The Girl with the Dragon Tattoo: ความเห็นหลังชม
The Girl with the Dragon Tattoo ดูจะเป็นงานชิ้นที่ดีเยี่ยมอีกชิ้นของผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ ครับ ในมุมมองของนักวิจารณ์ หนังได้เปอร์เซ็นต์คำวิจารณ์ด้านบวกไปถึง 86% และมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 7.6/10 จากการประเมินของ Rotten Tomatoes ขณะที่คะแนนจากการประเมินของ Metacritic ก็อยู่ที่ 71/100 เมื่อเปรียบเทียบกับหนังสวีเดนต้นฉบับแล้วก็คะแนนดูจะไม่ห่างกันมาก คะแนนเฉลี่ยของฉบับสวีเดนที่ RT อยู่ที่ 7.2/10 จากคำวิจารณ์ด้านบวก 86% เท่ากัน ส่วนคะแนนจากการประเมินของ Metacritic สูงกว่านิดหน่อยที่ 76/100
สำหรับความเห็นของผมแล้ว ผมให้คะแนนหนังที่ 9/10 ครับ ซึ่งสิ่งที่ชอบอย่างมากในหนัง The Girl with the Dragon Tattoo ฉบับฟินเชอร์ก็คือ สไตล์การกำกับของฟินเชอร์เองที่พยายามสร้างสรรค์และไม่นิ่งอยู่กับที่ ฟินเชอร์เลือกใช้บรรยากาศเป็นตัวเล่าเรื่องหนังเรื่องนี้ และพยายามลดฉากรุนแรงน่าสะอิดสะเอียนให้น้อยที่สุด แทนที่จะใช้ฉากโหดๆ แบบ Se7en อันเป็นงานที่มีลักษณะคล้ายกัน แต่สามารถสร้างผลกระทบต่อจิตใจได้ในระดับใกล้เคียงกัน ซึ่งการสร้างบรรยากาศนี้ให้ดูเขย่าขวัญและวิปริตก็ทำผ่านการใช้งานกำกับศิลป์ การกำกับภาพ และดนตรีประกอบที่ชวนหลอนและระทึกเป็นหลักและก็ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากด้วยครับ ยังคิดอยู่ว่าถ้าผู้กำกับคนอื่นได้ทำหนังเรื่องนี้ คงเลือกใช้วิธีสร้างฉากที่รุนแรงอย่างโจ๋งครึ่มซึ่งเป็นทางออกที่ง่ายในการเล่าเรื่องแทน อย่างไรก็ดี ผมยังคิดว่าการกำกับหนังเรื่องนี้ยังไม่จี๊ดจ๊าดหรือมีความพิเศษเท่ากับ The Social Network ครับ หนังเรื่อง The Social Network ยังเป็นงานที่ดีที่สุดของฟินเชอร์สำหรับผม
อีกส่วนที่ชอบอย่างมากที่สุดใน The Girl with the Dragon Tattoo และโดดเด่นไม่แพ้สไตล์การกำกับของฟินเชอร์ก็คือ การแสดงของรูนี มาร่า ที่สร้างสรรค์ตัวละครลิสเบธได้อย่างมีเอกลักษณ์ และชวนให้น่าจดจำครับ นอกเหนือจากการถ่ายทอดอารมณ์อันซับซ้อน ผ่านสีหน้าท่าทางที่กำลังพอดีแล้ว น่าสนใจ และชวนให้ติดตาม แน่นอนว่าการออกแบบเครื่องแต่งกายและเมคอัพช่วยให้ตัวละครนี้ดูแรงจนติดตาได้ง่าย แต่การแสดงของมาร่าในการสร้างอากัปกิริยาอาการต่างๆ และวิธีการพูดกับสำเนียงก็มีส่วนให้ตัวละครนี้โดดเด่นขึ้นไปอีก และเธอเอาทั้งเรื่องอยู่เลย ทำให้อดนึกถึงการสร้างบุคลิกฮันนิบาล เลคเตอร์ ของแอนโธนี ฮอปกินส์ ไม่ได้ครับ มีเอกลักษณ์และทำให้จดจำได้ง่ายเหมือนกัน หวังอย่างยิ่งว่าเธอน่าจะมีสิทธิ์ได้เข้าชิงออสการ์ในปีนี้ด้วย
สำหรับเพื่อนผู้อ่านเว็บที่ไปชมหนังเรื่องนี้กันมาแล้ว มีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ และให้คะแนนหนังเท่าไหร่ เชิญลงความเห็นกันได้เลย จะเปรียบกับฉบับของสวีเด่นด้วยก็ได้นะครับ และถ้าใครที่ยังไม่ได้ดูฉบับสวีเดน (ซึ่งผมเองก็ยัง) หนังจะกลับมาฉายอีกที่เฮาส์อีกครั้ง เร็วๆ นี้ครับ
โหด สะใจ โรคจิต เย็นชาน้อยกว่าสวีดิช แต่เติมคด้านอ่อนโยนของนางเอก ที่ทำให้ตอนจบจี๊ดใจสุดๆ
ผมให้เรื่องนี้ 10/10 และยกให้เป็นงานที่ดีที่สุดของ ฟินเชอร์ แต่ที่ให้เต็มไม่ใช่เพราะว่า บท หรือ ความบันเทิง หากแต่เป็นเพราะผมไม่เคยดูหนังเรื่องไหนที่มีความปราณีตในการกำกับเท่าเรื่องนี้มาก่อน มุมกล้องในแต่ละฉาก, การลำดับภาพ, ซาวน์ ทุกอย่างสุดยอดมาก รู้สึกได้ถึงความเป็นงานศิลป์ระดับมาสเตอร์พีซ
ปล.ผมไม่เคยดูเวอร์ชั่นสวีเดนหรือว่าอ่านหนังสือมาก่อน
เคยดูฉบับสวีเดนแล้วไปดูฉบับนี้ มันจะน่าลุ้นน่าติดตามไหมอ่ะครับ
ตอนแรกผมไม่คิดจะไปดูเลยเพราะไม่รู้จักนิยายเรื่องนี้เลยซักนิด แต่คงต้องคิดใหม่ซะแล้วซินะครับ ^^
เพิ่งดู The Girl with Dragon Tattoo เวอร์ชั่นสวีเดนจบ…ถ้าไม่พิจารณาเรื่องสเกลงานสร้างที่เล็กกว่าก็พูดได้เลยว่าเทียบเวอร์ชั่นของ เดวิด ฟินเชอร์ ไม่ติดเลยสักนิด
งานของผู้กำกับ Fight Club ดาร์คและจิตกว่ามาก เวอร์ชั่นสวีเดนให้ความรู้สึกเดียวตลอดทั้งเรื่อง แต่ของ ฟินเชอร์ ถึงจะมีมุขตลกบ้าง แต่ฉากที่ต้องแสดงให้เห็นถึงด้านมืดของมนุษย์นั้นทำออกมาได้น่าสะอิดสะเอียนและสยดสยองกว่าเยอะ
รายละเอียดต่างๆทั้งเรื่องปมและความรู้สึกของตัวละคร ฟินเชอร์สามารถถ่ายทอดให้คนดูรู้สึกเชื่อและรู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลมากกว่า (เผลอๆอาจจะมากกว่าหนังสือด้วยซ้ำ)
ชอบฉบับสวีเดนมากกว่านะครับ มันปูเนื้อเรื่องดีกว่า แล้วก็ไม่เร่งรัดเท่าเวอร์ชั่นนี้
ในรายละเอียดย่อยๆแล้ว สวีเดนกินขาดครับ
แต่ดูบันเทิงดูภาคเมกาดีกว่า
ผมว่ามันเป็น The Social Network ด้านมืดมากๆครับ
// สนุกเลยอ่ะ เนื้อเรื่องมันเล่าสนุก // ตัวละครมาแบบดิบเถือ่นกันทุกคน // ตรงกันข้ามกับงานสร้าง มาแบบเนี้ยบใส่สูทกันมาเลย ทั้งงานภาพ ดนตรีประกอบ คิวบู๊ // หนังยาวกว่าปกติ แต่ดูแล้วก็ไม่สามารถตัดทอนตรงใหนได้เลย เพราะนี่ ตัดต่อเดินเรื่องเร็วมากแล้ว // หนังสื่อได้ตรงเป้าในเรื่องของสตรี // ต้องบอกว่างานนี้ ฟินเชอร์ “เอาอยู่”
ส่วนตัวชอบฉบับสวีเดนมากกว่า อาจเพราะว่าดูก่อนลุ้นก่อน แล้วความรู้สึกนั้นยังค้างคาอยู่ ชัดเจนมาก
จนพอมาดูฉบับฟินเชอร์ มันทำให้ความรู้สึกในส่วนของเนื้อเรื่องนั้นไม่ลุ้นแล้ว แต่ความเนี้ยบของโปรดักชั่นก็ทำให้หนังน่าสนใจขึ้นอย่างมาก ในส่วนของการแสดงนั้น ขอบอกว่า สลับความรู้สึกกันอย่างมาก เคร็ก ดูเก่งและเข้มแข็งกว่า Michael Nyqvist จึงทำให้ลุ้นน้อยกว่ามาก ในขณะที่บทของลิซเบ็ท รูนีย์ กลับดูบอบบางกว่า นูมิ ทำให้การดูฉบับสวีเดนรู้สึกว่าบลอมควิช ต้องการความช่วยเหลืออย่างมากจากสิซเบท แต่ฉบับฟินเชอร์จะสึกว่าลิซเบท มาเป็นผู้ช่วยจริงๆ แต่ส่วนที่ชอบในฉบับฟินเชอร์มากๆ ก็คือความสัมพันธ์ของบลอมควิชกับลิซเบ็ท ที่มีความชัดเจนและส่งผลให้ตอนจบทรงพลังกว่า และรอดูภาคต่ออย่างมากๆ สรุปให้ฉบับสวีเดน 9/10 ฉบับฟินเชอร์ 8.5/10 ครับ
ให้เป็นmasterpieceของเดวิด ฟินเชอร์อีกเรื่องครับ ส่วนตัวชอบฉบับนี้ครับ (อาจเป็นเพราะดูต้นฉบับทีหลัง) คิดว่าทำได้ลงตัวดีกว่า ทั้งความปราณีตในรายละเอียดด้านของผู้หญิง(โดยเฉพาะนางเอกในฉบับนี้ชอบมาก) และด้านproductionอื่นๆก็เยี่ยม ส่วนพระเอกถ้าตัดในเรื่องว่าเคยแสดงบทเจมส์บอนด์มาก่อน ก็ถือว่าสอบผ่านได้เช่นกัน รอดูภาคต่อ
ของฟินเชอร์ทำเอาผมลืมความดีของฉบับสวีเดนไปเลย ผมว่านี่เป็นหนังที่เขาทำได้เทียบเท่ากับมาสเตอร์พีซของเขาอย่าง The Social Network เลยนะ หลายๆอย่างน่าทึ่งเอามาก ขนาดฉบับสวีเดนนี่ถือว่าดีแล้วนะ แต่ก็ยังมีบางช่วงที่เอาผมเบื่อหรือเกิดอาการหลับได้ แต่มาเวอร์ชั่นนี้ไม่ทำให้ผมรู้สึกเบื่อเลยแม้แต่ซักช่วง มันตื่นตาตื่นใจตลอดทั้งเรื่อง ทั้งที่หนังยาวประมาณ 3 ชั่วโมง และทำให้ผมโลดแล่นไปกับการสืบเรื่องของ Lisbeth และ Mikael ที่บอกได้ว่าโลดแล่นพอๆกับการเล่าเรื่องของฟินเชอร์ใน The Social Network ที่ผมทึ่งคือถึงแม้ผมจะรู้เรื่องตัวเรื่องหลักจากตัวนิยายและฉบับสวีเดนแล้ว แต่มีหลายๆอย่างที่ผมไม่คาดคิด ปรากฏขึ้นอยู่ในหนังเยอะอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดหลายๆส่วนที่มีในนิยาย ไม่ปรากฏอยู่ในฉบับสวีเดน แต่ปรากฏอยู่ในของฟินเชอร์ ที่เหมือนไม่ได้ยัดเยียดเกินไป แต่ใส่มาได้อย่างถูกจังหวะและลงตัวกับตัวเรื่อง ผมชอบหลายๆอย่างที่เวอร์ชั่นนี้ตีความออกมา และทำให้เรารู้สึกสนใจตัวหนังตลอดเวลา จนเรายังไม่อยากจะละสายตายออกจากจอโรง จะว่าไปนี่คือตัวอย่างที่ดีสำหรับหนังรีเมคในอนาคตควรเอาอย่าง คือควรหาจุดที่น่าจะทำได้ดีกว่าต้นฉบับ และทำให้น่าสนใจจนขนาดคนที่เขาเคยดูของเก่าอยู่แล้ว ยังทึ่งกับเวอร์ชั่นใหม่ได้ และสิ่งที่โดดเด่นสุดนอกจากการกำกับของฟินเชอร์แล้ว Rooney Mara เธอเกิดกับบท Lisbeth ไปเต็มๆ ของ Noomi Repace นี่ถือว่าก็ดีแล้วนะ มาเจอ Mara นี่เหนือชั้นกว่าอีก ทั้งการตีความและการแสดงออกที่ลุ่มลึกกว่าฉบับของ Noomi อย่างมาก เห็นได้ชัดเลยคือเวอร์ชั่น Mara เราได้เห็นการแสดงถึงฉับไว ที่เกินกว่าคนดูจะคาดถึงได้ โดยเฉพาะโมเมนต์ 10 นาทีสุดท้าย แสดงความไหวพริบของเธอที่เราแทบไม่ได้ตั้งตัวเลย
สำหรับผม ผมคิดว่าเวอร์ชั่นสวีเดนก็ดีในระดับของมัน แต่ของฟินเชอร์นี่แบบว่าทำได้เหนือชั้น และน่าิติดตามกว่า จนเป็นผลงานของเขาที่เรารู้สึกว่ายิ่งเขาทำหนัง เขายิ่งพัฒนาตัวเองมากขึ้น ผมอยากจะเห็นหนังรีเมคในอนาคตออกมาดีๆแบบหนังเรื่องนี้จริงๆ ที่ไม่สบประมาทรคนดูเกินและ มีความเจ๋งอะไรก็นำเสนอออกมาได้อย่างสุดโต่ง เวอร์ชั่นฟินเชอร์เลยชนะใจผมไปเลยครับ 10/10 เต็มๆ