Hugo vs The Artist: ความเห็นหลังชม

ปี 2011 ที่ผ่านมา น่าจะถือว่าเป็นปีที่ฮอลลีวู้ดอุทิศให้ความทรงจำในอดีตเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ หนังเด่นหลายเรื่องพูดถึงการทำหนังหรือแรงบันดาลใจในการทำหนัง เป็นต้นว่า Super 8 หนังบางเรื่องที่แม้ไม่ได้เกี่ยวกับการทำหนังโดยตรงก็มีการสร้างฉากให้หวนนึกถึงงานอันยิ่งใหญ่เก่าๆ ของฮอลลีวู้ด เป็นต้นว่า War Horse ที่มีการสร้างฉากให้ชวนนึกถึงงานเก่าของเดวิด ลีน, จอห์น ฟอร์ด หรือหนัง Gone with the Wind แม้กระทั่งงานหนังอนิเมชั่นรางวัลออสการ์อย่าง Rango ก็มีการชวนเราหวนนึกถึงงานหนังคาวบอยเก่าๆ ขึ้นหิ้งของเซอร์จิโอ ลีโอเน่ แต่ที่โดดเด่นแห่งปีจริงๆ ก็คงเป็น The Artist และ Hugo ที่คว้ารางวัลออสการ์มา 5 รางวัลเท่ากัน โดยเรื่องแรกคว้ารางวัลใหญ่ไปทั้งในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยม (มิเชล ฮาซานาวิซุส) ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้อุทิศให้แก่หนังในยุคหนังเงียบ ช่วงต้นปี 1900 จนถึง 1932

ในแง่ของความยอดเยี่ยม ทั้ง The Artist และ Hugo มีความโดดเด่นด้านการเล่าเรื่องอย่างไม่ยิ่งหย่อนกัน Hugo โดยผู้กำกับมาร์ติน สกอร์เซซี มีลูกเล่นที่แพรวพราวในการสร้างฉากที่ทำให้เรารู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของภาพยนตร์อีกครั้งด้วยการเอาเทคโนโลยีการถ่ายภาพสามมิติผสมกับงานเทคนิคพิเศษจากคอมพิวเตอร์มาช่วยให้เราได้รู้สึกเช่นเดียวกับผู้ชมในยุคโน้นตอนที่ได้ชมภาพยนตร์เป็นครั้งแรกแล้วตื่นตาตื่นใจ ขณะที่ The Artist มีความโดดเด่นในแง่การใช้ลูกเล่นของหนังเงียบและภาษาหนังมาทำให้เรารู้สึกว่ากำลังดูหนังเงียบที่ข้ามกาลเวลามายังยุคนี้จริงๆ แถมยังเอาลูกเล่นของหนังเงียบมาพลิกแพลงใช้อีกหนึ่งตลบในการช่วยเล่าเรื่องให้ดูเก๋เป็นพิเศษ ผลรางวัลที่ออกมาโดยให้ Hugo คว้ารางวัลด้านเทคนิคเป็นส่วนใหญ่ และให้ The Artist คว้ารางวัลใหญ่ก็ถือว่า “รับได้” และ “เป็นไปตามคาด”

อย่างไรก็ดี ถ้าวัดกันที่เป้าหมายของภาพยนตร์ที่ต่างสร้างขึ้นมาเพื่อคาราวะหนังเงียบจริงๆ แล้ว โดยส่วนตัวคิดว่า Hugo มีความเหนือกว่า The Artist ตรงที่ตีจุดประสงค์นี้ได้เข้าเป้ากว่า

Hugo ทำให้เราทึ่งในการคิดสร้างสรรค์ ความรักในการสร้างภาพยนตร์ จินตนาการและความฝันของมนุษย์ในยุคที่เริ่มมีภาพยนตร์เพื่อความบันเทิง ทำให้เรารู้สึกอยากยกย่องคนทำหนังในยุคนั้น และทำให้เราอยากค้นคว้าเพิ่มเติม อยากกลับลองไปดูหนังของคนยุคนี้เช่น A Trip to the Moon ของจอร์จ เมลิเยส ขณะที่ The Artist ทำนั้นเป็นการแค่ให้เราได้เห็นว่าหนังเงียบเป็นอย่างไร เขาชมหนังเงียบกันอย่างไร ซึ่งท้ายที่สุดในตอนท้ายของหนังก็เป็นบทสรุปให้เราเห็นถึงคำที่ว่า “เก่าไปใหม่มา” มันให้เราเห็นมนตร์ขลังของอดีต ด้วยลูกเล่นแบบอดีตเป็นส่วนใหญ่ มันเป็นการทำอดีตให้ถูกปากคนยุคปัจจุบัน แต่ก็เมื่อชมแล้วก็จบกันไป มันเป็นมนตร์ขลังของอดีตซึ่งหมดยุคไปแล้วจริงๆ

ผมพบบทวิเคราะห์ฉบับหนึ่งใน The Hollywood Reporter ที่กล่าวไว้น่าสนใจว่าทำไมออสการ์จึงให้ The Artist ชนะ Hugo ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมครับ โดยบอกว่าสาเหตุหนึ่งก็คือกรรมการออสการ์กลัวความก้าวล้ำทางเทคโนโลยี จึงยังไม่พร้อมที่จะให้หนัง 3D ที่ทำได้ยอดเยี่ยมอย่าง Hugo ได้รางวัล และทำให้พวกเขารู้สึกอุ่นใจมากกว่าในการให้รางวัลแก่หนังที่ใช้งานสร้างแบบหนังเงียบอย่าง The Artist ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า นี่อาจเป็นข้อความบางอย่างที่ออสการ์จะบอกว่า “3D ไม่ใช่อนาคต” หรือเปล่า เหมือนที่ตัวละครจอร์จ วาเลนตินของฌอง ดูจาร์แด็ง ใน The Artist บอกว่าเอาไว้ว่า “หนังพูดไม่ใช่อนาคต

ความกลัวเทคโนโลยีเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เพราะบางครั้งมนุษย์ก็กลัวว่าความก้าวหน้าของมันจะส่งผลต่อความเคยชินในการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์โดยตรงก็อาจกลัวการตกงานหรือล้มละลายหากพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองไปตามยุคสมัยได้ เหมือนที่จอร์จ เมลิเยส ใน Hugo ประสบ หรืออย่างที่ตอนนี้การถ่ายทำหนังด้วยกล้องดิจิตอลได้เข้ามาแทนที่ฟิล์มจนแทบจะหมดไปแล้ว และหากฮอลลีวู้ดต้องการจะบอกว่า 3D ไม่ใช่อนาคต มันก็มีเหตุผลให้คิดเช่นนั้นเพราะยังมีหนังที่ใช้เทคโนโลยี 3D ได้ถึงศักยภาพของมันเพียงไม่กี่เรื่องในตอนนี้ ฮอลลีวู้ดอาจต้องการรอคนทำหนังอย่างเจมส์ คาเมรอน หรือ มาร์ติน สกอร์เซเซีมาการันตีเพิ่มเติม ถึงจะยอมรับหนัง 3D ในที่สุด

เกร็ดย่อย

1.The Artist เป็นหนังฝรั่งเศสที่ยกย่องฮอลลีวู้ด กำกับโดยผู้กำกับฝรั่งเศส ส่วน Hugo เป็นหนังฮอลลีวู้ด กำกับโดยผู้กำกับฮอลลีวู้ด ที่ยกย่องนักทำหนังชาวฝรั่งเศส

2. Hugo เป็นหนัง 3D ที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุดของฮอลลีวู้ด กำกับโดยผู้กำกับรุ่นลายครามที่อ้าแขนรับเทคโนโลยีสมัยใหม่แล้วนำมาใช้ได้อย่างแพรวพราว ส่วน The Artist กำกับโดยผู้กำกับรุ่นใหม่ ที่อ้าแขนรับเทคนิคของคนรุ่นบุกเบิก คลั่งไคล้ในงานหนังยุคเก่า แล้วนำมาสร้างเป็นหนังเงียบได้เก๋และเหมือนมาจากยุคนั้นจริงๆ

19 comments

  1. The Artist เป็นหนังฝรั่งเศสที่ยกย่องฮอลลีวู้ด กำกับโดยผู้กำกับฝรั่งเศส ส่วน Hugo เป็นหนังฮอลลีวู้ด กำกับโดยผู้กำกับฮอลลีวู้ด ที่ยกย่องนักทำหนังชาวฝรั่งเศส / ผมชอบประโยคนี้อย่างบอกไม่ถูก

  2. มีโอกาสได้ดู Hugo แล้วครับ
    แม้ว่าจะไม่ได้เป็นหนังที่มีเนื้อเรื่องหรือการดำเนินเรื่องที่น่าตื่นเต้น
    แต่ก็เป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึกเพลิดเพลินไปกับหนังได้ดีมากครับ ^^

    ปล. ชอบเกร็ดย่อยทั้ง 2 ข้อเลยครับ อิอิ

  3. ที่ hugo ชนะ artist ไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมากเลย เพราะว่า the artist สนุกกว่าและบันเทิงกว่ามากๆๆ …ผมดู hugo (ในระบบสองมิติ) แล้วก็ตกใจมากว่า หนังน่าเบื่อได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ สำหรับผมมันจืดชืดและไร้ชีวิตชีวาเอามากๆจนไม่อยากจะเชื้อว่าหนังกำกับโดย ผกก. คนโปรดของผมคือสกอเซซี่ อาจจะมองไปได้ว่าหนังทำมาเพื่อระบบสามมิติโดยเฉพาะ ดูแบบธรรมดาอาจเสียอรรถรสไปเยอะ …แต่ผมก็มองอีกว่าถ้าหนังมันดีจริงสนุกจริงดูแบบไหนมันก็ต้องสนุก ไม่ใช่มาผลักภาระให้คนดูต้องไปหาโรงสามมิติดู แล้วอีกอย่างหนึ่งซึ่งตอนนี้ก็ยังงงอยู่คือ หนังเนื้อหาแบบ hugo จะทำเป็นสามมิติไปทำไม เพราะเอาเข้าจริงๆก็ไม่เห็นสอดรับกับเนื้อหาที่แสดงการคารวะคนทำหนังตรงไหน ที่มันเป็นสามมิติในเรื่องก็เลยดูเหมือนของเล่นที่เอาไว้โชว์เทคนิคเฉยๆและก็เหมาะสมแล้วที่ได้ไปแค่รางวัลเทคนิค …ไม่รู้นะแต่ผมอยากให้คนที่ดู hugo 3D แล้วลองเอากลับมาดูอีกรอบในแบบสองมิติ มันน่าจะเห็นได้ชัดว่าหนังน่าเบื่อเอามากๆ

    • Hugo เป็นหนัง 3D ก็ควรต้องดู 3D ครับ การดูแบบ 2D เท่ากับดูหนัง 2D แล้วไม่เปิดเสียง
      สกอร์เซซีใช้ 3D เพื่อสนับสนุนเรื่องราว ไม่ใช่แค่เพื่อโชว์เทคนิคครับ
      และไม่จำเป็นว่า 3D จะต้องถูกจำกัดแค่หนังไซไฟ หรือหนังบู๊เท่านั้น มันอยู่ที่ผู้ใช้ว่าจะใช้มันเป็นไหม
      สกอร์เซซีได้พิสูจน์แล้วว่า การใช้ 3D เล่าเรื่อง ให้เต็มศักยภาพทำได้อย่างไรครับ
      3D ในหนังเรื่องนี้ ทำให้เราได้นึกถึงคำว่า “มหัศจรรย์ของภาพยนตร์” จริงๆ

    • มันคือนวนิยายเด็ก ดำเนินเรื่องไปตามที่เด็กสามารถดูได้ สำหรับผม ฉากหุ่นยนต์วาดภาพนั้นตื่นเต้นมาก บางทีอาจเป็นเพราะดนตรีประกอบไม่ได้ทำออกมาให้ตื่นเต้นด้วย เพราะดนตรีมันเนิบ ๆ แต่โดยรวมผมถือว่าหนังสอนเยอะมาก ถ้าจับประเด็นได้ มันไม่ได้สอนตรง ๆ

      • สำหรับ Hugo ผมกลับเห็นว่า หนังเรื่องนี้คงมีเด็กไม่กี่คนที่จะสนุกไปด้วยนะครับ เพราะถึงจะทึ่งกับเทคนิคทุกอย่างที่ยอดเยี่ยม แต่การเล่าเรื่องไม่น่าจะทำให้เด็กได้สนุกแน่ๆ แม้ตัวผมเองก็เกือบหลับไปเหมือนกัน แต่อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังไปไม่สุดคือ การแสดงที่ไร้เสน่ห์โดยสิ้นเชิง ทุกคนเล่นได้อย่าง “เสแสร้งมาก” แม้แต่ เบน คิงสลี่ย์ ที่ขอบอกว่าผิดหวังจริงๆ นี่คงเป็นเหตุผลหลักที่หนังไม่ได้รางวัลใหญ่

  4. 3D ไม่ใช่อนาคตเพราะมันเป็นการบังคับคนดู ทั้งต้องใส่แว่นดู จ่ายค่าตั๋วแพงขึ้น ดูออกมาเสร็จเวียนหัวปวดตาอีก มันดูฝืนๆอ่ะ ผมหวนกลับไปนึกถึงบทความที่มีคยพูดถึงงานสร้างของสตาร์วอส์ episode IV ที่เทคนิคถือว่าลำ้ยุคมากๆในตอนนั้นว่า…’สตาร์วอส์เปลี่ยนวิธีที่หนังถูกสร้างออกมา(หมายถึงเทคโนโลยีในการสร้าง)แต่ไม่ได้เปลี่ยนวิธีที่คนดูหนังรับชมมันในโรงภาพยนตร์’ ซึ่่งถ้าผู้ผลิตสามารถทำได้แบบสตาร์วอส์ในอดีตโดยไม่ต้องไปบังคับคนดู นั่นแหละผมถึงจะมองว่ามันเป็นอนาคตจริงๆ

  5. เห็นด้วยกับคุณ jediyuth ครับ ว่า Hugo นั้นสร้างมาเพื่อดูในระบบ 3D จริง ๆ
    มันสร้างมาควบคู่กัน และส่งผลกับอรรถรสในการชมหนังมาก ๆ
    ถ้าได้ดูแบบธรรมดาแล้วผมเองก็คิดว่าคงรู้สึกว่าเนื้อเรื่องน่าเบื่อเกินไป
    เหมือนดูหนังแล้วไม่เปิดเสียงนั่นละครับ

  6. ได้ดู hugo แบบปกติ 2D ฉากดีไซน์ต่างๆ การเคลื่อนกล้อง ขณะนั่งดูรู้สึกได้ว่ามันถูกออกแบบมาเพื่อหนังสามมิติโดยเฉพาะ … เป็นหนังเรื่องแรกในปีนี้ที่อยู่ในประเภท “หนังมันดีหรือไม่ดีหว่า” มันรู้สึกเท่าๆกัน (ถ้าวัดคุณค่าของหนังที่เนื้อหาล้วนๆ) … เต็มอิ่ม ครบมั๊ย ครบ จุใจ ฉากการหนี ไล่ล่าต่างๆมันสร้างสรรค์มั๊ย ธรรมดา ธรรมดามากกกกกก … (ยิ่งตีตราสกอร์เซเซ่ด้วย…สู้การดีไซน์ฉากต่อสู้ในแก๊งค์ออฟนิวยอร์คไม่ได้เลย) … บางที่บทสรุปท้ายหนังอย่างการแก้ไขสิ่งที่เสียหายไปแล้วให้กลับมาใช้งานได้ … มันคงมีจุดเริ่มต้นจากการที่สกอร์เซเซ่หยิบบทหนังที่มันแย่ให้มันกลับมาเป็นหนังดีๆเรื่องหนึ่งได้ … ถ้าคิดในแง่นี้ผมว่ามันก็ต้องเป็นผลงานที่ดีมาก … คืนนี้ว่าจะพิสูจน์หนังออสการ์ปีนี้ ดิอาร์ทิสส 🙂 … ขอบคุณครับ

  7. ตอนผมไปดู Hugo ผมไม่ทราบเลยว่าเนื้อเรื่อง และเนื้อเรื่องซ่อนคืออะไร แต่ไม่ใช่ปัญหา เพราะเวลาดูหนังผมจะปล่อยวางทุกสิ่ง เปิดสมอง เริ่มต้นจากศูนย์ แล้วให้พื้นฐานของหนังที่ปูไว้พาเราจินตนาการไป บางเรื่องก็แย่จริง ๆ แม้ผมจะเปิดใจดู บางเรื่องก็เยี่ยมมาก และที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่าพยายามคิดไปล่วงหน้าหนัง เช่นว่า กะแล้วต้องแบบนี้ เออนั่นแหละต้องอย่างนั้น ทำไม่ไม่ทำแบบนั้นว้า แบบนั้นผมว่าคงดูไม่สนุกและไม่ได้แก่นของหนังเท่าไหร่ (จะยกเว้นก็แต่หนังสืบสวนที่ผมจะจดจำทุกรายละเอียดตั้งแต่ต้นเรื่อง และคิดให้ออกว่าเป็นแบบไหน)

    Hugo ที่ผมไม่รู้อะไรเลยก่อนไปดูนอกจาก trailer ที่อธิบายคร่าว ๆ แค่นั้น พอทราบว่าคือเรื่องของพ่อลูกและหุ่นยนต์ประดิษฐ์หนึ่งตัว

    มันคือนวนิยายเด็ก เหมือน แมงมุมเพื่อนรัก หรือ เอมิล ยอดนักสืบ ที่มันไม่ควรมีความรุนแรง ไม่สลับซับซ้อน และควรได้เด็กได้จินตนาการตามได้อย่าง่ายดาย

    ผมชอบที่เอาเรื่องของพ่อ ลูก และให้หุ่นยนต์ที่พ่อทิ้งไว้เป็นตัวปริศนาตามหาความจริง ตรงนี้คือสิ่งหนึ่งที่่เร้าใจเด็กเวลาได้อ่านหรือชม แม้แต่หุ่นยนต์ที่วาด ไม่ใช่เขียน ก็เป็นอีกสิ่งที่เพิ่มอรรถรสให้เด็กได้อย่างมาก แน่นอนผู้ใหญ่ยังไงก็เดาออกได้ ผมก็เดาได้ แต่ผมปล่อยให้หนังพาผมไป

    ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหนังจะพาเราไปให้เราได้เรียนรู้กับ ยุคหนังเงียบ ที่รูปวาดของหุ่นยนต์พาเราไปค้นหาปริศนานี้ สำหรับผมมันเหมือนของแถมชิ้นใหญ่ที่ได้รับจากหนัง

    ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นเด็ก เราดู hugo เพราะมีหุ่นยนต์ ซึ่งเราชื่นชอบหุ่นยนต์ที่เต็มไปด้วยปริศนาและเหมือนมีชีวิต โดยมีกุญแจหัวใจ เติมเต็มให้มัน (แน่นอน มันดูเสี่ยวมากสำหรับผู้ใหญ่ที่ดูหนังมามากมาย กะอีแค่กุญแจหัวใจ มันไม่ดูง่ายไปหน่อยเรอะ … แต่สำหรับเด็กแล้ว มันปลูกฝังให้เด็กรู้จักรักใคร ๆ รักของเล่น รักทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว) แค่เด็กอย่างเราดูหุ่นยนต์เขียนได้เราก็ตื่นเต้นมีความสุขมากมาย นี่หนังยังพาเราไปรู้จัก ยุคของหนังเงียบ ซึ่งอยู่เหรือความคาดหมายของเราอีก มันรู้สึกคุ้มค่าและเป็นโชคสองชั้นที่หนังมองให้เรา แถมเด็กอย่างเรายังได้เรียนรู้ด้วยว่าสมัยก่อน เค้าทำหนังกันอย่างไร ทำไมเราถึงมานั่่งดูหนังคงนี้ได้ คนสมัยนั้นต้องพยายามบากบั่นมากแค่ไหน เพื่อต่อสู้ให้สิ่งที่ตนรักดำรงอยู่

    พอแค่นี้ดีกว่า..หวังว่าคนที่ชื่นชอบ hugo คงรู้สึกแบบเดียวกัน

  8. สำหรับผมดู Hugo แล้วคิดถึงสมัยยังเด็กเล็กอายุตอนนั้นน่าจะใกล้เคียงกัน หลายครั้งแอบเข้าประตูทางหลังโรง(ให้คนฉายผู้ใจดีช่วยเปิดประตูให้) เพราะการได้ดูหนังในโรงคือเข้าสู่โลกแห่งความฝันและการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นที่สุด หนังหลายเรื่องที่ดูก็เป็นหนังเงียบและขาวดำเช่น Charlie Chaplin และอ้วนผอมจอมยุ่ง ซึ่งในวัยผมยังไม่มีเทคโนโลยีใดๆ แม้แต่โทรศัพท์หรือกระทั่งทีวี(ขาวดำ)ก็ยังไม่มีดู ถ้าวันไหนเป็นวันหยุดนอกจากวิ่งเล่นแถวบ้าน อ่านหนังสือการ์ตูนที่หาได้แล้ว การไปดูหนังถือเป็นสิ่งที่เบิกบานใจที่สุด ดูแล้วทำให้เข้าใจถึงการสื่อของหนังเรื่องนี้และโดยส่วนตัวชอบมากเป็นพิเศษ แต่ถ้าเป็นคนยุคใหม่หรือโตขึ้นมาหน่อยอาจจะไม่ประทับใจหรือเข้าใจกับประเด็นของหนังก็เป็นได้ครับ

  9. ส่วนตัวชอบ hugo มากกว่า ใช้ 3d ในการเล่าเรื่องได้ดีมากๆ แล้วเนื้อเรื่องยังทำให้คนที่รักหนังแบบทุนเดิมซาบซึ้งไปกันมันมากขึ้น

Leave a Reply to thailandlocationCancel reply