้าใจ อย่างภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ เนื่องจาก พวกเขาเป็นนักแสดงมืออาชีพ จึงถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างเมามัน แต่หากมองในด้านเดียวกันคือ ผมคนนึงที่เป็นทหาร และสัมผัสทุกๆความเคลื่อนไหวของหนังเรื่องนี้ได้ ว่า นี่คือระบบการปฎิบัติภารกิจของหน่วยรบพิเศษจริงๆ ทั้งกลยุทธต่างๆและความเสียสละของตัวผู้นำหน่วยเอ์ด้วย ภาพยนตร์ของนักแสดง กับภาพยนตร์ของทหารแท้ๆ มันไม่เหมือนกันหรอกครับคุณ

  3. เห็นด้วยครับผมไม่ใช่ทหารแต่กลับชอบหนังเรื่องนี้มากมันเหมือนภาพยนต์เหมือนเกมส์เหมือนสารคดีในเรื่องเดียวกัน

Leave a Reply