จากจำนวนหนังที่แต่ละประเทศส่งมา 64 เรื่อง สถาบันศิลปะและวิทยาการด้านภาพยนตร์ได้ชมแล้วตัดเหลือ 9 เรื่องครับ ในรายชื่อชุดนี้ ตัวเก็งที่จะได้เข้ารอบหลายเรื่องหลุดโผไปเหมือนกันครับ อาจเพราะการที่ตัดเหลือ 9 เรื่อง ไม่ใช่ 15 เรื่องเหมือนปีที่แล้ว เป็นต้นว่า The Flowers of War ของจางอวี้โหมว ที่นำแสดงโดยคริสเตียน เบล, The Turin Horse หนังอาร์ตของผู้กำกับเบลา ทาร์ จากฮังการี และ หนังฆาตกรรมเขย่าขวัญ Once Upon a Time in Anatolia จากตุรกี
และนี่คือรายชื่อผู้ผ่านเข้ารอบทั้ง 9 เรื่องครับ
“Bullhead” จากผู้กำกับ ไมเคิล อาร์. รอสแกม, เบลเยียม
“Monsieur Lazhar” จากผู้กำกับฟิลิเป้ ฟาลาร์โด, แคนาดา
“SuperClasico” จากผู้กำกับโอเล คริสเตียน แมดเซ่น, เดนมาร์ก
“Pina” จากผู้กำกับวิม เวนเดอร์ส, เยอรมัน
“A Separation” จากผู้กำกับแอสการ์ ฟาร์ฮาดี, อิหร่าน
“Footnote” จากผู้กำกับโจเซฟ ซีดาร์, อิสราเอล
“Omar Killed Me” จากผู้กำกับโรโชดี เซม, โมรอกโก
“In Darkness” จากผู้กำกับแอกนีสซกา ฮอลแลนด์, โนแลนด์
“Warriors of the Rainbow: Seediq Bale” จากผู้กำกับเว่ยเต๋อเซิง, ไต้หวัน
ทั้ง 9 เรื่องนี้ จะได้รับการพิจารณาโดยคณะกรรมการเฟส 2 ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดครับ แล้วลงคะแนนเพื่อคัดเลือกเป็น 5 เรื่องสุดท้ายที่จะได้เข้าชิงออสการ์ ซึ่งจะทำการประกาศกันอีกใน 5 วันข้างหน้านี้
A Separation เป็นหนังที่มีความเป็นสากลมากๆ ทุกชาติ ทุกภาษาสามารถดูหนังเรื่องนี้แล้วประทับใจในความยอดเยี่ยมได้ไม่ยาก ผมรู้สึกว่าตัวหนังไม่ได้มีภาษาหนังที่รุ่มรวย หรือน่าสนใจอะไรนัก แต่หนังมีองค์ประกอบโดยรวมทั้งบท การแสดง ตัดต่อ สอดคล้าง กลมกลืน สื่อสารแก่นเรื่องอย่างตรงประเด็น มันเป็นงานดราม่าที่ให้อรรถรสทั้งความสนุก และยกระดับความคิดจิตใจของผู้ชม คิดว่าเรื่องนี้หากไม่พลิกล็อคไม่น่าจะพลาดออสการ์นะครับ อีกเรื่องที่ผมเพิ่งได้ดูคือ The Turin Horse ที่มาฉายงาน World Film หนังค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสูง และไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน เนื่องด้วยกลวิธีนำเสนอแบบ nationalism ที่เน้นความสมจริงมากๆ ไม่มีพล็อตเรื่อง คนดูเพียงแต่จับตาดูชีวิตของ 2 พ่อลูกในแต่ละวัน ที่มีกิจวัตรน่าเบื่อ ซ้ำซาก และจมจ่อมอยู่กับความสิ้นหวัง ความโหดร้ายของกระแสลมที่พัดพาเอาความสุขไปจากชีวิตของพวกเขา มันถ่ายทอดภาพความยากลำบากของชาวนาในชนบทได้มีพลัง ผ่านภาพขาว-ดำ ที่ถูกจัดวางองค์ประกอบ และแสงอย่างปราณีตมากๆ และการใช้ลองเทคซึ่งทำให้ผู้ชมอย่างผมรู้สึกร่วมไปกับตัวละครคือ เวลาแห่งความยากลำบาก น่าอึดอัดมันช่างยาวนานเสียกระไร และดูเหมือนจะไม่มีวันจบสิ้น เฮ้อ!!! เหนื่อยครับกว่าจะผ่าน 2 ชั่วโมงครึ่งไปได้