Super 8: ความเห็นหลังชม

เจ.เจ. อับรามส์ พยายามสร้างหนังเพื่อคาราวะต่อสตีเวน สปีลเบิร์ก อย่างเต็มที่ ใน Super 8 ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องของซัมเมอร์นี้ที่ดูจะเป็นหนังจากบทดั้งเดิม และไม่ใช่ภาคต่อ ความเห็นโดยรวมของนักวิจารณ์นั้นออกไปในทางบวกครับ คะแนนจากการประเมินของ Rotten Tomatoes สุงถึง 7.6/10 คะแนน โดยมีความเห็นด้านบวกจากนักวิจารณ์อยู่ถึง 82% ขณะที่การประเมินของ Metacritic เว็บที่เลือกประเมินเฉพาะนักวิจารณ์ชั้นนำเท่านั้น ก็มีคะแนนสูงถึง 72/100

นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ชื่นชอบการแสดงของเด็กในเรื่องเป็นพิเศษ รวมถึงทิศทางการกำกับของอับรามส์ด้วย แต่ในประเด็นเรื่องของมนุษย์ต่างดาวและองค์ประกอบด้านความเป็นนิยายวิทยาศาสตร์นั้นดูจะมีความเห็นแตกต่างกันครับ

สำหรับความเห็นส่วนตัวของผมแล้ว ผมให้ 6/10 ทั้งนี้เพราะผมชอบหนังเป็นส่วนๆ โดยเฉพาะครึ่งแรกของหนัง ขณะที่ครึ่งหลังนั้น ผมคิดว่าหนังเร่งเกินไปเพื่อให้ถึงจุดหมาย ทำให้ไม่อาจสร้างอารมณ์ร่วมได้ และจบด้วยความรู้สึกเฉยๆ อย่างมาก

หนังเปิดเรื่องได้อย่างเก๋ และสวยงาม ในการนำนำตัวละครเด็กๆ ของเรื่อง ที่หลงใหลการทำหนัง ฉากที่โจ (โจเอล คอร์ทนี่) แต่งหน้าให้อลิซ (แอลล์ แฟนนิ่ง) เป็นฉากที่ผมประทับใจเป็นพิเศษในการแสดงของทั้งคู่ที่เห็นได้ชัดว่ามีใจให้กัน แต่พยายามอดกลั้นความรู้สึกไว้อย่างมากที่สุด เป็นฉากรักแรกดรุณที่สวยงาม และน่าประทับใจอย่างที่ไม่ได้เห็นมานานมาก


แต่เมื่อหนังมีเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวและการทดลองลับของกองทัพเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมคิดว่าน้ำหนักของเรื่องราวเสียไปตั้งแต่ตอนนั้น แทนที่อับรามส์จะให้เรื่องราวดำเนินไปคล้าย The Goonies, ET หรือ Close Encounter of the Third Kind อับรามส์กลับให้กลุ่มตัวเอกของเรื่องดูจะสนใจกับการถ่ายทำหนังกันต่อไป โดยแทบไม่โยงเข้าหาซับพล็อตตรงนี้เลย จึงไม่อาจสร้างความสัมพันธ์ระหว่างโครงเรื่องหลักและโครงเรื่องรองได้ และไม่อาจสร้างความสัมพันธ์ให้ตัวเอกกับมนุษย์ต่างดาวหรือการทดลองลับได้มากพอจนทำให้เกิดความรู้สึกที่ทรงพลังได้ในตอนจบ

หนังจะมาเริ่มโยงเข้าหาก็เกือบครึ่งชั่วโมงสุดท้ายที่อลิซถูกจับตัวไป และทุกอย่างหลังจากนั้นก็ดูจะเล่าแบบง่ายดายในการให้ตัวเอกคลี่คลายปมต่างๆ และเดินไปสู่จุดหมายอย่างรีบเล่า เหมือนเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจากจุดเอไปจุดบี แต่ไม่มีการสร้างอารมณ์ร่วมให้ ดังนั้นผมจึงรู้สึกแห้งแล้งมากในฉากที่ยานอวกาศทะยานขึ้นไป

อีกประเด็นที่ผมรู้สึกว่าอับรามส์ยังทำได้ไม่ถึงพอก็คือการพยายามใส่องค์ประกอบของหนังแบบสปีลเบิร์กในหนังเรื่องนี้ ให้ความรู้สึกแบบชวนให้หวนถึงวันเก่าๆ แต่ไม่อาจเชื่อมโยงทั้งหมดได้อย่างกลมกล่อมและมีรสชาติ เหมือนเอาความเป็นสปีลเบิร์กมาให้ดูแต่ในแง่เทคนิค เสียง ภาพ เนื้อเรื่อง แต่ลืมใส่ความสนุกและลื่นไหลแบบสปีลเบิร์กมาด้วย ซึ่งอาจสร้างความประทับใจให้ได้เฉพาะคนรุ่น 70-80 ที่โตมากับหนังของสปีลเบิร์กได้หวนนึกถึงความหลัง แต่ไม่อาจทำให้คนที่ขาดประสบการณ์ร่วมได้ดื่มด่ำไปด้วยได้เช่นกัน

โดยสรุปแล้ว ผมชื่นชมในความตั้งใจของอับรามส์ในการสร้างหนัง Super 8 เพื่อให้ผู้ชมวัยผู้ใหญ่ได้หวนนึกถึงอดีต แต่หนังยังทำได้แค่เอากลิ่น รูป และเสียงมาเท่านั้น รสชาติยังแค่เหมือนได้แตะผ่านลิ้นครับ

ส่วนความเห็นของคนอื่นๆ ที่ผมอ่านมา ก็ดูจะแตกออกเป็นสองขั้วอย่างเห็นได้ชัด มีแบบที่ชอบมาก และไม่ชอบอย่างมาก แม้แต่ผู้กำกับชั้นนำของเมืองไทยเองก็ยังมีความเห็นต่างกันในเรื่องนี้

ทรงยศ สุขมากอนันต์ ผู้กำกับ “เด็กหอ” ให้ความเห็นในทวิตเตอร์หลังไปชมมาว่า “ไปดู super 8 มา 2 รอบแล้วภายใน 2 วันแรก จนถึงตอนนี้เป็นหนัง summer ปีนี้ที่ผมชอบที่สุด ตามด้วย x-men: first class ชอบการกำกับของ J.J. Abrams ที่เล่นกับความคลุมเครือและจินตนาการ ชอบจังหวะหนังที่แม่นยำ ชอบไดเร็คชั่นการแสดง ชอบงานรสนิยมทั้งหมดของหนัง ต่อจาก Startrek และ Super8 ผมนับวันรอหนังเรื่องต่อไปของ J.J.Abrams นับแต่วันนี้ ถึงเว่อแต่จริงนะครับ” และให้ความเห็นเพิ่มเติมทีหลังถึงฉากที่ชอบเป็นพิเศษว่าชอบซีนรอยเลือดบนคอ ตามองตาตอนท้ายก่อนไปขึ้นเครื่อง และสร้อยลอยหลุดมือมาก ขณะที่ผู้กำกับ บรรจง ปิสัญธนะกูลจาก “กวน มึน โฮ” ก็ทวีตความเห็นไปในทางตรงกันข้ามว่าผิดหวังกับหนัง “Super8 ให้ความรู้สึกเหมือนงานของสปิลเบิร์กสมัยก่อน แต่เป็นเรื่องที่ไม่เวิร์กนะ T_T

ทำไมความเห็นถึงออกมาเป็นสองทางเช่นนี้อย่างชัดเจน บางทีความเห็นของท่านมุ้ยอาจจะอธิบายได้ดีที่สุด ซึ่งท่านได้ให้ความเห็นต่อหนัง Super 8 ในเว็บบอร์ดห้องเฉลิมไทยของพันทิปว่า “หนังเรื่อง Super 8 ไม่ใช่หนังในทำนองสัตว์ประหลาดล้างโลก หรือเรื่องพ่อลูก อะไรหรอกครับ แต่เป็นเรื่องเด็กทำหนังเดรื่องหนึ่ง ซึ่งเมื่อเสร็จแล้วก็คือหนังที่ฉายในตอนจบนั่นเอง หนังสนุกครับ ถ้าเข้าใจว่าเจเจพยายามบอกอะไรเราครับ

ท่านเสริมความเห็นด้วยว่า “Super 8 น่าจะเป็นหนังที่พวกเด็กๆสร้างแล้วฉายตอนท้ายเรื่องครับ คือเป็นหนัง Super 8 ครับ ส่วนเนื้อหาที่เหลือคือเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังหนังเรื่องนั้นครับ เท่าที่สังเกตุเห็นว่าหนังของพวกเด็กๆ(รู้สึกว่าเป็นเรื่องthe case หรืออะไรเทือกนั้น) จะไม่มีพูดถึงสัตว์ประหลาดเลยทั้งๆที่ถ่ายได้โดยบังเอิญ (จะมี Production value อะไรที่ใหญ่ไปกว่านั่นอีกแล้ว) แต่กลับพูดถึงสงครามเวียดนามกับซอมบี้ที่กำลังเป็นหนังที่ดังในยุคนั้น (อย่างเรื่อง Invasion of body snatcher หรือหนังของ Ed Wood ) ทำให้คิดว่าเรื่องสัตว์ประหลาดเป็นเรื่องจริงหรือเป็นการหลอกให้คนดูหลงทางเล่นๆ ผมก็เดาไม่ถูกเหมือนกัน

แต่เรื่องเบื้องหลังการถ่ายหนังเจเจทำได้สวยงามมาก อย่างเด็กฟันยื่นที่เป็นไพโรเท็คนิคจะมีอุปกรณ์ระเบิดติดตัวตลอดเวลา นางเอกวัยเด็กที่สารถเล่น method ได้ดีเหลือหลายขขนาดดารากับผู้กำกับถึงอ้าปากค้าง(ชอบตอนที่พระเอกให้แสดงเป็นซอมบี้เพียงแค่อธิบายถึงครูที่ทั้งสองคุ้นเคยก็สามารถเล่นได้เลยทีเดียว

เพื่อนๆ มีความเห็นอย่างไรต่อหนังกันบ้างครับ และจะให้คะแนนกันเท่าไหร่หากเต็ม 10 จัดกันมาเลย

13 comments

  1. ความเห็นผมนะ

    ตูเกลียดเด็ก แล้วเรื่องนี้เด็กมันพูดมากฟ่ะ
    ปูเรื่องนานนิดนึง แต่หลัง ๆ ตื่นเต้นดี
    บทพ่อลูกก็พอซึ้งนิดนึง
    ฉากบู๊ๆก็ดูวุ่นวายดี
    ดีไซน์alienไม่โดนใจ
    อะไรอยู่เบื้องหลังไม่ต้องไปคิดให้เสียเวลาถึงเวลามันก็เฉลยเอง
    เด็กเป็นตัวเอกไม่darkจริงด้วย ขนาดรถไฟตกรางข้าง ๆ ยังแค่มือถลอก
    มีหลายอย่างไม่สมเหตุสมผลก็อย่าไปคิดมาก เชื่อ ๆ ตามเค้าไปเถอะ
    จบไม่ค่อยรู้สึกยิ่งใหญ่ อย่างที่หนังพยายามบิวด์ คนดูไม่ได้เห็นใจเอเลี่ยนเหมือนตัวพระเอกน่ะสิ

    สรุป สนุกแบบตลาด ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก
    ให้ 7.4/10 ละกันครับ

  2. ผมว่าเป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่งนะ ทำให้หวนกลับไปนึกถึงหนังของสปิลเบิร์ก อย่างเช่น E.T.
    ทุกอย่างดีหมด ค่อยๆ เปิดเผยเจ้าตัวสัตว์ประหลาด ว่าจะออกมาหน้าตาเป็นแบบไหน จะมีตินิดนึงก้อตรงที่ช่วงหลังหนังเร่งไปหาเรื่องของสัตว์ประหลาดมากไป จึงทำให้อารมณ์ขาดหายไประหว่างความสัมพันธ์ของตัวละคร
    แต่ตอนจบก้อประทับใจดีครับ

    ปล. ฉากสุดท้ายทำไมไอ้ทหารมันไม่ปล่อยให้ปืนลอยไปล่ะ ถือไว้อยู่ได้ 555+

  3. ชอบช่วงแรกมาก ภาพสวยเล่นแสงดีสุดๆยิ่งดูยิ่งแบบรู้สึกว่าอยากถ่ายทำภาพให้ได้แบบนี้จังทำไงดีอ้ะต้องใช้ไรบ้าง

    แต่พอเรื่องดำเนินไปเรื่อยเริ่มเอื่อยๆกับเรื่องราวของครอบครัวและเพื่อนๆและตัวละครที่มาปนๆเปๆกัน
    กลายเป็นว่าจุดของสัตว์ประหลายเริ่มมีน้อยลงๆ แล้วจู่ๆก็ตูมเดียวเลยตอนใกล้จะจบ ทหารบุก สัตว์ประหลาดอาละวาด ผมว่าตอนหลังๆดูมันตามพล็อตหนังสปิลเบิร์กไปนิดนึงแถมยังทำได้ไม่สุดอีกฉากแอ็กชั่นช่วงหลังๆอ้ะครับ

    แต่ฉากรถไฟนี้สุดยอดมากๆทั้งมุมกล้องเอ็ฟเฟ็ก ทั้งเรื่องชอบฉากนี้ฉากเดียวจิงๆ ถึงจะโคตรเวอร์ระเบิดขนาดนั้นแล้วไม่มีใครตายก็เหอะ

    เต็ม 10 ให้ 6 แล้วกันครับ

  4. ชอบเด็กครับ ชอบความเป็นเด็ก ชอบความทรงจำในวัยเด็ก และความชาญฉลาดที่ สปีลเบิร์กนำมาเล่น…ประทับจิตสุดๆ

  5. ส่วนตัวแล้วอยากให้ 7.5 ครับ
    หนังสนุกในระดับนึงแต่ก็ขาดอรรถรสเรื่องความสัมพันธ์ของบางตัวละครและตอนจบที่เดาทางได้เพราะเหมือนตั้งใจจะทำให้เป็นหนังเด็กดูด้วย – –
    ในมุมมองส่วนตัว หนังเรื่องนี้สามารถดึงกลิ่นอายการใช้ชีวิตของเด็กๆ ในยุคนั้นออกมาได้ดี ซึ่งจุดนี้เราจะเห็นได้จากบทบาทของ ชาร์ล เพื่อนสนิทพระเอก
    ขณะที่ โจ พระเอกของเรื่องเมื่อดูแล้วกลับทำให้นึกถึงตัวตนในจินตนาการของเด็กๆ ในสมัยก่อน เช่น เวลาที่เรากำลังเล่นเป็นฮีโร่ปราบสัตว์ประหลาด พระเอกจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ นั่นแหละ เลยทำให้นึกถึงพระเอกของเรื่องนี้ และ นี่ก็นับเป็นอีกจุดที่ทำให้หนังดูเหลื่อมๆ
    สิ่งที่น่าเสียดายมีหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือบทของพ่อพระเอกครับ อุตส่าห์มีบทเท่ห์ๆ และปูทางมาให้เราดูว่าเก่งมากกกกกก แต่ก็แค่นั้นครับ ไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรลูกเท่าไร แถมยังดูไม่เคลียร์อีกว่าจะปูทางเรื่องปมดราม่าระหว่างพ่อกับลูกไปทำไมตอนต้นเรื่อง
    จุดอื่นๆ มีหลายคนพูดไปแล้วขอไม่พูดซ้ำนะครับ

  6. คะแนนนี้คือความชอบส่วนตัวผมให้ 8/10 เลย…!
    เป็นหนังที่มีเนื้อเรื่องเจริญรอยตามหนังแบบ E.T. 100%
    แต่หนังกลับมีความรู้สึกใหม่ที่น่าติดตามความสันพันธ์
    ของตัวละครระหว่างพ่อลูก ที่ผมดูแล้วประทับใจมากๆ
    มนุษย์ต่างดาวไม่โง่เหมือน ET. แถมยังฉลาดเป็นกรด
    (เห็นด้วยที่ไม่สงสารมนุษย์ต่างดาว) และช่วงท้ายหนัง
    ผมชอบหนังที่เด็กถ่ายหนังเรื่องซอมบี้ที่สุดฮา…

    ปล…ปีนี้บอกตรงๆว่ามีหนังดีมากกว่าทุกปีเท่าที่เคยดูมาครับ อิ่มทุกเรื่อง….
    มีความสุขมากๆที่ได้ชมหนังคุณภาพมาตั้งแต่ต้นปีจนตอนนี้ยังไม่หมดเลย….
    แล้วเจอกันเรื่องต่อไปอีกไม่กี่วันแล้ว สุดยอดเลยปี 2011 ปีนี้….สนุกสุดๆ !!

  7. โดยรวมแล้ว ให้ 6 / 10 ครับ จริงๆ ก็รอดูมานานโข อารมณ์แรกที่เห็นตัวอย่าง คงประมาณ The X-file แบบใหม่ แต่พอมาดูแล้ว มันไม่ได้อย่างใจ เนื้อเรื่องก็ไม่ต่างจากหนังสัตว์ประหลาดทั่วไป ที่ถูกจับ แล้วหนีรอด ตัวละครสำคัญตัวนึง ถูกจับไป แล้วพระเอกก็ต้องตามไปช่วย แต่มันกลับเป็นสัตว์ประหลาดที่มีวิทยาการ สติปัญญาสูงซะงั้น แล้วยุคนี้เป็นยุคที่ ตัวละคร จะต้องมีด้านมืดส่วนนึงในภูมิหลังของชีวิต ไม่ว่าจะเป็น พ่อ หรือแม่ มาแนวเดียวกันทุกเรื่อง ชีวิตมันเศร้า เพราะมีปัญหา

    ดีที่หนังได้การแสดงที่น่าปรบมือให้สำหรับเด็กๆ และฉาก CG ที่ดูอลังการมาก (ช่วงแรก) ไม่งั้นคงกลายเป็นหนังเกรด B
    ส่วนฉากอื่นๆ ก็ไม่ได้แตกต่างจากหนังสัตว์ประหลาดหรือมนุษย์ต่างดาวที่หาดูได้ทั่วไป และก็จบแบบง่ายๆ ไปหน่อย

    ผิดหวังเล็กๆ

  8. หนังดีครับ แต่ผมรู้สึกผิดหวังในโทนของหนัง
    การโปรโมตหนังเรื่องนี้กับตัวหนังนั้นมันคนละทางกันเลย
    หนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างกับหนั่งมนุษย์ต่างดาวทั่วไป ไล่ล่า หนีเอาชีวิตรอด
    ผิดกับตัวอย่างหนังที่สื่อว่าจะเป็นหนังแนวลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน
    พอไปดูแล้วรู้สึกผิดหวังอย่างมากเลย

    และหลายฉากนั่นสร้างออกมาเพื่อความบันเทิง ทำให้ดูสนุกตื่นเต้นมากเกินไป จนมันไม่สอดคล้องกับตัวหนัง
    อย่างฉากที่เด็กวิ่งอยู่ในเมืองแล้วก็มีรถถังยิงกันตูมตาม คนละทิศ คนละทาง ไม่รู้มันจะยิงอะไรมั่วไปหมด
    และมนุษย์ต่าวดาว กินคนเพื่อ… อยู่รอด? หรือโกรธแค้นที่โดนจับขัง ฆ่าอย่างเดียวไม่พอ ต้องกินด้วย?

    หนังเรื่องนี้มันผิดไปจากหนังเรื่องเก่าๆของ jj อย่างมาก หนังไม่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนอะไรเลย ซึ่งมันดูเป็นหนังธรรมดาตามท้องตลาดทั่วไป รู้สึกผิดหวังมากๆคับ

    แต่หนังมันก็ไม่ได้เลวร้าย เวลาดูก็ต้องคิดแบบว่าลืมหนังเรื่องเก่าๆของ jj ออกไปให้หมด คิดซะว่ามาดูหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลกอีกเรื่องก็พอ
    ผมให้ 6/10 ครับ

  9. ผมชอบมากครับ แต่อยากให้หนังมีความยาวมากขึ้นกว่านี้อีกนิดนึง
    เพราะตอนท้ายของเรื่องนั้น ดูเหมือนว่าจะเร่งมากเลย เสียดายที่หนังรีบจบไป ความจริงแล้ว JJ น่าจะใช้เวลาในตอนท้าย
    ให้มากกว่านี้ได้อีก ผมไม่เสียดายเวลาเลย..ถ้าจะนั่งดูหนังเรื่องนี้ต่ออีก ครึ่งชั่วโมง เพราะทุกอย่าง ดูดีไปหมด งานสร้าง
    พิถีพิถันมากๆ JJ ไม่พลาดเลยกับความละเอียดของงานสร้าง บรรยากาศ มุมกล้อง มันดูดีไปหมดจริงๆ คลาสสิคสำหรับงาน
    สร้าง รวมไปถึงนักแสดงเด็กๆนั้น ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก มากๆจริงๆทั้งโจ คอทนี่ และแอล แฟนนิ่ง สิ่งหนึ่งที่ขอชื่น
    ชมอย่างมากคือ เทคนิคด้านเสียง หนังเรื่องนี้พรีเซ้นท์ระบบเสียงได้อย่างทรงพลัง ลูกเล่นแพรวพราว โดยเฉพาะฉากรถไฟ
    ดนตรีประกอบของ Michael Giacchino ก็ออกมาดี แต่ฟังแล้วเหมือน Lost ไปหน่อยในหลายๆช่วง แต่ก็ชอบมาก
    โดยส่วนตัวแล้วชอบมาก แต่ถ้าหนังยาวกว่านี้อีกนิด น่าจะทำให้เรื่องอารมณ์ที่ขาดหายไปในตอนท้ายดีมากขึ้น 8/10

  10. สำหรับผมชอบนะ แต่แฟนผมไม่ชอบ สำหรับหนังนั้น หลายฉากยัง ทำออกมา งงๆครับ ถ้ายาวขึ้นอีกนิด ใส่รายละเอียดเข้าไปหน่อยจะดูได้เข้าใจมากขึ้นครับ แต่ในส่วนภาพ มุมกล้อง การแสดงเด็ก ผมว่าดีมากนะ ให้ 8/10 ดนตรีปรกอบตอนท้ายเรื่อง ดีมากได้อารมมาก โดยรวมแล้วให้ 8/10 2แต้มที่หายไป สำหรับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่หายไปครับ

  11. ผมไห้ 2/10ครับ เพิ่งไปดูมาเมื่อวาน เลวร้ายเลวร้ายมากๆๆ สิ่งที่ทำได้ยังนั่งดูต่อเพราะเหล่านักแสดงเด็กที่เล่นดีและน่ารักแต่นอกจากนั้นไม่มีอะไรเลย ไม่มีอารมณ์ร่วม ไม่มีความตื่นเต้น ไม่มีความรู้สึกหนัง สปีลเบิ๊กกกก ฉบับ ก่อนๆซํกนิด ในปีนี้ยังไม่เคยดูเรื่องอะไรในโรงแล้วเซ็งอย่างนี้เลย ล่าสุด เป็นซักเก้อพันซ์แต่ก้อไม่ เฟลขนาดนี้ ….สำหรับเรื่องเนื้อเรื่องผมไม่ งง นะ ผม เข้าใจหมด แต่มัน ไม่สนุก เลยอาทิตย์หน้าผมคงไม่แปลกใจที่จะเห็น ซุปเปอร8 ตกจากบ๊อกซออฟฟิส……..เสียใจจริงๆ(อาจจะเป็นเพราะหวังไว้เยอะ)

Leave a Reply to tatumCancel reply