JEDIYUTH’s Review: The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part I

ภาคที่ดีมักมาทีหลัง

The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part I โดยผู้กำกับบิล คอนดอน ดูจะได้รับคำวิจารณ์ในด้านลบมากกว่าทุกภาคจากนักวิจารณ์หนังในสหรัฐ และผมก็เข้าไปชมด้วยทัศนคติที่ว่ามันคงน่าเบื่อ เยิ่นเย้อ เฟ้อฝัน เหมือนสองภาคแรกที่ผมไม่ค่อยชอบ และคิดว่า The Twilight Saga: Eclipse ภาคที่สามของหนังชุดนี้ น่าจะยังคงเป็นภาคที่สนุกที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่าผมชอบภาคล่าสุดนี้กว่าภาคไหน ผมแปลกใจตัวเองด้วยซ้ำที่ชอบ มันไม่ชวนให้อยากหลับเลย แต่ตรงกันข้าม มันทั้งสนุก โรแมนติก ชวนฝัน แทรกด้วยอารมณ์ขัน และระทึกขวัญในช่วงท้าย มันเหมือนกับว่าผู้สร้างเก็บของดีเอาไว้ให้เราดูทีหลังสุดยังไงยังงั้นเลย

เนื้อเรื่องของ The Twilight Saga: Breaking Dawn ไม่มีอะไรมากเลย สรุปได้ในไม่กี่บรรทัด ซึ่งครึ่งเรื่องแรกก็วนเวียนอยู่แค่แวมไพร์เอ็ดเวิร์ด (โรเบิร์ต แพททิสัน) กับเบลล่า (คริสเทน สจ๊วร์ต) แต่งงานกันและไปฮันนีมูนกันที่บราซิล เป็นเนื้อเรื่องที่ไม่มีความจำเป็นต้องสร้างเป็นหนังให้ยืดยาวถึง 117 นาที เพราะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นน้อยมาก แต่คอนดอนสามารถหาวิธีเล่าเรื่องให้น่าติดตามได้ตลอด ถือเป็นความอัจฉริยะของผู้กำกับ และการตัดสินใจที่ถูกต้องของซัมมิท เอ็นเตอร์เทนเมนท์ในการเลือกผู้กำกับระดับคุณภาพเช่นนี้มาทำงานให้ เพราะเนื้อเรื่องฉบับนิยายที่มีความวิปริต เลี่ยน ยืดยาด เพ้อเจ้อ คอนดอนมีวิธีทำให้มันออกมาเป็นหนังที่เรารับได้ เป็นข้อพิสูจน์ว่าถ้าวัตถุดิบนั้นไม่มีคุณภาพเท่าไหร่ หากเราได้คนปรุงที่ดีและเก่ง เขาสามารถทำให้อาหารจานนั้นหน้าตาดูดีและมีรสชาติที่อร่อยได้

ฉากหนึ่งที่แสดงถึงความเก่งกาจของผู้กำกับคอนดอนก็คือฉากงานแต่งงานที่ใช้การตัดต่อ การถ่ายภาพ และใส่ดนตรีประกอบได้อย่างอ่อนหวานและโรแมนติกมากๆ ด้วยการให้กล้องโลมไล้และหมุนไปตามตัวของเบลล่าราวกับโอบกอดเธอไว้ เล่นแสงสีขาวนวล ใส่เสียงไวโอลินอันไพเราะ และลดความเยิ่นเย้อของพิธีการด้วยการตัดต่อให้เอ็ดเวิร์ดกับเบลล่ากล่าวคำปฏิญาณรักต่อเนื่องกันไป ทำให้เป็นฉากงานแต่งงานที่ชวนเคลิ้มอย่างมากแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และเพื่อไม่ให้เลี่ยนเกินไปก็ใส่มุขตลกเข้ามาเมื่อถึงฉากที่แขกในงานต้องขึ้นไปกล่าวถึงคู่บ่าวสาว บิลลี่ เบิร์ก ในบทชาร์ลี สวอน พ่อของเบลล่าเรียกเสียงขบขันได้ดีในการเปิดเผยว่าเขาหวงลูกสาวแค่ไหน และพร้อมจะตามล่าเอ็ดเวิร์ดหากทำให้เบลล่าเสียใจ

ฉากฮันนีมูนน่าจะเป็นจุดอ่อนที่สุดของหนังเรื่องนี้ ผู้กำกับคอนดอนเหมือนจะเอาใจสาวกของนิยายมากไป เพราะให้เวลากับเรื่องราวส่วนนี้มากไปนิดทั้งที่เนื้อเรื่องแทบไม่มีอะไรเลย ฉากส่วนใหญ่มีแต่การที่ทั้งคู่พลอดรักกันตามที่ต่างๆ และหนังยังมีฉากที่ประดักประเดิกมากด้วยนั่นก็คือฉากที่ทั้งคู่มีเซ็กซ์กันจนเตียงหัก ฉากดังกล่าวนี้ควรเป็นฉากที่ดูเร่าร้อน และดุเดือดตามฉบับนิยาย แต่เพราะผู้สร้างต้องการให้หนังได้เรตอายุผู้ชม PG-13 หรือน่าจะเทียบกับ น.13 ของบ้านเรา ทำให้มีการตัดให้สั้นลง อารมณ์ที่ควรอีโรติกของฉากนี้กลายเป็นฉากที่ฮาครืนขึ้นมาทันที แล้วเมื่อพบว่าเบลล่าฟกช้ำไปทั้งตัว และเอ็ดเวิร์ดก็เสียใจที่ความป่าเถื่อนบนเตียงของเขาเป็นต้นเหตุให้เธอเจ็บตัวขนาดนั้น หนังไม่อาจสร้างอารมณ์ของฉากนี้ได้ชัดเจนว่าควรเป็นฉากที่ขำ ซึ้ง หรือน่ากลัวกันแน่ มันดูก้ำกึ่งกันไปหมด

แต่ก่อนที่แฟนขาจรของหนังจะเอียน คอนดอนก็พลิกอารมณ์ให้ตื่นเต้นขึ้นเมื่อเบลล่ารู้ว่าเธอท้อง และเด็กในท้องที่โตเร็วและหิวอย่างผิดมนุษย์ก็ทำให้เธอทรุดโทรมเหมือนซอมบี้ แน่นอนว่าเจค็อบไม่พอใจเมื่อรู้ความจริง และโทษเอ็ดเวิร์ดไปต่างๆนาๆ ปมความขัดแย้งซับซ้อนมากขึ้นเมื่อเหล่าฝูงมนุษย์หมาป่ากลายร่าง พรรคพวกของเจค็อบ ตัดสินใจว่าจะต้องฆ่าเด็กในท้อง และนั่นก็เท่ากับฆ่าเบลล่าด้วย เจค็อบกลับมามีบทเด่นหลังจากให้สองพระนางมีบทบาทมากกว่าในครึ่งแรกด้วยการพยายามหาวิธีช่วยชีวิตเบลล่า และให้แฟนคลับของเจค็อบได้สงสารเขาไปพร้อมกันเมื่อเจค็อบต้องปวดใจที่ได้เห็นเอ็ดเวิร์ดกับเบลล่าได้ใกล้ชิดกันแบบคู่รัก หนังยังได้ใส่มุขตลกเข้ามาเป็นบางครั้งเพื่อให้ได้ครบทุกรสชาติมากขึ้นและในจังหวะที่เหมาะสมด้วย มุขตั้งชื่อลูกน่าจะเป็นอีกฉากที่ทำให้ผู้ชมฮาลั่นได้ เมื่อถึงฉากที่เบลล่าต้องให้กำเนิดลูก หนังก็สามารถสร้างความสยองขวัญได้ในระดับน้องๆ ของ Rosemary’s Baby ด้วยการเล่นเทคนิคแสงสี และการให้เราห็นเหตุการณ์จากสายตาของเบลล่า ทำให้เป็นฉากที่น่ากลัวและน่าตื่นเต้นโดยไม่ต้องให้เห็นความสยดสยองของการทำคลอด

พัฒนาการด้านการแสดงของนักแสดงนำทั้งสามก็ช่วยให้หนังดูลื่นไหลขึ้นมาก สต๊วร์ต และแพททิสัน ที่หน้าตาบูดบึ้งเหมือนอมทุกข์ในสองภาคแรก มีการแสดงออกที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสต๊วร์ตที่การแสดงของเธอทำให้บทพูดที่เมื่ออยู่ในนิยายนั้นดูเลี่ยน แต่พอพูดจากปากของเธอแล้วได้อารมณ์พอเหมาะพอดี เลาท์เนอร์ก็มีพัฒนาการด้านการแสดงขึ้น สองภาคแรกค่อนข้างเล่นแข็งมาก เห็นแววในภาคสามว่ามีพัฒนาการ และในภาคนี้ก็ทำได้ดีมากขึ้นไปอีก

หลังจากชม The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part I แล้ว ผมพยายามตรวจสอบดูว่ามีผู้ชมเยอะไหมที่ไปชมรอบเดียวกันแล้วรู้สึกสนุกอย่างผมบ้าง ผมพบว่ามีไม่มาก และเมื่อมานั่งพิจารณาดูว่าทำไมผมชอบหนังทั้งที่เนื้อเรื่องดูไม่มีอะไรมาก นอกจากลูกเล่นของผู้กำกับในหนังแล้ว อีกสาเหตุน่าจะมาจากการที่ผมเริ่มผูกพันกับตัวละคร โดยเฉพาะจากภาค Eclipse ที่ผู้กำกับเดวิด สเลด ทำให้ชอบสามตัวละครนำของหนังได้ ผมจึงคิดว่าภาคสามนั้นเป็นหัวเชื้อสำคัญที่ทำให้ภาคล่าสุดนี้สนุกขึ้น และเมื่อวิเคราะห์จากการที่รายได้สัปดาห์ที่สองในสหรัฐของหนังเรื่องนี้ก็ยังแรงอยู่ มันจึงอาจเป็นได้ว่ายังมีคนอีกมากที่สนุกกับหนัง เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นก็คงมีความผูกพันกับตัวละครเช่นกันกับผม ดังนั้น The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part I อาจไม่ใช่หนังสำหรับทุกคนก็ได้ มันอาจเหมาะสำหรับแฟนคลับของหนัง และคนที่เข้าใจโลกของเรื่องราวนี้แล้วเท่านั้น

คะแนน: 7.5/10

ข้อมูลเบื้องต้น

The Twilight Saga: Breaking Dawn – Part I

บริษัทผู้สร้าง: ซัมมิท เอ็นเตอร์เทนเมนท์

บริษัทจัดจำหน่าย: มงคลเมเจอร์

กำหนดฉาย: 1 ธันวาคม 2554

ผู้กำกับ: บิล คอนดอน

นักแสดงนำ: โรเบิร์ต แพททิสัน, คริสเทน สต๊วร์ต, เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์, กิล เบอร์มิงแฮม, บิลลี่ เบิร์ก, เคลแลน ลุทซ์, แซร่าห์ คลาร์ก, แอชลี่ กรีน, ปีเตอร์ ฟาซิเนลลี และ อลิซาเบธ เรียเซอร์

เว็บไซต์ทางการ: http://www.breakingdawn-themovie.com/

8 comments

  1. ภาคนี้ผมว่าแล้วแต่ความชอบของแต่ละคนบุคคล

    ส่วนผมรู้สึกเฉยๆ และออกจะง่วงในช่วงพิธีแต่งงงาน และฮันนีมูนก็ดูจืดๆ และรวบรัดเกินไป

    ซึ่งฮันนีมูนของพระเอกนางเอกน่าจะหวานโรแมนติกตื่นเต้นที่สุดเท่าที่เคยมีมาในหนังเรื่องไหน
    ผู้ชมดูแล้วรู้สึกว่าอยากเป็นแบบนี้จัง ต้องเติมเต็มให้ผู้ชมด้วย

    เพราะคนดูที่เป็นเด็กเยาวชนจะซาบซึ้งมากๆ เพราะผู้ชมที่เข้าไปชมต่างก็รอชมสิ่งนี้กันทุกคน
    หนังรักโรแมนติกซึ้งสุดๆ

    อีกอย่างบทของเจคอปก็เข้ามาแทรกมากจนเกินไปทำให้หนังดูขัดอารมณ์
    เหมือนอุจจาระไม่สุดและออกแนวรำคาญด้วยซ้ำ

    “ก็เขาแต่งงานแล้วคุณจะอะไรกะเขาอีก” (ประมาณว่ารอผัวน้องเผลอ)

    คือก็เข้าใจว่าบทต้องให้เจคอปเข้ามาพัวพัวมากๆ เพื่อนำไปสู่การผูกจิตระหว่างเจคอปกับเด็ก

    คือผมว่าบทมันน่าจะเลยรักสามเศร้าได้แล้ว และชอบภาคที่ 2 มากสุด

  2. ชอบภาคนนี้ที่สุดเหมือนกันค่ะ มันไม่น่าเบื่อ มีความสยองขวัญแทรกอยู่ระยะ ทำให้ลุ้นบ้าง ไม่ชวนอ้วกเกินไป อาจดูมั่วซั่วไปบ้างแต่ก็ไม่มั่วซะเละเหมือนในหนังสือ

  3. เห็นด้วยที่เมื่อเบลล่ารู้ว่าเธอท้องหนังสนุกขึ้นทันตาเห็น
    จะว่าไปหนังภาคนี้ได้สามอารมณ์ โรแมนติก ชวนฝัน และ
    ลุ้นในช่วงท้าย…รอภาค 3 สรุปยังไง ไม่อ่านหนังสือหรอก

  4. ใช่ครับ ภาคนี้ผมชอบมากๆ หลังจาก 3 ภาคที่ผ่านมาผมไม่ชอบสักภาค
    แต่พอมาภาคนี้กลับชอบเอามากๆเลย
    ยอมรับว่าผู้กำกับเก่งมากๆ ทั้งๆที่หนังนั้นเนื้อเรื่องแทบจะไม่มีอะไรเลย กลับสามารถทำให้สนุกได้ขนาดนี้
    ตอนนี้อยากดูภาค 2 มากๆเลยเนี่ย

  5. ผมเข้าใจว่าภาค 1 ได้รับความนิยมเพราะมันมีความศิลป์ในเชิงอารมณ์ ความรู้สึกมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านภาพ เพลง เนื้อหา ด้วยความที่เป็นผู้กำกับ indy หนังไม่ได้สนุกมาก แต่มันสามารถเข้าไปถึงระดับวิญญาณ และมันเป็นทางออกสำหรับความต้องการของคนสมัยนี้ (อาจหมายถึงแค่ผู้หญิง) คือ “เพ้อฝันและคลั่งไคล้ความเจ็บปวด” ด้วยความที่เป็นแวมไพร์กับยรรยากาศหลอนๆ และเพลงร็อค หนังเรื่องนี้จึงได้รับความคลั่งไคล้ ของผู้ที่ได้ชม

    ส่วน New Moon ดูจะเน้นที่เนื้อเรื่องและความรู้สึกของตัวละคร แต่ทิ้งความเป็นศิลปะไป ทั้งด้านภาพ และเพลงประกอบ พยายามใส่แอคชั่น และเพลงประกอบที่ฟังง่ายขึ้น ทำให้หนังเคี้ยวง่ายขึ้น หนังมีข้อดีตรงที่เนื้อเรื่องในส่วนที่ให้ดูความบ้าคลั่งของเบลล่าที่เสียเอ็ดเวิร์ด ยังตอบโจทย์คนดู “เพ้อฝันและคลั่งไคล้ความเจ็บปวด” ได้อยู่

    ส่วนภาค 3 ไม่ต้องพูดถึง ไร้ซึ่งความเป็นศิลปะ เน้นแอ็คชั่นและความมันส์ ด้วยความที่ผู้กำกับถนัดหนังสยองขวัญ มีดีอย่างเดียวคือการเล่าถึงพัฒนาการของตัวละครหลักคือเบลล่า ที่ได้ค้นพบว่าการเป็นแวมไพร์นั้น เป็นทางออกในการใช้ชีวิตของเธอด้วย ไม่ใช่แค่เพราะเอ็ดเวิร์ด แต่ก็มีดีแค่นั้น ซึ่งก็ based มาจากนิยายอยู่แล้ว ภาพแย่ เพลงแย่ (แต่เจ้าของ Review บอกว่าดีที่สุด???)

    ส่วนภาค 4 ด้วยความที่ในนิยายก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว และหนังก็ไม่เปลี่ยนอะไรเลย อิงจากนิยายล้วนๆ หนังจึงไม่มีแง่คิดใดๆ ทั้งสิ้น แต่ข้อดีของ บิล กอร์ดอน ก็คือใส่ใจกับทุกรายละเอียดของตัวละคร การเดิน การมอง การแสดงอารมณ์ จังหวะของอารมณ์ ภาคนี้จึงมีความสมจริงมากที่สุด โดยเฉพาะฉากคลอด และการที่เอาคนทำ score จากภาคแรกกลับมาทำนั้นทำให้เกิดความหวังว่าเพลงภาคนี้จะดี แต่พอดูจริงๆ …???

    คิดว่าภาค 1 เป็นภาคที่ดีที่สุด เป็นตำนาน ส่วนภาคอื่นเป็นเพียงความคิดโง่ๆ ที่พยายามจะเปลี่ยนหรือเพิ่มให้หนังดูยิ่งใหญ่หรือโกยเงินได้มากขึ้น… ฆ่าตัวตายชัดๆ

  6. อ่อ แล้วการที่เจ้าของ Review พูดว่า “คอนดอนมีวิธีทำให้มันออกมาเป็นหนังที่เรารับได้ เป็นข้อพิสูจน์ว่าถ้าวัตถุดิบนั้นไม่มีคุณภาพเท่าไหร่ หากเราได้คนปรุงที่ดีและเก่ง” ไม่ทราบว่าคุณได้อ่านนิยายรึเปล่า หนังเล่าเรื่องเหมือนนิยายทุกอย่าง ใกล้เคียงมากๆ ฉากคลอดในนิยายก็เล่าได้ระทึกมาก… และผมจะถามคุณหน่อยว่า สิ่งไหนที่สำคัญที่สุดของการทำภาพยนตร์… ผมว่าหนังทุกเรื่อง ถ้าขาดบทที่ดี (ซึ่งคุณเรียกว่าวัตถุดิบ) มันก็ยากที่จะสนุก เหมือน Avatar ที่ทุกอย่างดีเลิศ ยกเว้นบท ถ้าคุณคิดว่าบทไม่สำคัญ ไม่ต้องมีก็ได้ ก็แค่ปรุงให้อร่อย ผมขอแนะนำหนังของ พจน์ อานนท์ เพราะเขา improvise กันทั้งเรื่อง ไม่มีบท ผมก็ชอบนะ ฮาดี แต่พอกลับมานั่งนึกจริงๆ ว่าได้อะไรจากหนังพวกนี้ก็… ไม่มีอะไรเลย

Leave a Reply