JEDIYUTH’s Review: Tower Heist

Tower Heist หนังโจรกรรมพอดูได้ขำๆ

หนังโจรกรรมปนตลก Tower Heist ของผู้กำกับเบรท แรทเนอร์ (Rush Hour, X-Men: The Last Stand) ดูเข้าท่าดีเมื่อมองจากพิมพ์เขียวหรือในแง่การวางแผน เพราะมีทีมนักแสดงที่เชื่อมือได้อย่างเบน สติลเลอร์ และ เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ พร้อมมีเนื้อเรื่องที่เข้ากับยุคสมัยและคลาสสิคว่าด้วยเรื่องราวของคนที่ทำงานบริการที่รวมแก๊งกันเอาคืนมหาเศรษฐีขี้ฉ้อ แต่เมื่อลงมือปฏิบัติแล้ว ผู้กำกับกลับทำผิดแผน ใช้นักแสดงได้ไม่คุ้ม ไม่เน้นจุดเด่นที่ควรเป็นจุดขายสำคัญของหนังแนวโจรกรรม ไม่เน้นแก่นหลักของเรื่องราว แต่กลับไปเน้นส่วนที่เป็นปลีกย่อยที่เป็นฉากโชว์มุขตลกแทน แถมยังมีจังหวะการเล่าเรื่องที่ไม่คมพอ หนังเรื่องนี้จึงพลาดเป้าหลักไปอย่างน่าเสียดาย หนึงจำทำได้เพียงให้ความบันเทิงได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่อาจสร้างอารมณ์ร่วมหรือได้ความประทับใจอะไรกลับออกมาหลังจากชม

เหตุการณ์เกือบทั้งเรื่องเกิดขึ้นที่เดอะ ทาวเวอร์ ตึกอันเป็นที่พักสุดหรูในย่านเซ็นทรัลปาร์คของมหานครนิวยอร์ก ที่ซึ่งเหล่าพนักงานของที่นี่ภูมิใจและมีน้ำใจอย่างมากในการให้บริการผู้อาศัย ด้วยคำขวัญประจำใจว่า “ที่ทาวเวอร์ เราไม่รับทิป” ตึกแห่งนี้มีจอช โคแว็กส์ (เบน สติลเลอร์) เป็นผู้จัดการตึกที่ฉลาด มีไหวพริบ แก้ปัญหาเก่ง บริการเก่ง เป็นขวัญใจของทั้งลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน และผู้ที่อยู่อาศัย แต่อาจไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่กับสไลด์ (เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่) เพื่อนบ้านในย่านควีนที่มีอาชีพเป็นอาชญากร

ความสนิทสนมของจอชและผู้พักอาศัยในตึกเห็นได้ตั้งแต่ช่วงฉากเปิดเรื่องของหนัง ที่ก่อนออกจากบ้าน จอชเล่นหมากรุกออนไลน์กับอาร์เธอร์ ชอว์ (อลัน อัลดา) ซึ่งพักอยู่บนยอดทาวเวอร์ และดูเหมือนว่าความสนิทสนมนี้เองที่เป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมด เพราะชอว์เป็นหมาป่าในคราบของมหาเศรษฐีนักลงทุนผู้ใจดี ที่หลอกชาวบ้านให้หอบเงินมาลงทุนในตลาดหุ้น รวมถึงกองทุนบำนาญพนักงานทาวเวอร์ที่จอชไว้ใจให้ชอว์เอาไปลงทุนก็สูญไปหมด หลังจากรู้ความจริงจากเอฟบีไอภายใต้การนำของเจ้าหน้าที่แคลร์ เดนแฮม (เทีย ลีโอนี) ที่เข้าขัดขวางการหลบหนีของชอว์

ความแสบของชอว์ยังรวมถึงการหลอกเอาเงินของเลสเตอร์ (สตีเฟ่น แม็คเคนลี เฮนเดอร์สัน) ลุงแก่ๆ ที่เป็นพนักงานเปิดประตูของทาวเวอร์ ซึ่งฝันว่าจะเอาเงินที่สะสมมาไปใช้ในชีวิตบั้นปลาย ทำให้เลสเตอร์คิดสั้นและเกือบฆ่าตัวตาย จอชเดือดดาลเมื่อรู้ว่าชอว์เอาเงินจำนวนนั้นไปจัดงานเลี้ยงเพื่อใช้หลอกคนอื่นต่อ จึงบุกขึ้นไปบนห้องแล้วทุบรถสปอร์ตที่มีหนึ่งเดียวในโลกในห้องของชอว์ ทำให้จอชถูกไล่ออก โดยมีเพื่อนอีกสองคนที่ขึ้นไปด้วย ชาร์ลี (เคซี่ย์ แอฟเฟล็ค) หนุ่มพนักงานต้อนรับ และ เอ็นริเก้ (ไมเคิล พีนา) เด็กกดลิฟต์ ต้องติดร่างแหไปด้วย

เมื่อจอชได้ข้อมูลจากแคลร์ว่าชอว์ยังมีเงินซุกซ่อนไว้ร่วม 10 ล้าน แต่เอฟบีไอหาไม่เจอว่าอยู่ที่ไหน จอชรู้ได้จากประสบการณ์การทำงานว่าชอว์ซ่อนเงินไว้ในตู้เซฟที่ฝังไว้ในผนังกลางห้อง จอชจึงคิดแผนโจรกรรมเพื่อแก้แค้นโดยชักชวนชาร์ลี เอ็นริเก้ เลสเตอร์ คุณฟิทซ์ฮิวจ์ (แมทธิว บรอเดอริค) อดีตผู้เช่าตึกที่เก่งเรื่องตัวเลข และโอเดสซา (แกบโบเรย์ ซิเดเบ) แม่บ้านร่างยักษ์ประจำตึกที่เก่งเรื่องเปิดเซฟมาร่วมแก๊ง แต่เพราะตึกมีเอฟบีไอเฝ้า และจอชถูกห้ามเข้าไป ทำให้จอชต้องพึ่งสไลด์มาสอนกลเม็ดของโจรให้

หนังเข้าสูตรหนังแนวโจรกรรมหรือ heist film หลังจากนี้ และหนังแนวโจรกรรมที่ดีต้องมีฉากของการวางแผนที่ดูฉลาด มีเล่ห์เหลี่ยม และมีรายละเอียดมากพอที่จะให้คนดูมีส่วนร่วมเหมือนเป็นหนึ่งในทีมโจรกรรมได้ เช่นที่เราเห็นได้จาก Ocean’s Eleven หรือ Italian Job แต่หนังโจรกรรมเรื่องนี้ของแรทเนอร์กลับเน้นไปที่มุขฮาระหว่างการวางแผนแทน เลยทำให้คนดูขำ แต่ไม่มีความรู้สึกร่วมกับการโจรกรรม และก็ยิ่งกร่อยเข้าไปอีกเพราะมันไม่ได้ขำทุกฉาก มีหลายฉากที่ผู้กำกับส่งมุขของฉากเหล่านั้นออกมาแบบผิดจังหวะจนกลายเป็นมุขแป้ก

หนังโจรกรรมที่ดียังต้องมีการแบ่งหน้าที่ตามความถนัดของแต่ละคนในก๊วนได้อย่างโดดเด่น แต่ตัวละครบางตัวเช่นชาร์ลีกับเอ็นริเก้ดูจะถูกกลืนหายไปเลยเพราะบุคลิกของตัวละคร หน้าที่และความถนัดไม่ชัดเจน ถือเป็นการใช้งานนักแสดงที่เก่งอย่างเคซี่ย์ แอฟเฟล็ค และไมเคิล พีนา ได้อย่างไม่คุ้มค่าเอาเลย ต่างจากซิเดเบที่บทของเธอถูกเขียนให้มีบุคลิกเด่นชัดและยิ่งได้ร่างที่ใหญ่ยักษ์มาช่วยแล้วยิ่งทำให้เธอขโมยซีนในบางฉากเอามาครองได้ บทจอชของสติลเลอร์ก็ถือว่าเป็นตัวขับเคลื่อนที่ดี ได้มีโอกาสเจิดจรัสในฉากการใช้สมอง และเมอร์ฟี่ก็ฮาอย่างมากในฉากแจกมุขตามสไตล์ตลกผิวสีที่เราไม่ได้เห็นเขาสร้างความฮาแบบนี้มานานแล้ว ฉากที่สไลด์ลองใจจอชตอนที่ขับรถออกจากคุกถือเป็นฉากฮาไฮไลท์หนึ่งของหนังเลยทีเดียว

หนังโจรกรรมที่ดียังต้องมีการเล่าเรื่องที่ทำให้ระทึก เขย่าขวัญ และชวนลุ้นได้เมื่อตัวละครออกปฏิบัติการ แต่หลายครั้งที่จังหวะการเล่าเรื่องของ Tower Heist นั้นหน่วงและหนืดจนทำให้เราแค่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้น มีแผนผิดพลาด มีการหักหลัง แต่เป็นการรับรู้ที่เฉยๆ ไม่รู้สึกอยากเอาใจช่วยหรือเสียวแทนตัวละครเท่าไหร่เลย ครึ่งหลังของหนังที่เริ่มดำเนินการโจรกรรมแล้วจึงมีอารมณ์ที่ราบเรียบอย่างมาก

สิ่งที่น่าเสียดายอีกอย่างก็คือหนังละทิ้งประเด็นที่ปูมาค่อนข้างดีในตอนต้น ในแง่ของการปะทะกันระหว่างชนชั้นแรงงานกับชนชั้นนายทุน ชอว์เป็นตัวละครที่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่อยู่ชั้นบนสุดของปิระมิด ผู้ที่หลงตัวเองว่าฉลาดและเอาเปรียบคนที่อยู่ในระดับล่างกว่า จนทำให้ชนชั้นแรงงานเหล่านี้วางแผนแก้แค้นด้วยการโจรกรรม และร่วมแรงร่วมใจกันใช้ความถนัดในงานเล็กๆ ของตัวเองให้เป็นประโยชน์เพื่อแผนการ เป็นประเด็นที่เข้ากับยุคสมัยดีจากการที่เราเห็นข่าวประท้วงยึดวอลสตีทของประชาชนคนเดินดินทั่วไปของสหรัฐในช่วงนี้ เป็นประเด็นที่คนดูมีแนวโน้มที่จะอินได้ง่าย และอยากเอาใจช่วยให้คนตัวเล็กเหล่านั้นเอาชนะได้ แต่ผู้กำกับไม่ได้เอามาเน้นมากพอที่จะอยากเอาใจช่วยตัวละครเหล่านี้

เมื่อหนังไม่ค่อยลุ้น ทำให้รู้สึกร่วมในการโจรกรรมไม่ได้ ไม่อินกับตัวละคร หนังเรื่องนี้จึงไม่ประสบความสำเร็จเมื่อมองจากภาครวม ฉากหนึ่งที่เป็นข้อยืนยันได้ดีก็คือฉากที่ทุกคนดีใจกับผลงานในตอนจบ เรากลับไม่ได้รู้สึกดีใจร่วมด้วย เมื่อออกจากโรงมา ฉากที่จำได้จึงมีแค่ฉากฮาๆ ของเอ็ดดี้ เมอร์ฟี่

คะแนน 6/10

ข้อมูลเบื้องต้นของหนัง
Tower Heist
ชื่อไทย : ปล้นเสียดฟ้า บ้าเหนือเมฆ
บริษัทผู้สร้าง : ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์
บริษัทจัดจำหน่าย : ยูไอพี
วันฉาย (ประเทศไทย) : 10 พฤศจิกายน 2554
ผู้กำกับ : เบรท แรทเนอร์
นักแสดง : เบน สติลเลอร์, เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่, แมทธิว บรอเดอริค, เคซี่ย์ แอฟเฟล็ค, ไมเคิล พีนา, อลัน อัลดา, แกบโบเรย์ ซิเดเบ, สตีเฟ่น แม็คเคนนี เฮนเดอร์สัน และ เทีย ลีโอนี
เว็บไซต์ทางการ : http://www.towerheist.net/

One comment

Leave a Reply to maxniceCancel reply