ชื่อไทยของ The Hunger Games ในฉบับนิยายคือ “เกมล่าชีวิต” แต่ผมอยากเรียกว่า “เกมเรียลลิตี้โชว์ล่าชีวิต”ครับ เพราะอารมณ์หลายช่วงตลอดที่ดูหนังตั้งแต่องค์ 2 เป็นต้นไปให้ความรู้สึกเหมือนดูพวก Survivor หรือ Academy Fantasia เลยครับ เข้าใจว่าซูแซน คอลลินส์ ก็เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่านิยายของเธอได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมเรียลลิตี้โชว์พวกนี้ด้วย แต่แทนที่จะให้ผู้เข้าแข่งขันโหวตกันออก หรือให้ผู้ชมทางบ้านมาว่าโหวตว่าใครจะได้อยู่ต่อ ก็ใช้วิธีให้ผู้เข้าแข่งขันมาฆ่ากันเองซะ เหมือนหนังพวก Death Race หรือ The Running Man หรือ Series 7: The Contenders
และหากไม่ยอมฆ่ากันเองหรือเอาแต่หนี ก็เป็นหน้าที่ของผู้คุมเกมที่จะทำให้เกมเดินหน้า หรือมีเซอร์ไพรส์ต่างๆ เข้ามาเร่งให้เกมเข้มข้นยิ่งขึ้นเพื่อเอาใจคนดู ถ้าเป็น AF ก็อาจเป็นการโหวตเข้า หรือการไม่ให้มีคนออก แต่ใน The Hunger Games มาในรูปของระเบิด ลูกไฟ และฝูงอสุรกาย ส่วนผู้เล่นเองก็สามารถสร้างความได้เปรียบในเกมการแข่งขันได้ด้วยการสร้างตัวเองให้เป็นกระแส กลายเป็นขวัญใจของคนดู ทำให้คุณอาจได้ของจากสปอนเซอร์มาช่วยเหมือนที่คู่พระนางของหนังเรื่องนี้พยายามทำ
ลักษณะของตัวละครกับความสัมพันธ์ระหว่างแคทนิส (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) กับ พีตา (จอช ฮัทเชอร์สัน) และ เกล (เลียม เฮมส์เวิร์ธ) ก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนนั่งดู AF ในอีกรูปแบบหนึ่งครับ เรารู้ว่าพีตานั้นแอบรักแคทนิสมานานแล้ว แต่เขาก็ใช้ความรักที่มีต่อแคทนิสให้เป็นประโยชน์ในการเรียกกระแสจากคนดู ขณะที่พอใจกับผลตอบรับที่ทำให้พวกเขาเป็นคู่ที่โดดเด่นขึ้นมา พีตาเองก็ดูจะรู้สึกผิดด้วย เหมือนตอนที่เขาคุยกับแคทนิสที่ว่าเขากลัวจะไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป
พีตาทำให้ผมนึกถึงผู้เข้าประกวด AF ที่อาจร้องเพลงไม่เก่ง แต่รู้ว่าคนดูชอบอะไรนอกจากเรื่องความสามารถ และก็สร้างจุดเด่นจากตรงนั้นเพื่อให้คนดูโหวตให้ แน่นอนว่าอย่างหนึ่งที่ทำให้คนดูโหวตก็คือการจิ้น หรือโหวตเป็นแพ็คคู่ ผู้เข้าแข่งขัน AF บางคนอาจสนิทกันในฐานะเพื่อน แต่ก็พร้อมที่จะเล่นเกมด้วยการทำให้เขากับคู่มีความสัมพันธ์ที่ดูสนิทกว่าเพื่อน แต่ยังไม่เรียกว่าแฟน เพื่อให้คนดูได้ตามลุ้นตามเชียร์
แคทนิสทำให้นึกถึงคนที่มีทักษะการร้องเพลงเก่งในรายการ แต่อาจยังไม่มีจุดเด่นด้านนิสัยใจคอหรือกระแสคู่จิ้นมาช่วยเป็นพลังเสริม เมื่อเธอเห็นประโยชน์ เธอก็เริ่มลังเล และเมื่อเห็นประโยชน์อย่างที่สุดที่มันจะทำให้เธอกับพีตารอด เธอก็พร้อมจะให้ขาจิ้นทั้งหลายสมหวัง และผมก็ชอบที่หนังยังให้ตัวละครนี้คลุมเครือเรื่องหัวใจว่ายังอยู่กับคนรักในเกม หรืออยู่กับเพื่อนสนิทนอกจออย่างเกลกันแน่ ตรงนี้แหละที่เนื้อเรื่องมีความคล้ายกับ Twilight นิดๆ
The Hunger Games ยังทำให้ผมนึกถึง The Lottery ด้วย ตรงช่วงองค์แรกของหนัง สามารถสร้างบรรยากาศได้เหมือนตอนอ่านเรื่องสั้นนี้ของเชอร์ลี่ แจ็คสัน ได้เป็นอย่างดี และตัวหนังก็ทำออกมาได้อย่างสะเทือนใจ ถือเป็นตอนหนึ่งที่ดีที่สุดของหนัง เมื่อตอนที่เกมดำเนินไปและมีการแบ่งฝ่ายกัน เนื้อเรื่องช่วงนั้นก็ให้อารมณ์แบบ Lord of the Flies นิดๆ แต่ยังไม่เข้มข้นเท่าที่ผมหวังไว้ มีบางฉากที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเชย เช่นฉากที่แคทนิสมีพฤติกรรมคล้ายเลดี้แม็คเบธหลังจากฆ่าคนครั้งแรก แต่การแสดงของลอว์เรนซ์ทำให้ฉากนั้นไม่เชยจนเกินไป เนื้อเรื่องของหนัง The Hunger Games ดูจะยืมมาจากงานที่มีมาก่อนหน้านี้ แต่ด้วยความเก่งของผู้กำกับแกรี่ รอส ทำให้หนังออกมาดูไม่จำเจ
ส่วนที่ผมชอบที่สุดใน The Hunger Games จะเป็นช่วงนอกเกมการแข่งขันเสียส่วนใหญ่ครับ ผู้กำกับสามารถเล่าช่วงนั้นได้น่าสนุกและมีอารมณ์ร่วมได้อย่างมาก ขณะที่ช่วงอยู่ในเกมแข่งขัน ยังดูเร่ง หรือให้รายละเอียดไม่พอ ทำให้ไม่ค่อยรู้สึกอินหรือสะเทือนใจกับชะตากรรมของตัวละครเท่าไหร่ ฉากที่ต่อสู้กัน หรือถูกไล่ล่าก็ยังไม่รู้สึกว่าน่ากลัวหรือน่าตื่นเต้นมากพอ มันอยู่ในเกณ์ที่ใช้ได้ เกือบจืดชืด แต่น่าจะทำให้ลุ้นระทึกได้มากกว่านี้ ดีที่หนังได้นักแสดงอย่างเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ มาช่วยให้ความลึกและมิติลงไปในฉากเหล่านั้น ทำให้ฉากเหล่านี้มีความน่าสนใจขึ้น
งานกำกับ The Hunger Games ของรอส อาจไม่โดดเด่นหรือทรงพลังเท่า Seabiscuit กับ The Pleasantville แต่ก็ไม่รู้สึกว่าลดลงจนเสียมาตรฐาน ทั้งนี้ผมว่าเป็นที่ตัวบทประพันธ์ดั้งเดิมไม่ได้ให้อิสระแก่ผู้กำกับมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรให้เข้าทางผู้กำกับมากกว่านี้ และยังต้องเก็บรายละเอียดบางอย่างจากฉบับนิยายที่ผู้ชมรอดูด้วย รวมถึงการที่ต้องให้หนังออกมาเป็นเรต PG-13 ก็น่าจะเป็นข้อจำกัดหนึ่งที่ทำให้หนังไม่อาจมีด้านมืดหรือเข้มข้นได้เท่าที่ควร แต่รอสก็ทำให้เป็นเรต PG-13 ที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และก็มีโอกาสได้แสดงเทคนิคการเล่าเรื่องเก๋ๆ ลงไปบ้าง
สุดท้ายเลยที่ต้องชมก็คือการแสดงของเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ผมว่าบทของเธอนางเอ๊กนางเอกมาก เธอจะฆ่าคนก็ต่อเมื่อป้องกันตัวเท่านั้น เธอใส่ความลึกและมิติลงไปในบทที่ได้รับนี้และนำพาหนังไปได้อย่างน่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง ถ้าเป็นนักแสดงที่ไม่เก่งพอ บทนี้จะเป็นบทที่น่าหงุดหงิดมาก แต่ลอว์เรนซ์ทำให้บทนี้ออกมาชวนให้อยากดู ทำให้เราหลงรักเธอ เข้าใจหัวอกของเธอ เอาใจช่วยเธอ และยอมเป็นแฟนคลับของแคทนิสครับ
คะแนน: 7.5/10
ส่วนตัวผิดหวังมาก เพราะดูจากคะแนนแล้วมันเทพมากๆ แต่พอดูจริงๆมันเฉยๆเลย มันเล่าไปเรื่อยๆไม่ได้มีโมเม้นจำหรืออะไรที่โดดเด่นออกมาเลย
หนังทำออกมาดี แต่ไม่กล้าแนะนำให้ญาติพี่น้องดู เพราะมันไม่ตลาดแอคชั้นขนาดที่คิด
ปูเรื่อง 1 ชั่วโมงเต็ม // และเนื่องจากเป็นเรตเด็ก ภาพก็จะสั่นตัดไปมาตอนที่จะถึงเลือดถึงเนื้อ ทำเอาเวียนหัว // แต่ทั้งหมดทั้งมวล ยกความดีความชอบให้ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ เธอเอาอยู่ ยี่งฉากชูสามนิ้ว ทำเอาน้ำตาคลอ
7/10
ยังไม่ได้ดูเลย T^T
ขอบอกตรงๆว่าชมแลัว SO SO มากๆเลยครับ
เพราะยังไงดูเรื่องนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจาก Battle Royale
เท่าไรนัก…แต่ต้องรอดูภาคต่อไป -___-
ชอบครับ เพราะหนังทำให้กลายเป็นเรื่องราวของเด็กสาวที่ต้องเอาตัวรอดเพื่อตัวเองและครอบครัว
โดยใช้ฉากหลังเป็นเรียลลิตี้โลกอนาคต ที่วิพากย์สังคมแบบทุนนิยมอย่างบางเบา แต่ก็ทำให้รู้สึกเอาใจช่วยตัวเอกได้อย่างเต็มที่ พร้อมการแสดงที่ยอดเยี่ยม ทำให้หนังไม่จำเป็นต้องใส่ความรุนแรงเกินเหตุ ทั้งที่ตัวเรื่องเปิดโอกาสให้ใช้ ซึ่งเมื่อลองเทียบกับ BR แล้ว ก็จะเห็นชัดเลยว่า BR นั้นนำเสนออย่างเลยเถิดเกินจำเป็น เพราะถึงไม่เห็นฉากรุนแรงแต่อารมณ์ร่วมก็ยังเต็มที่ได้ พร้อมได้รับสาส์นที่ผู้แต่งต้องการนำเสนอเรื่องการแบ่งแยก ทุนนิยม การเสพสื่อเพื่อความบันเทิง การเสแสร้งเพื่อเอาตัวรอด และอีกหลายๆอย่าง แค่นี้ผมก็ว่าน่าจะเพียงพอที่ทำให้ดูหนังเรื่องนี้อย่างสนุก
ปล.ติตรงการใช้กล้องแฮนด์เฮลเกินความจำเป็นในหลายๆฉาก ซึ่งทำให้เวียนหัวซะงั้น
เห็นด้วยมากๆครับ
ตกลงมันเหมือนหลายเรื่องเลยงั้นรึ…
ส่วนตัวให้ 7/10 หนังคอนเซปเดียวกับ BR สนุกแต่ไม่มีอะไรให้จดจำ
มันเอาหนังสือ 3 เล่มมารวมเป็นเรื่องเดียวหรอครับ หรือจะมีภาคต่ออีก
มีภาคต่อครับ
ผมชอบนะ แต่ติดตรงเรื่องกล้องอย่างที่ คุณ jacks7123 ว่าไว้ ทำเอาเวียนหัวจนแทบอ้วก ..
อาจจะเพราะ ผมยอมอดมื้อเที่ยง เพื่อจะได้ทันดูรอบเที่ยงไม่อยากรอนาน 55+ ซวยไป
เจนนิเฟอร์เล่นดีจริงๆครับ…. ไม่น่าเชื่อ ว่านี่ คือ สาวน้อยยมิสทีค จาก x-men รุ่นแรก…ตอนนั้นเธอยังไม่เด่นมาก แต่ก็ลืมไม่ลง มาคราวนนี้ตีบทได้ขาดจริงๆ
อย่างที่หลายคนบอกน่ะครับ ว่า ยังไม่มีจุดพีค ให้จดจำอะไร…. อาจจะเพราะ ช่วงแข่งขันดูสั้นๆ ไปนะ น่าจะมี อะไรเยอะกว่านี้….
รวมๆแล้ว เชียร์ พีต้ากะแคทนิสครับ….น่าจะตกร่องปล่องชิ้น กันจริงๆ 55+ ลืมป๋าเลียมไปเลย….
ผมไม่ได้อ่านหนังสือนะ ไม่ได้เป็นแฟนหนังสือ ก็คิดว่าคงต้องหามาอ่านซะแล้วว…
หนังสือมี 3 เล่ม แต่จะทำหนังเป็น 4 ภาคครับ
เรื่องรักสามเส้า ยังมีแน่ครับ แต่ประเด็นของหนังคือ
การต่อสู้ของผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีต่อระบอบต่างหากครับ
เพิ่งดูมาวันนี้ที่สกาล่า หลังจากลังเลว่าจะดูเรื่องนี้ หรือบักจอนดาวแดงที่ลิโด หลังจากดูจบ เลยรู้ว่าตัดสินใจผิด-_-“
ผิดปากซะที่ไหน รายได้เปิดตัววันแรกของ THG มากกว่ารายได้ทั้งสามวันของ John Carter เสียอีก
ทุนสร้าง 80 ล้าน รายได้เปิดตัว 3 วันแรก 155 ล้านเหรียญ
เกือบทำลายสถิติ รายได้เปิดตัว 3 วันแรก 158 ล้านเหรียญ ของ The Dark Knight แล้วเชียว
เรียกปรากฏการณ์ ก็คงไม่ผิดสินะ
ชอบมากครับ เคยดู Battle Royle มาแล้ว มาดูเรื่องนี้ก็ชอบอีก ชอบนางเอก ชอบชุดตอนเปิดตัวของนางเอก ชอบตอนภาพตัดสลับไปมาตอนต่อสู้่ ชอบความย้อนยุคและไฮเทคที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว จุดที่ไม่ชอบมีเพียง CG อสุรกายหมาตอนท้ายทีดูไม่เนียนเท่าไหร่ 9.5/10
ดูหนังจบ อยากอ่านนิยายเรื่องนี้มากเลย มีกึ๋น ไม่ไร้สาระเหมือนหนังแวมไพร์หน้าขาว
ซื้อเล่ม 1 มาแล้ว …
และอ่านจบ ในวันเดียว…..สมกับที่เค้าว่า วางไม่ลงจริงๆ…..ทั้งที่ดูหนังมาละนะเนี่ย…
เกลียดตรงมันเสกตัวประหลาดออกมาฆ่าคนได้เนี่ยแหละ
ความสมจริงหดหายไปในทันที T^T
ตรงนั้น หนังตัดความเป็นมาไปซะงั้น สะดุดเหมือนกันคุ่ หุหุ
ผมเข้าใจละความรู้สึกของคนที่อ่านนิยายมาก่อนๆที่จะมาดูหนัง ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าพวกแฟนแฮรี พอตเตอร์บอกในหนังไม่สนุก ทั้งๆที่ผมดูก็สนุกดี คือผมเป็นพวกที่อ่านนิยายจีน ซึ่งฮังเกอร์ เกมส์ เป็นเรื่องแรกของทางฝรั่งที่ซื้อมาอ่าน และเมื่อวานก็ไปดูมาแล้ว ขอบอกว่าผิดหวังพอสมควร คือมันตัดเยอะมาก เนื้อเรื่องมันไม่เข้มข้นเหมือนหนังสือ แถมหนังตั้ง 2ชั่งโมงกว่า น่าจะเล่นกับเนื้อหาได้เยอะกว่านี้ โดยส่วนตัวแล้ว คิดว่าถ้าเป็นโนแลนกับทีมงานของเขา น่าจะทำให้หนังหนุกกว่านี้เป็นกอง
ชอบการเล่าเรื่องนอกการแข่งขันเหมือนกันครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการแสดงเชิงลึกของเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์
ที่ทำให้เห็นว่าในหนังตลาดก็มีการแสดงดีๆได้
หลังจากที่ได้ไปดูมาแล้ว…ผมว่าโดยรวมถือว่าโอเคในระดับหนึ่ง ถามว่าชอบมั๊ยก็กลางๆ อาจเพราะมีความคาดหวังเกินไปจากกระแสต่างๆ ทำให้พอเข้าไปดูแล้วมันไม่ถึงตรงจุดที่คาดหวังก็เลยรู้สึกแบบนี้ แต่พออ่านที่คุณ JEDIYUTH ให้ความเห็นก็เลยเข้าใจขึ้นมาว่า อาจเพราะโดนกรอบของบทประัพันธ์ และ rate ของหนังที่ต้องทำออกมาใน rate PG-13 ก็เลยพอเข้าใจว่า ทำไมมันถึงไปได้ไม่สุด แต่สิ่งที่ชอบของหนังเรื่องนี้ก็คงเป็น การแสดงของ เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่แบกหนังไว้ทั้งเรื่องได้อย่างลงตัว และการแสดงของ จอช ฮัทเชอร์สัน ที่มีพัฒนาการให้เราเห็นตลอดเรื่อง ส่วน เลียม เฮมส์เวิร์ธ คาดว่าคงจะเริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในภาคต่อๆ ไป เหมือนบทของ เลาท์เนอร์ ใน TWILIGHT
สรุป ถ้ายังมีภาคต่อๆ ไป ก็คงยังไม่ซื้อหนังสือมาอ่าน รอดูหนังก่อนดีกว่าค่อยซื้อทีเดียว
…^ ^…
สำหรับผม พยายามทราบข้อมูลของหนังก่อนเข้าไปดูให้น้อยที่สุด
ทำให้ดูหนังได้สนุกกว่าที่คิดนะครับ และชอบสไตล์การดำเนินเรื่องของหนัง
ในการตัดสลับดราม่าและฉากแอ็กชันได้อย่างโอเคในระดับหนึ่ง
ในส่วนของฉากแอ็กชันที่หลายๆคนบอกว่าไม่ถึงใจนั้น ผมคิดว่าเป็นการชิงไหวพริบกันมากกว่า
และผมชอบกับการที่หนังไม่ได้ใส่เพลงมาสร้างอารมณ์มากนัก แต่ใช้บรรยากาศ และความเงียบเเข้าข่ม
ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่า มันทำให้ฉากแอ็กชันดูดิบขึ้นมานิดหนึ่งหละครับ
(แต่ใจจริง ถ้าหนังเรื่องนี้เป็นเรต R ไปเลย ก็น่าจะเป็นที่จดจำและสะเทือนใจกว่านี้มากลยทีเดียว)
ย่อหน้าสุดท้ายที่พูดถึงลอเรนซ์ตรงกับที่ผมคิดทุกประการเลยคับ ชอบการแสดงและ acting ของลอเรนซ์มากจนอยากดูหนังที่เธอแสดงมาก โดยเฉพาะหนังที่ต้องแสดงอารมณ์แบบนี้
เราว่ามันไม่เหมือน BR นะ เหมือนกันแค่เอาคนมารวมกันให้ฆ่ากันเหลือผู้ชนะคนเดียว เหมือนแค่นั้นแหละ อย่างอื่นไม่เหมือนเลยอย่างสิ้นเชิง
ส่วนตัวไม่ได้ผิดหวังกับหนัง แม้ว่ามันจะไม่ได้เข้มข้นมากมาย เพราะเข้าใจว่ามันเป็นการปูเรื่่องไปสู่ภาคต่อไปด้วยส่วนหนึ่ง หนังมันเลยดูอืดๆเพราะเท้าความเยอะ แต่ในมุมมองของเรา เราว่าหนังมันก็ดีเลยทีเดียว เพราะคิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นหนังแอ็คชั่น นางเอกไม่ได้ฝึกฝีมือต่อสู้มาจากไหน ยิ่งพระเอกนี่ยิ่งแล้วเลย คิดอยู่ว่าก็ดีแล้วล่ะที่ไม่เน้นบู๊ ถึงตัวหนังขาดๆเกินๆจากต้นฉบับหลายจุด แต่ดูแล้วก็ไม่รู้สึกอะไรมากตรงจุดนั้น เป็นหนังที่เราสามารถแยกมันออกจากบทประพันธ์ได้เหมือนเป็นคนละจักรวาล เพราะชอบหนังสือ แต่ก็ชอบหนังมาก แม้ว่ามันจะไม่ได้เหมือนกันเป๊ะ
ยกความดีให้นางเอก เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ที่ตรึงสายตาเราอยู่หมัดและทำให้ “แคตนิส” เป็นนางเอกที่เราไม่หมั่นไส้ และยกความดีอีกส่วนให้ จอช ฮัทเชอร์สันด้วยความชอบส่วนบุคคล XD
ป.ล.ดูแบบพากย์ไทย และยืนยันว่าชอบทีมพากย์ของพันธมิตร XD
พูดตรงๆ หนังบ้าอะไรนางเอกนอกใจพระเอก พระเองอุสาดูแลน้องดูแลแม่ให้
ถ้าเป็นไปได้ ขอให้เป็นแบบ พระสบาย นางเอกติดคุก
นางเอกแกล้งทำเรียกเรตติ้ง ไม่งั้นตายหมด
*พระเอก
สงสารริวที่ดูๆแล้วชอบเขต11กับเขต12ค่ะ