Mirror Mirror หนึ่งในโครงการหนังสโนไวท์ในปีนี้ โดยผู้กำกับทาร์เซ็ม ซิงห์ ได้ออกฉายก่อนในบ้านเราก่อนที่หนังจะฉายจริงในสหรัฐ เป็นหนังที่เมื่อดูจากตัวอย่างหนังแล้วอาจให้ความรู้สึกว่ามันไม่น่าจะสนุกเท่าไหร่ แต่ตัวภาพยนตร์กลับทำให้เราบันเทิงได้ในระบบที่ใช้ได้ทีเดียว

หนังเอาเทพนิยายสโนไวท์มายำใหม่ให้ออกมาเป็นแนวแฟนตาซีปนฮา และมีมุขตลกจิกกัดหนังจากเทพนิยายแบบเดียวกับ Enchanted และ Shrek เพียงแต่ว่ามุขตลกในหนังเรื่องนี้ยังไม่คม หรือน่าจดจำเท่า มันอยู่ในระดับฮาๆแบบน่ารัก และก็ทำให้เราลืมเมื่อออกจากโรงหนัง

นักแสดงทุกคนทำหน้าที่ได้ดีมาก โดยเฉพาะจูเลีย โรเบิร์ต ได้บทราชินีใจร้ายที่สร้างบุคลิกให้ตัวละครดูแตกต่างจากราชินีใจร้ายที่เราเห็นกัน ให้ความรู้สึกเหมือนคนที่เอาแต่ใจ ช่างเสียดสีประชดประชัน พูดเร็ว และไม่มีความรู้สึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำ เมื่อจะร้ายก็แผ่รังสีอำมหิตออกมาได้น่ากลัวโดยไม่ต้องทำตาถลน หรือเกรี้ยวกราด อาร์มี่ แฮมเมอร์ กับนาธาน เลน ก็มาช่วยแจกมุขตลกให้ครื้นเครงได้ดี ส่วนลิลี่ คอลลินส์ ก็เล่นได้น่ารัก และไม่ถูกนักแสดงที่เก๋ากว่ากลืนไป

ส่วนที่ดีที่สุดของหนังยุคให้งานออกแบบเครื่องแต่งกายครับ นอกจากสวยงามอลังการแล้วยังทำหน้าที่ในการสะท้อนบุคลิกตัวละครได้ดีด้วย เช่นชุดในงานเต้นรำที่ให้ราชินีใจร้ายแต่งองค์เหมือนนางนกยูง ให้สโนไวท์เป็นหงษ์ขาว และให้เจ้าชายเป็นกระต่าย ชุดแต่งงานของราชินีใจร้ายก็ทำให้ร้องอื้อฮือได้เลย ทำให้โรเบิร์ตดูสวยสคราญในแบบที่ไม่เคยเห็นมานานแล้ว

แต่แม้หนังเหมือนจะสนุกในระดับที่ใช้ได้ ผมพบว่าตอนจบของหนังได้ทำลายความดีก่อนหน้านี้ไปหมด เพราะมันดูหลุดออกจากบรรยากาศของเรื่องมากจนเกินไป ไม่ใช่ว่าเพราะผมไม่ชอบตอนจบที่มีด้านมืด ต้นฉบับเทพนิยายสโนไวท์ก็จบมืดเหมือนกันที่ราชินีใจร้ายถูกบังคับให้ใส่รองเท้ามีหนามแหลมแล้วเต้นรำในงานแต่งงานจนตาย แต่เทพนิยายไม่มีความจำเป็นต้องมีการผูกเรื่องที่ซับซ้อนหรือมีเหตุผลรองรับขนาดนั้น ตอนจบของหนัง Mirror Mirror จะประสบความสำเร็จกว่านี้สำหรับผม จะต้องมีการบอกใบ้ให้รู้ถึงด้านมืดของตัวละครมาก่อนบ้างในระหว่างที่ดำเนินเรื่อง จึงทำให้รู้สึกว่าหนังจบแบบตั้งใจจะให้มีด้านมืดจนเกินไปครับ

คะแนน 5.5/10