บทสัมภาษณ์ เบน คิงส์ลีย์ พูดถึงตัวร้ายแมนดาริน และแนวทางการรับบท ใน Iron Man 3

iron man 3 full trailer cap 04เพื่อให้เรารู้จักนักแสดงและตัวละครในหนัง Iron Man 3 มากขึ้น วอลท์ ดิสนี่ย์ ประเทศไทยได้ส่งบทแปลบทสัมภาษณ์ของทีมนักแสดงและผู้กำกับหนังมาให้ครับ เราจะพยายามนำมาลงเรื่อยๆ ให้หมดก่อนที่หนังจะเข้าฉาย เพื่อเป็นการเตรียมข้อมูลแก่แฟนหนังทุกคน และบทสัมภาษณ์แรกที่เราจะเอามาให้อ่านก่อนก็คือบทสัมภาษณ์ของเบน คิงสลี่ย์ ผู้รับบทแมนดาริน ตัวร้ายของเรื่อง

คิงสลีย์เป็นนักแสดงรางวัลออสการ์จากหนังเรื่อง Gandhi ในปี 1984 และเคยได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์อีกจาก Bugsy (1991), Sexy Beast (2000) และ House of Sand and Fog (2003) บทบาทล่าสุดที่นักดูหนังของบ้านเราได้ชมกันก็คือบทของผู้กำกับหนังตกอับใน Hugo ของผู้กำกับมาร์ติน สกอร์เซซี ซึ่งเป็นหนังเข้าชิงรางวัลออสการ์เมื่อปี 2012 ครับ

ในบทสัมภาษณ์ คิงสลี่ย์ให้ข้อมูลถึงตัวร้ายแมนดารินว่าเป็นใคร มีแรงจูงใจยังไง เขาเตรียมตัวในการรับบทยังไง พูดถึงการออกแบบลักษณะการพูดของตัวละครด้วย ไปจนถึงการทำงานร่วมกับโรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ ครับ อ่านทั้งหมดได้จากด้านล่างนี้เลย

Q: คุณคุ้นเคยกับแฟรนไชส์ Marvel’s “Iron Man” และตัวละครของเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหนก่อนที่จะเซ็นสัญญารับบทนี้

A: ตอนที่ผมได้ยินจากเชน แบล็ค [ผู้กำกับ] จริงๆ แล้ว ผมยังไม่ได้ดู “Iron Man” หรือ “Iron Man 2” ด้วยซ้ำไป เขาก็เลยส่งแพ็คเกจพิเศษสุด ที่ประกอบไปด้วยภาพวาด ภาพกราฟิค การ์ตูนมาร์เวล งานอาร์ตเวิร์ค รวมถึงหนังทั้งสองภาคให้ผม ซึ่งผมก็ดูระหว่างที่ผมถ่ายทำหนังอีกเรื่องหนึ่งในนิวออร์ลีนส์ ผมยินดีมากๆ ที่ได้เห็นว่าตัวละครเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปตามแบบฉบับ พวกเขามีหลายมิติจริงๆ ผมได้รับแรงบันดาลใจอย่างมาก โดยเฉพาะจากโรเบิร์ตและกวินเนธ ผมไม่ได้เจาะจงเฉพาะพวกเขานะครับ แต่พวกเขาเป็นเหมือนแกนกลางของเรื่อง และแล้วดอน ผู้ซึ่งวิเศษสุด ก็ได้มาร่วมทำงานในหนังเรื่องนี้ด้วย มันไม่ใช่หนังลอกเลียนแบบตามสูตรทั่วๆ ไป แต่มันมีอะไรบางอย่างที่ออริจินอลเกี่ยวกับสิ่งที่ผมคงต้องใช้คำว่าการถ่ายทอดหนังเรื่องนี้ออกมาอย่างชาญฉลาดน่ะครับ ดังนั้น ผมก็เลยยินดีอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับพวกเขา

Q: คุณรับบท “ผู้ร้าย” อย่างไร

A: ผมคิดว่ากฎของการรับบทที่ถูกเรียกอย่างง่ายๆ ว่า “ผู้ร้าย” คือนักแสดงคนนั้นจะต้องยอมรับว่าตัวละครพวกนั้นเป็นเหมือนอีกปลายด้านหนึ่งของหนัง เป็นตัวแบกรับหนังในด้านมืด พวกเขามีความรู้สึกของความชอบธรรม ในแบบที่คนดีๆ ปกติไม่มีกัน ปกติแล้ว คนดีๆ จะค่อนข้างถ่อมตัวและตีค่าตัวเองต่ำเหมือนพระเอกหรือนางเอกของเรา พวกเขาไม่ได้มองตัวเองอย่างจริงจังมากนัก แต่คนที่มีนิสัยชั่วร้าย ชื่นชอบการทำลายล้างมักจะรู้สึกทำนองว่า เราจะทำแบบนี้ได้มั้ย? มันสนุกทีเดียวครับ พวกเขามักจะหลงตัวเอง หยิ่งยะโส และสนใจแต่ในความชอบธรรมตามความรู้สึกของเขาเอง ดังนั้น เมื่อแมนดารินที่รักของเราได้สื่อสารไปถึงประธานาธิบดีหรือกับคนทั้งประเทศ เขาก็ไม่ได้เป็นคน “ชั่วร้าย” แต่เขามีความรู้สึกของความชอบธรรมและความสูงศักดิ์ครับ

Q: การแสดงของโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ทำให้ตัวละครโทนี สตาร์คเข้าถึงได้รึเปล่า

A: โทนีกลายเป็นตัวละครที่เข้าถึงได้เพราะโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์และเป็ปเปอร์ก็เป็นตัวละครที่เข้าถึงได้เพราะกวินเนธ พัลโทรว์ ในขณะที่โรดี้ก็เป็นตัวละครที่เข้าถึงได้เพราะดอน ชีเดิล ทุกคนเลยครับ รวมถึงกาย เพียร์ซในบทคิลเลียนด้วย ทุกคนแสดงต่อหน้ากล้องและทำให้เราเห็นถึงมนุษย์ที่ค่อนข้างจะซับซ้อน ที่มีพื้นฐานจากตัวละคร จากโลกใบนี้และโลกแห่งความเป็นจริงน่ะครับ

Q: คุณเคยรับบทผู้ร้ายที่ร้ายกาจรวมถึงวีรบุรุษมาแล้ว คุณเลือกตัวละครพวกนี้เพราะแรงจูงใจบางอย่างหรือความจริงในบทนั้นๆ หรือคุณเคยบอกมั้ยว่า ‘ตอนนี้ ผมอยากรับบทผู้ร้ายแล้วล่ะ’

A: ไม่เลยครับ อาชีพนักแสดงของผมไม่ได้มีโครงสร้างอะไรเลย ผมคิดว่าคุณสามารถกีดกันสิ่งต่างๆ ออกไปได้ ถ้าคุณยืนกรานว่าบทบาทต่อไปของคุณจะเป็นอะไร คุณก็จะกีดกันข้อมูลที่วิเศษสุดทั้งหลายที่จะหลั่งไหลมาจากทั่วโลก ผมแปลกใจกับบทที่น่าตื่นเต้นที่สุดบางเรื่องที่ผมเคยอ่าน ซึ่งผมจะไม่รู้เลยจนกว่าผมจะได้เปิดหน้าแรกออกอ่าน นี่คือคนที่ผมตามหา ผมจำเขาได้ ผมไม่ได้ผิวปากเรียกหาเขาในความมืดหรอกนะครับ แต่ผมจะจดจำเขาได้เมื่อผมเจอเขา

Q: พอคุณได้เห็นเจอเขาแล้ว คุณเตรียมตัวเองอย่างไร ทั้งหมดนั่นเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจแบบเดิมๆ สำหรับคุณรึเปล่า

A: ใช่ครับ ผมคิดว่าผมเตรียมตัวจากสิ่งที่ปรากฏบนหน้ากระดาษ ผมเคารพในมือเขียนบทครับ ด้วยความที่ผมมีแบ็คกราวน์จากละครเวทีคลาสสิกในอังกฤษ ผมก็เลยเคารพในความเจ็บปวด ปัญหาและความสุขที่มือเขียนบทได้ประสบในการจารึกถ้อยคำเหล่านั้นลงบนหน้ากระดาษ ผมเนรมิตชีวิตให้มัน ผมไม่อยากจะปรับเปลี่ยนแม้แต่คำเดียวในบท ผมชอบการทำให้สิ่งที่มีอยู่แล้วเวิร์คเพราะสิ่งที่อยู่ในนั้นคือตรรกะของตัวละครตามมุมมองของมือเขียนบทที่มีพรสวรรค์ ซึ่งในกรณีของเราคือดรูว์และเชน และผมก็เคารพตรงนั้นอย่างมาก ผมบอกว่า “ผมจะพบอะไรจากสิ่งที่ปรากฏบนหน้ากระดาษล่ะ” แล้วผมก็ค่อยต่อยอดจากตรงนั้น มันเป็นอะไรที่เรียบง่ายครับ ผมมีจินตนาการบรรเจิดและผมก็ได้รับบทที่พิเศษสุดและค่อนข้างจะหลากหลายมาแล้ว รากเหง้าของผมคือเชคสเปียร์ ผมมองหาสิ่งที่เปราะบางและยิ่งใหญ่ อย่างที่เชคสเปียร์มักจะทำ มันเป็นการผสมผสานกันที่ยอดเยี่ยมครับ

Q: คุณได้พบเสียงที่น่าสนใจมากๆ สำหรับแมนดาริน คุณนึกถึงเรื่องนั้นหรือมันออกมาเองล่ะ

A: มันออกมาเองครับ วันหนึ่ง ระหว่างที่ผมทำงาน และผมก็เดินพล่านอยู่ในห้องโรงแรม พวกเขาขอให้ผมออกจากที่นั่น แล้วผมก็พูดโพล่งคำแบบแมนดารินออกไปสองสามคำ มันก็เลยถูกนำเอามาใช้ด้วย

Q: งั้นคุณจะบอกได้มั้ยว่าเสียงนั้นมาจากภายในตัวคุณ

A: ผมคิดว่า ‘การมาจากภายในตัว’ เป็นวิธีการอธิบายที่ดีมากๆ เพราะมันคงเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะพยายามเป็นตัวแทนของคนที่ใครๆ ก็รู้จักหรือพยายามจะเลียนแบบหรือลอกเลียนอะไรซักอย่างเพราะแมนดารินเป็นตัวละครที่ออริจินอลเหลือเกิน ผมคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่นักแสดงจะทำคือการพยายามและปลดปล่อยมันออกมาจากภายในเพราะคุณไม่รู้เลยถึงตัวละครมากมายไม่รู้จบที่รอคอยจะโบยบินอยู่ภายในตัว ภายในตัวคุณมีอะไรมากมายเกินกว่าที่คุณคิดอีกนะครับ

Q: ตัวละครตัวนี้มีบางแง่มุมที่เชื่อมโยงกับตำนานเทพปกรณัมคลาสสิก ซึ่งหนังหลายเรื่องมักจะมองข้ามไป

A: พวกเขามองข้ามเทพปกรณัมคลาสสิกเพราะเรื่องพวกนั้นเป็นความจริงในเวอร์ชันที่ไม่ได้เป็นการเลียนแบบสิ่งที่เลียนแบบมาจากสิ่งที่เลียนแบบอีกที คำว่าแบบฉบับนั้นมาจากตำนานโบราณครับ และแบบฉบับก็มักจะหมายถึงการเลียนแบบด้วย

Q: คอสตูมของแมนดารินใน Marvel’s “Iron Man 3” มีที่มาจากหนังสือการ์ตูนรึเปล่า

A: ผมรู้สึกว่ามันจะพัฒนาขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติจากสิ่งที่อยู่ในบทและจากสิ่งที่แฟนๆ ชื่นชอบมาเนิ่นนาน และด้วยความคิดของหลุยส์ ฟร็อกลีย์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายและเชน [แบล็ค] และดรูว์ [เพียร์ซ] รวมถึงทุกคนที่เกี่ยวข้อง ผมก็หวังว่ามันจะตอบสนองความคาดหวังพวกนั้นและสร้างความประหลาดใจได้ด้วยเช่นกันครับ

Q: ในกองถ่าย คุณเคยรู้สึกแปลกใจบ้างมั้ยที่สิ่งที่คุณทำกลายเป็นธรรมชาติมากขึ้นจากผลลัพธ์ของสิ่งที่อีกคนหนึ่งกระทำน่ะ

A: ผมคิดว่าเราต้องทำแบบนั้นครับ ผมคิดว่าภาพที่เปรียบเทียบได้ดีที่สุดคือการแข่งขันเทนนิสที่รวดเร็ว ดังนั้น มันก็ไม่มีทางที่เพื่อนคุณที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของเน็ทจะสามารถปรับความรู้สึกได้ว่า “อ๋อ เขากำลังเล่นเกมแบบนั้นอยู่” มันจะอยู่ในร่างกาย และคุณก็ตอบสนองด้วยร่างกายเช่นกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้การแสดงเป็นอะไรที่ปลดปล่อยและทำให้เรามีความสุข มันไม่ได้เป็นกระบวนการที่ใช้ความคิด แต่เป็นการแสดงออก และอาศัยการฟังอีกฝ่ายและสนุกไปกับจังหวะของอีกฝ่าย สเปนเซอร์ เทรซี ฮีโรคนหนึ่งของผมจากหนังสมัยก่อน ที่ผมเคยดูทางโทรทัศน์ตอนเป็นเด็ก เคยบอกว่า “เป็นการทำให้อีกฝ่ายดูดี” มันเป็นวิธีการแสดงและเข้าฉากด้วยกันที่งดงาม โรเบิร์ต [ดาวนีย์ จูเนียร์] และผมมีความสุขกับระดับความสนใจยอดเยี่ยมที่เรามีให้กันและกันระหว่างที่เราแสดง ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากๆ มันเหมือนกับการแข่งเทนนิสชายเดี่ยวของวิมเบิลดันที่น่าทึ่งจริงๆ ครับ

Q: ปฏิกิริยาเคมีแบบนั้นเกิดขึ้นบ่อย แม้กระทั่งในระหว่างการซ้อมรึเปล่า หรือถ้ามันจะเกิดขึ้น มันก็เกิดเองนั่นแหละ

A: ผมคิดว่าคุณสามารถเห็นจุดเริ่มต้นของมันได้ในการซ้อม แต่ในการซ้อม เราทุกคนต่างก็รู้ว่าเราไม่ควรจะปล่อยให้ไฟลุกไหม้มากเกินไปเพราะเราเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่เครื่องจักร ครั้งหนึ่งแฮร์ริสัน ฟอร์ดเคยบอกผมว่า ตอนที่ผู้กำกับสั่ง ‘แอ็กชัน’ กับนักแสดง อะดรีนาลินจะหลั่งออกมาเทียบเท่ากับตอนที่นักบินเครื่องบินต่อสู้เริ่มเดินเครื่องครับ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายเรา ผมเคยได้ยินคำเปรียบเทียบอย่างอื่น แต่ความจริงมันก็คล้ายๆ กันนั่นแหละครับ มันเป็นเรื่องจริงที่ได้รับการยอมรับว่าพอสั่งว่า ‘แอ็กชัน’ เคมีในร่างกายจะได้รับความกระทบกระเทือนอย่างน่าตื่นเต้นจนมันกลายเป็นการแข่งขันเทนนิสที่รวดเร็วมากๆ อย่างที่ผมพูดไว้ และผมกับโรเบิร์ต [ดาวนีย์ จูเนียร์] ก็แสดงกันได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเราก็รักในความไว้วางใจนั้น ผมสามารถส่งบทนี้ให้กับคุณ และคุณก็สามารถโยนมันกลับมาได้ ผมรู้ว่าเขาจะโยนมันกลับมา มันเป็นสิ่งที่เรารู้กันโดยไม่ต้องพูดครับ เหมือนกับว่า “อรุณสวัสดิ์ อรุณสวัสดิ์ มาสิ มาเริ่มกันได้แล้ว” น่ะครับ

Q: พลังงานนั้นเป็นสิ่งที่คุณได้ฝึกฝนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้รึเปล่า

A: มันไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ การแสดงของผมเป็นรูปแบบของความตื่นตระหนกตกใจที่ควบคุมได้น่ะครับ

Q: อะไรคือแรงจูงใจของแมนดารินIRON MAN 3

A: ผมคิดว่าแรงจูงใจของเขาคือการกลับด้านลำดับขั้นแบบปิรามิดของอารยธรรมอย่างที่เรารู้จักด้วยการอ้างถึงสัญลักษณ์สำคัญ ประวัติศาสตร์ รวมถึงเรื่องน่าขันต่างๆ ที่อยู่ภายในประเทศอารยะทั้งหลาย เขาโจมตีมันอย่างทารุณและไร้ปรานีเพื่อทำในสิ่งที่ชอบธรรมในความคิดของเขา ซึ่งก็คือการทำลายอารยธรรมนี้ ซึ่งเขาพิจารณาอย่างชาญฉลาดแล้วว่า น่าหัวร่อ สิ่งที่เป็นแรงจูงใจของเขาคือความรู้สึกชอบธรรม ไม่ใช่ความชั่วร้าย ความรู้สึกชอบธรรมนั้นเป็นแรงจูงใจของเขาและมันก็เป็นแรงจูงใจของผมการรับบทนี้ด้วย เขาอยากจะพลิกสัญลักษณ์สำคัญของอารยธรรมโลกตะวันตกจากหน้ามือเป็นหลังมือ และเปลี่ยนแปลงสถานที่สำคัญรวมถึงสิ่งที่เรายืดถือว่าเป็นตัวแทนอารยธรรมของเราให้กลับตารปัตรด้วยครับ

Q: ถึงแม้ว่ามันจะสุดโต่งไป แต่มันก็เป็นมุมมองที่ถูกต้องในความคิดของเขา
A: ครับ แมนดารินมีตรรกะของตัวเอง เขามีมุมมองของตัวเอง และมันก็ทั้งเลวร้ายและเป็นอนาธิปไตย วิธีการสวมบทนี้ของผมคือมันก็เป็นอย่างที่มันเป็นนั่นแหละ และคุณก็ต้องสนับสนุนตรรกะนั้นครับ

Q: คุณตื่นเต้นที่จะได้เห็นอะไรในภาพยนตร์ฉบับสมบูรณ์มากที่สุดหลังจากมีการเสริมแต่งทางดิจิตอลเข้าไปแล้วและมีการรวมฉากที่คุณไม่ได้แสดงเข้าได้วยแล้ว

A: ผมคิดว่าวิธีที่เหมาะที่สุดที่ผมจะดูหนังเรื่องนี้คือการได้ดูมันร่วมกับผู้ชมมากกว่าจะไปดูมันในห้องคนเดียว ผมรู้ว่าสำหรับหนังสมัยนี้ แม้กระทั่งหนังที่เรียบง่ายที่สุด มีบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการที่องค์ประกอบของมันมารวมกัน คุณได้เห็นชิ้นส่วนเล็กๆ น้อยๆ มารวมกัน และด้วยความที่มันเป็นหนัง ชิ้นส่วนเหล่านั้นก็จะถูกคูณเป็นทบเท่าทวี มันน่าตื่นเต้นขึ้นเป็นพันๆ เท่าเพราะมันปรากฏขึ้นบนเฟรมหน้าจอได้อย่างงดงาม หนังเป็นอะไรที่พิเศษสุด มันเป็นเวทมนตร์ครับ ผมชอบหนังมาตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมเคยเดินเข้าไปในโรงหนังและรู้สึกตื่นเต้นจนไม่อยากเดินออกมาเลยล่ะครับ

Q: คุณอยากจะเป็นนักแสดงมาโดยตลอดรึเปล่า
A: ครับ อาจจะตั้งแต่ผมห้าขวบเลย ผมได้ดูหนังตั้งแต่ตอนนั้นและผมก็รักหนังครับ

Q: คุณชื่นชอบการได้ร่วมงานกับผู้กำกับเชน แบล็ครึเปล่า
A: แน่นอนครับ ผมตอบสนองกับเขาอย่างอบอุ่นและในแบบที่กระตุ้นการทำงานทั้งในฐานะผู้กำกับและเพื่อนร่วมงานและผมก็หวังว่ามันจะรวมถึงในฐานะเพื่อนด้วยครับ

4 comments

Leave a Reply to jediyuthCancel reply