JEDIYUTH’s Review: War Horse

War Horse เป็นเรื่องราวมิตรภาพของเด็กหนุ่มกับม้าตัวหนึ่ง รวมกับการผจญภัยของม้าตัวนี้ท่ามกลางสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่พาคนดูไปพบผู้คนหลากหลายที่เกี่ยวข้องกับสงครามและได้เป็นผู้ดูแลมัน ก่อนที่มันกับเด็กหนุ่มจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ถ้าเนื้อเรื่องนี้เป็นการศึกที่ต้องฝ่าฟันแล้วล่ะก็ มันก็ศึกที่แม่ทัพผู้กำกับอย่างสตีเวน สปีลเบิร์ก ชำนาญการและผ่านศึกมานักต่อนัก เพราะสปีลเบิร์กทำหนังว่าด้วยมิตรภาพของเด็กชายผู้โดดเดี่ยว การก้าวข้ามวัย และมิตรภาพของเด็กชายกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ มาอย่างโชกโชน ไม่เพียงแค่นั้น สปีลเบิร์กยังขนขุนศึกคู่ใจระดับพระกาฬมามากมายเพื่อช่วยรบครั้งนี้ เพื่อสร้างให้หนังออกมายิ่งใหญ่และงดงามมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตั้งแต่มือเขียนบทที่เก่งอย่างลี ฮอลล์ (Billy Elliot), ผู้กำกับภาพรางวัลออสการ์ยานุสซ์ คามินสกี (Saving Private Ryan), ผู้ออกแบบงานสร้างรางวัลออสการ์ ริค คาร์เตอร์ (Avatar) และผู้ประพันธ์ดนตรีที่มีรางวัลออสการ์มากมายอย่างจอห์น วิลเลียมส์ (Schindler’s List) หนังอย่าง War Horse จึงดูรบชนะได้ไม่ยากสำหรับสปีลเบิร์ก แต่กลายเป็นว่าเป็นการชนะศึกอย่างไม่สวยงามเท่าไหร่ ภาพที่เห็นบนจอดูมหากาพย์ และชวนมองอย่างมาก แต่หนังไม่อาจทำให้เราอิ่มเอมด้านอารมณ์ได้เต็มที่ มันดูเหมือนสปีลเบิร์กพยายามมากไปในการแสดงแสงยานุภาพด้านงานศิลป์กับเทคนิคเพื่อสร้างความประทับใจแก่ผู้ชม แต่ยังวางตำแหน่งของฉากอารมณ์ได้ยังไม่ลงตัว ทำให้ความประทับใจของหนังเน้นหนักไปที่งานสร้างมากกว่าความซาบซึ้ง

ก่อนหน้าที่ War Horse จะถูกสร้างเป็นหนังมาก่อน บทประพันธ์ดั้งเดิมที่เป็นนิยายสำหรับเด็กปี 1982 ของไมเคิล มอร์เพอร์โกเรื่องนี้เคยถูกดัดแปลงเป็นละครเวทีมาก่อน เปิดแสดงครั้งแรกที่ลอนดอนในปี 2007 ซึ่งฉบับละครเวทีนี้ได้สร้างความประทับใจให้แคธลีน เคนเนดี้ ผู้อำนวยการสร้างหญิงคู่บุญของสปีลเบิร์ก จนทำให้เธอแนะนำให้สปีลเบิร์กให้มาดูละคร และซื้อนิยายไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เนื้อเรื่องของหนังคล้ายกับ Black Beauty ของแอนนา ซีเวลล์ ที่เคยถูกสร้างหนังปี 1944 ตรงที่ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้คนหลากหลายที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตม้าตัวหนึ่ง แต่ใน War Horse เน้นไปที่ชีวิตของทหารและผู้คนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 แทน

หนังเปิดฉากด้วยความผูกพันแต่แรกเห็นของเด็กหนุ่มชาวไร่ยากจนเชื้อสายไอริชชื่ออัลเบิร์ต (เจเรมี เออร์วีน) ที่มีต่อลูกม้าชื่อโจอี้ตั้งแต่ตอนที่มันคลอดออกมา เมื่อมันโตพอที่จะถูกนำออกมาประมูลขายได้ เท็ด (ปีเตอร์ มุลแลน) พ่อขี้เหล้าหัวรั้นของอัลเบิร์ตได้ประมูลมาด้วยราคาแสนแพงเพราะอยากเอาชนะเจ้าของที่ดิน (เดวิด ธิวลิส) ทั้งที่ยังไม่พร้อมจะใช้งาน อัลเบิร์ตใช้ความรักซื้อใจโจอี้และฝึกมันเป็นม้าที่ใช้งานไถนาได้สำเร็จ เอาชนะคำดูถูกของชาวบ้านได้ มิตรภาพของทั้งคู่ก็แน่นแฟ้นขึ้นด้วย แต่ก็ต้องถูกทดสอบในที่สุดเมื่อเท็ดจำเป็นต้องขายมันให้แก่กองทัพเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ จากนั้นแก่นของเรื่องราวมิตรภาพของคนกับม้าก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องราวของสงครามโลกครั้งที่ 1 ในสายตาของม้าแทน

เมื่อมาอยู่ในกองทัพ โจอี้พบรักกับม้าสีนิลดำและถูกส่งผ่านผู้คนมากมายที่ได้เป็นเจ้าของและผู้ดูแลมัน ตั้งแต่นายทหารอังกฤษผู้กล้าหาญ แต่อ่อนโยน (ทอม ฮิดเดิลสตัน), กุทเธอร์ (เดวิด ครอส) ทหารผู้ดูแลม้าของกองทัพเยอรมันที่ใช้มันหนีทหาร, คุณปู่ชาวฝรั่งเศสนักทำแยม (นีลส์ แอเรสทรัป) ผู้บอกเล่าเรื่องราวอีกแง่มุมของความกล้าหาญ กับหลานสาววัยใส (ซีลีน บัคเคนส์) ที่ร่วมมือกันช่วยชีวิตโจอี้กับม้าสีดำ จากนั้นก็พวกมันก็ถูกทหารเยอรมันเอากลับไปใช้งานลากปืนใหญ่อีกครั้ง ต้องผจญภัยอยู่ท่ามกลางสงครามของมนุษย์และพยายามเอาตัวรอด จนในที่สุดทำให้โจอี้ติดอยู่ในลวดหนามกึ่งกลางของสนามเพลาะระหว่างฝั่งอังกฤษและเยอรมัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็มีทหารผู้รักม้าพยายามหาทางช่วยชีวิตโจอี้ คล้ายกับเพื่อบอกเราว่าถ้าไม่ใช่เพราะสงคราม ทหารสองคนนี้ก็คงได้เป็นเพื่อนกัน สุดท้ายโจอี้ก็ได้กลับไปพบอัลเบิร์ตในที่สุดซึ่งบัดนี้ได้สมัครมาเป็นทหารเพื่อออกตามหาโจอี้

ช่วงต้นเรื่องของหนังนั้น หนังมีจุดที่พีคของอารมณ์อันเกี่ยวข้องกับการร่วมแรงร่วมใจของอัลเบิร์ตกับโจอี้ในการเอาชนะอุปสรรคใหญ่หลวงที่ไม่มีใครคิดว่าทั้งคู่จะทำได้ ดูสนุกเต็มอิ่มในเนื้อเรื่องส่วนนี้คล้ายดูหนังมิตรภาพระหว่างคนกับสัตว์ของดิสนี่ย์ แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นสงคราม หนังเริ่มมีเรื่องราวที่น่ากลัวและตื่นเต้นขึ้น สปีลเบิร์กใช้งานภาพในสไตล์หนังฮอลลีวู้ดยุคเก่าเช่น The Searcher ของจอห์น ฟอร์ด หรือ Lawrence of Arabia ของเดวิด ลีน ที่ให้ทัศนียภาพเป็นพื้นหลังของฉากแล้วให้ตัวละครเป็นลวดลายบนภาพ มาเสริมความโก้หรูให้แก่หนัง โทนสีของหนังเข้มหรือมืดเมื่ออยู่ท่ามกลางสมรภูมิ แล้วสลับเป็นความสว่างสดใสเมื่อส่วนของเรื่องราวนั้นไม่เกี่ยวกับสงครามแล้ว ก่อนที่จะจบด้วยฉากเส้นขอบฟ้าสีแสดของพระอาทิตย์อัสดงที่ชวนให้นึกถึงหนังอย่าง Gone with the Wind

แต่ละส่วนของเนื้อเรื่องซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวละครใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของโจอี้มีเรื่องราวของมันเอง มีความงดงามของมันเอง มีอารมณ์ที่เข้มข้นของมันเอง ใช้การกำกับภาพ กำกับศิลป์ และดนตรีประกอบที่ยอดเยี่ยม แต่เมื่อนำทุกส่วนมาประกอบกันเป็นองค์รวมแล้ว มันไม่อาจส่งเสริมให้กันและกันให้เกิดความงามที่ลงตัวได้ มันเหมือนแต่ละส่วนเหล่านี้มาแข่งกันด้วยอารมณ์ของหนังที่แตกต่างกันแบบค่อนข้างชัดเจน เหมือนคนที่แต่งตัวจัด พยายามให้ดูดีเด่นและดูดีไปหมดตั้งแต่หมวกยันร้องเท้าแล้วหาส่วนที่ต้องการจะเน้นไม่พบ และการที่หนังแทบจะละทิ้งอัลเบิร์ตไปเลยระหว่างที่โจอี้อยู่ในการดูแลของตัวละครอื่นก็ยังทำให้การพบกันอีกครั้งของทั้งคู่ในตอนท้ายเรื่องขาดพลังแม้จะพยายามเค้นยังไงก็ตาม สุดท้ายแล้ว War Horse จึงเป็นเพียงหนังที่งานสร้างดูดีมาก แต่ยังทำให้เราซาบซึ้งได้ไม่เต็มที่

คะแนน: 7/10

ข้อมูลเบื้องต้น
ชื่อไทย: ม้าศึกจารึกโลก
กำหนดฉาย: 2 กุมภาพันธ์ 2555
ผู้กำกับ: สตีเวน สปีลเบิร์ก
นักแสดง: เจเรมี เออร์วีน, ปีเตอร์ มุลแลน, เอมิลี่ วัตสัน, ทอม ฮิดเดลสตัน, เดวิด ธิวลิส, นีลส์ แอเรสทรัป และ เดวิด ครอส
เว็บไซต์ทางการ: http://www.warhorsemovie.com/

8 comments

  1. ผมเพิ่งมีโอกาสดูและรู้สึกว่าหนังดีและดูสนุกเกิดคาดครับ ชอบหลายฉากเลย อย่างฉากทหารเยอรมันพี่น้องหนีทัพแล้วโดนยิง กังหันก็หมุนมาบังตอนนั้นพอดี ฉากที่เอมิลีขี่โจอี้ข้ามเนินไปแล้วปล่อยให้ลุง (และเรา) คิดเองว่าเกิดอะไรขึ้น หรือฉากที่โจอี้วิ่งผ่านสนามรบในช่วงท้ายก็เป็นช็อตที่เจ๋งมาก การใช้โจอี้เดินเรื่องผ่านตัวละครหลายกลุ่มทั้งทหารอังกฤษ – เยอรมัน ชาวบ้านฝรั่งเศส ก็ทำให้เห็นหลายๆมุมในสงครามอย่างเป็นธรรมชาติดี ชอบห่านในเรื่องด้วย 🙂 (จำชื่อไม่ได้แล้ว)

  2. หนังวางตัวให้เป็นหนังที่ปรุงแต่งกันอย่างสุดๆก็เลยดูเหมือนเป็นนิทานมากไปกว่าจะเป็นเรื่องราวที่ดูขึงขังกว่าอย่าง Schindler’s List ซึ่งเรื่องนี้ผมว่ามันก็ทำได้ดีในแนวทางของมัน ซึ่งคนที่ไม่ชอบก็อาจจะมองเป็นข้อเสียก็ได้ครับ เพราะมันก็ทำให้ดูเฟค ดูล้นไปบ้างเหมือนกัน …สำหรับผม หนังที่มีจุดยืนของตัวเองชัดเจนขนาดนี้ และทำออกมาได้ประณีตซะ …ยังไงก็ต้องบอกว่าชอบล่ะครับ หลายๆอย่างในหนังมันทำให้ผมรู้สึกได้กลิ่นอายหนังมหากาพย์รุ่นเก๋าอย่าง Lawrence of arabia, วิมานลอยเช่นกัน หรือแม้แต่เจ็ดเซียนซามูไรและ 2001:a space odyssey ก็ด้วยเพราะความที่หนังแบ่งเป็นองก์ชัดเจนมากๆ เพียงแต่เนื้อหามันไม่ลึกซึ้งซับซ้อนน่าค้นหาอะไรมากมายขนาดนั้น
    แต่ผมว่าลุงแกก็เก่งนะ เออ…เอาหนังที่สัตว์เล่นเป็นตัวเอกมาทำแล้วก็ยังถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้ยังกะเอาคนมาเล่นก็มีด้วยแฮะ แถมม้าในหนังมันก็ยังเป็นม้าอยู่ไม่ได้ดูฉลาดจนเวอร์เหมือนคนด้วย
    ให้ 7.5 เต็มสิบครับ

  3. เพิ่งมีโอกาสได้ดูเรื่องนี้จากแผ่น BD แม้ว่าส่วนตัวจะชอบหนังเกี่ยวกับสัตว์มากก็ตาม หนังซึ่งเกี่ยวกับสัตว์ที่รักผูกพันและหาทางกลับไปหาเจ้าของจนสำเร็จ แต่เรื่องนี้ กลับไม่สามารถสร้างความประทับใจให้ผมจนถึงขนาดอยากดูซ้ำได้อีก หลายส่วนของหนังใส่สถานการณ์ความจงใจเข้ามามากจนทำให้หนังล้น ไม่เหมือนกับ Black Beauty หรือแม้กระทั่ง Homeward Bound (เกี่ยวกับสุนัข) ที่ดูแล้วสร้างความประทับใจมากกว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดจากหนังคือสงครามแม้ทำให้เกิดความพลัดพราก แต่ความรักเอื้ออาทรต่อสัตว์ก็ยังมีด้วยกันทุกชาติภาษา ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม สรุป เป็นหนังต่อต้านสงครามของสปีลเบิร์กที่ดีเรื่องหนึ่ง แต่ยังไปไม่ถึงหรือใกล้เคียงกับ Schindler’s List ผมให้เรื่องนี้ 7/10 ครับ

  4. มันเหมือน Saving Private Ryan ปี 2012 มากกว่า เนื้อหาหดหู่และทารุณสัตว์เป็นอย่างยิ่ง ผมว่าช่วงหลังมานี้ สปิลเบิร์กมือตกไปเยอะนะ จะอาร์ตก็ไม่เชิง พานิชย์ก็ไม่ใช่ มันก้ำกึ่งอ่ะครับ / หนัง Spirit อาจจะเป็นการนำร่องที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีของสปิลเบิร์กสมัยนั่งเป็นแท่นเป็นผุ้อำนวยการนสร้างหนังการ์ตูนเรื่องนี้ แต่หนังแนวอาชาก็เคยทำให้ดิสนีย์เองถึงกับนั่งกุมขมับมาแล้วจาก Secretariat ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ War Horse จะประสบชะตาเดียวกัน เพียงแต่จะหนักกว่าหน่อยก็ตรงที่พลาดหวังชวดออสการ์ไปทุกสาขาอีกด้วย !

  5. ผมว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังสงครามที่สปีลเบิร์กทำให้เด็กดู ฉากรุนแรงแทบจะไม่มีเลย ถ้ามีก็จะมีอะไรมาบัง เช่น ฉากการประหารทหารเยอรมันทั้งสองคนเป็นต้น
    เห็นด้วยครับที่หนังยังดึงอารมณ์ได้ไม่ถึงที่สุด ยังขาดๆเกินๆไปอยู่ แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือฝีมือการกำกับของสปีลเบิร์ลที่เทพขนาดกำกับม้าได้! หลายฉากที่เราเห็นการส่งอารมณ์ผ่านสายตาของม้า สุดยอดครับ!

  6. เพิ่งดูเมื่อวาน // ว่าจะไม่ดู เพราะ สงสาร ม้า // แต่ก็อยากเห็น ฝีมือ Steven Spielberg ดนตรีของ John Williams งานภาพ Janusz Kaminski สมราคาเลยล่ะ Top มาก // ซาบซึ้งทุก 10 นาที สะเทือนใจ ไม่รู้จบ // ฉากที่ลุ้นตื่นเต้นสุด เมื่อ ม้า ต้องถูกประมูล GODDDDDDDDDDD 8 เต็ม 10 // ชอบมากกว่า the artist แต่ไม่มากเท่า HUGO

Leave a Reply to tharathongCancel reply