ไม่เพียงคำวิจารณ์ที่ได้น้อยกว่าภาคแรกนิดหน่อย รายได้เปิดตัวเองก็น้อยกว่าครับ ภาคแรกเมื่อสองปีก่อนทำเงินจากการฉายวันแรกไป 24.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนรายได้เปิดตัววันแรกของภาคล่าสุดนี้อยู่ที่ 14.7 ล้านเหรียญสหรัฐ แน่นอนว่าภาคแรกนั้นมีปัจจัยส่งเสริมให้ทำเงินมากกว่า เพราะหนังเปิดฉายในช่วงคริสต์มาส และหนัง A Game of Shadows ก็มี Mission: Impossible – Ghost Protocol ที่ฉายจำกัดโรงเฉพาะ IMAX มาดึงผู้ชมไปอีกจำนวนมาก
ในด้านความเห็นของนักวิจารณ์ ท็อด แม็คคาร์ธี จาก The Hollywood Reporter ให้ข้อสังเกตว่า หนัง Sherlock Holmes ที่ตีความใหม่ และกำกับอีกครั้งโดยกาย ริชชี นี้ ยังคงใช้สูตรเดิมนั่นก็คือ “เป็นหนังแอ็คชั่นที่สนองต่อรสนิยมผู้ชมยุคใหม่โดยตรง” และดูเหมือนไม่มีส่วนไหนเลยที่การแสดงของทั้งโรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ และ จู้ด ลอว์ จะเกี่ยวข้องกับแนวคิดดั้งเดิมของต้นฉบับ
แม็คคาร์ธีเสริมอีกว่าน่าเสียดายที่ริชชีกับทีมเขียนบท “แทบจะทิ้งสูตรการดำเนินเรื่องแบบแมวไล่จับหนูอันสนุกสนาน ที่น่าจะช่วยเพิ่มดีกรีความตื่นเต้นของฉากการเผชิญหน้ากันระหว่างสองคู่ปรับที่ทัดเทียมกัน (โฮล์มส์ และ มอริอาร์ตี) ในฉากไคลแม็กซ์” เพราะบทหนังมัวแต่วนเวียนอยู่กับเรื่องการเดินทางของโฮล์มส์กับวัตสัน และหมอดูยิปซี (นูมิ ราเพซ) มากเกินไป
ส่วนโรเจอร์ อีเบิร์ต จาก Chicago Sun-Times ซึ่งให้คะแนนหนัง 3 ดาวครึ่ง ก็ให้มองหนังเรื่องนี้ว่า “มันเป็นหนังของดาวนี่ย์ ด้วยท่าทางทะเล้นและเท่ของเขา ทำให้บทโฮล์มของเขาโดดเด่นออกมาจากภยันอันตราย คิดอ่านเห็นภาพก่อนอย่างถ่องแท้ก่อนที่จะดำเนินการ ยังคงสบายๆ แม้อยู่ต่อหน้าภัยใหญ่หลวง…ผมคิดว่าสิ่งที่ต้องทำก็คือให้ทิ้งความทรงจำเดิมๆ จากเรื่องราวของโคนัน ดอย์ล เสีย เก็บมันไปก่อนในค่ำคืนฤดูหนาวนี้แล้วสนุกกับหนังเรื่องนี้ในฐานะหนังที่ให้ความบันเทิงแบบระเบิดตูมตาม”
และแม้ว่าคะแนนเฉลี่ยต่อหนังโดยรวมจะแพ้ภาคแรก เบ็ตซี ชาร์คกี จาก The Los Angeles Times ดูจะชอบมากกว่า “A Game of Shadows มีโทนที่สว่างกว่าภาคแรกนิดหน่อย และฉากแอ็คชั่นก็ใกล้เคียงกับ Lock, Stock & Two Smokey Barrels อันมันส์ระห่ำ ซึ่งผู้กำกับกาย ริชชี ยังไม่อาจส่งออกมาได้ในภาคแรก”